The Reserve 61 Hideaway

“𝐁𝐞𝐚𝐮𝐭𝐢𝐟𝐮𝐥 𝐭𝐡𝐢𝐧𝐠𝐬 𝐝𝐨𝐧’𝐭 𝐚𝐬𝐤 𝐟𝐨𝐫 𝐚𝐭𝐭𝐞𝐧𝐭𝐢𝐨𝐧.”

#ความงามที่แท้จริงไม่เรียกร้องความสนใจ

“Sean O’Connell” ช่างภาพสุดเซอร์ในภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty พูดถึงเสือดาวหิมะที่ปกติไม่ค่อยยอมให้ใครเห็นตัวได้ง่ายๆ กลายเป็นประโยคที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของกานต์ทันที ที่ได้เข้ามาชมโครงการ The Reserve 61 Hideaway คอนโดมิเนียมสุด Luxurious ที่มีความเรียบหรูและเลือกที่จะวางตัวอยู่อย่างเงียบๆ หลังประตูเหล็กบานใหญ่ในซอยสุขุมวิท 61 เชื่อมต่อซอยเอกมัย 1

.

Nature is the New Luxury ภายในโครงการเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่แทรกตัวอยู่ทั่วอาณาบริเวณ โดดเด่นด้วยอาคารสีเบจตัดกับโครงเหล็กสีดำในสไตล์ Modern Classic Luxury สะท้อนภาพความหรูหราออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

.

บรรยากาศภายในราวกับเป็น Luxurt Resort ที่แสนเงียบสงบพร้อมจะเป็นสถานที่ให้เราได้หลบซ่อนเร้นกายใจจากความวุ่นวายในเมืองหลวง ตามคอนเซ็ปต์การออกแบบ “Start your never ending vacation” หรือ #การพักผ่อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

.

The Reserve 61 Hideaway ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ เป็น Extraordinary Experience แห่งการอยู่อาศัยใจกลางกรุงสำหรับชีวิตเหนือระดับ ต้องยอมรับว่าการหาที่ดินผืนใหญ่ขนาด 3 ไร่ครึ่งใจกลางสุขุมวิทในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

.

กอปรกับการออกแบบพื้นที่ทำได้อย่างน่าสนใจ สามารถดึงศักยภาพและเพิ่มมูลค่าของที่ดินได้สูงขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสมัยใหม่ในแบบ New Luxury เป็นความหรูหราใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมาแนวเฟอร์นิเจอร์หลุยส์ ใส่เฟอร์ขนมิงค์ ห่อหุ้มทุกอย่างด้วยสีทองเหมือนในอดีต แต่กลับต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ สะท้อนตัวตนและทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าภูมิใจต่อการใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาครอบครอง นำไปสู่ความต้องการขั้นสูงสุดคือ “ความสมบูรณ์แบบในชีวิต” (Self-actualization) ได้

.

รีวิวนี้ กานต์พาไปสัมผัสความเรียบหรูของพื้นที่ส่วนกลางแบบ Triple Facilities ที่ดีไซน์ออกมาได้อย่างหรูหราปราณีตราวกับงานฝีมือระดับกูตูร์

.

ห้องตัวอย่างแบบ 2 ห้องนอนที่ตกแต่งได้สวยงามช่องแสงขนาดใหญ่ผ่านกระจกแบบ Full Height จากพื้นถึงฝ้าเพดาน มีความโปร่งโล่ง เปิดรับวิวได้ดี ที่สำคัญทุกห้องของโครงการเป็นการตกแต่งแบบ Fully Furnished ที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์หรูจาก Olivia Living ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ระดับ World Class ทั้งสิ้นครับ

.

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายเยี่ยมชมโครงการได้ที่ https://bit.ly/3SfjWgi

The Reserve 61 Hideaway เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจาก The Reserve Sukhumvit 61 ที่กานต์เคยพาไปชมมาแล้ว ซึ่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จและปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการใหม่ตั้งอยู่ติดกันบริเวณท้ายซอยสุขุมวิท 61 เชื่อมต่อเอกมัยซอย 1 ซึ่งมีเสน่ห์เรื่องของความเงียบสงบในการพักอาศัย

การออกแบบยังคงฟังก์ชั่นและงานดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกถึงความเรียบหรู ดู Luxurious สุดในคอนโดมิเนียมทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลางอย่างพร้อมพงษ์ ทองหล่อ และเอกมัย ซึ่งปัจจุบันเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั้งสำหรับผู้อยู่อาศัยและนักลงทุน เห็นได้จากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการปรับขึ้นของราคาที่ดินในทองหล่อ-เอกมัยไปแล้วกว่า 40% ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมในย่านนี้สูงขึ้นตามไปด้วย

สิ่งสำคัญที่ผมประทับใจคือการส่งมอบประสบการณ์ใหม่ในการพักอาศัย เน้น Envision as a Whole ตอบสนองความต้องการของลูกบ้านได้อย่างเหนือระดับ ตอบโจทย์การพักอาศัยแบบ Luxury Living ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายแและสามารถสะท้อนบุคลิกของผู้อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน

จุดเด่นของโครงการนอกเหนือไปจากงานดีไซน์ที่เรียบหรูแบบ Modern Classic Luxury แล้ว ยังมีจำนวนยูนิตน้อยเพียง 155 ยูนิต แต่มีที่จอดรถ 100% เน้นพื้นที่ส่วนกลางกระจายบนเนื้อที่รวมกว่า 2.3 ไร่ และมีความหลากหลายในการใช้งาน

สระว่ายน้ำขนาดใหญ่และมีพื้นที่เขียวรวมกว่า 2,900 ตร.ม. ตลอดจนการให่้บริการ Concierge by The Reserve ที่คอยดูแลลูกบ้านและจัดให้มี English / Chinese Speaking Reception รองรับลูกบ้านชาวต่างชาติซึ่งนิยมมาพักอาศัยย่านทองหล่อ-เอกมัย

โครงการ The Reserve 61 Hideaway ตั้งอยู่ภายในซอยที่มีความเงียบสงบ จุดเด่นคือเป็นย่าน Residential ชุมชนที่พักอาศัยของบ้านเรือนเศรษฐี คหบดี ดังนั้นจึงมีความเป็นส่วนตัวสูงและเงียบสงบ ทว่ารายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ โรงพยาบาล สถานศึกษาชั้นนำ มากมาย

ทางเข้าหลักคือซอยสุขุมวิท 61 และเอกมัยซอย 1 สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง เพราะเป็นที่รู้กันว่าทองหล่อ-เอกมัยมีถนนย่อยที่เชื่อมต่อทะลุกันได้เกือบทั้งหมด

จุดที่คอนโดตั้งอยู่จึงถือเป็น Prime Location ทั้งยังอยู่ห่างจากทางพิเศษฉลองรัช ระยะทางประมาณ 3.7 กม. และสามารถมุ่งหน้าไปยังเลียบทางด่วนเอกมัย รามอินทรา-พระราม 9 – ลาดพร้าว ได้อย่างรวดเร็วครับ

สิ่งที่กานต์คิดว่ามีความโดดเด่นและสร้างความประทับใจได้มาก คือการออกแบบแบรนด์คาแรกเตอร์ The Reserve ของพฤกษา เรียลเอสเตท ที่นำเสนอเรื่องราวความหรูหราใหม่หรือ New Luxury ให้กับผู้บริโภคในมุมมองที่แตกต่างไปจากผู้ประกอบการทั่วไป

แต่สำหรับโครงการ The Reserve 61 Hideaway ได้ตอกย้ำความหรูหราใหม่ให้เหนือขึ้นไปมากกว่าเดิม เพราะแท้จริงแล่้วความหรูหราในนิยามใหม่ไม่ได้หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตอีกต่อไป แต่จะต้องเป็นการลงรายละเอียดในทุกมิติของงาน เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด

ดังนั้น The Reserve 61 Hideaway จึงได้รังสรรค์รายละเอียดของงานออกแบบภายใต้แนวคิด “Start Your Never Ending Vacation” ให้มีความเป็นรีสอร์ตสำหรับพักตากอากาศใจกลางกรุงเทพ สมกับชื่อความเป็น Hideaway ที่ต่อท้ายเข้ามา ทว่ายังคงความเรียบหรูสไตล์ Modern Classic Luxury ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายครบครัน ออกแบบได้ตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์

ต้องยอมรับว่าระยะหลัง พฤกษา เรียลเอสเตท มักจะใส่ใจกับรายละเอียดที่สำคัญมากกว่าการเน้นที่ปริมาณ ถ้าเป็นภาษาการออกแบบก็ต้องเรียกว่า Less is Beautiful น้อยแต่มากนั่นเองครับ

โครงการ The Reserve 61 Hideaway ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 3-2-60 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียม Low-rise 7 ชั้น ไม่รวมชั้นใต้ดิน มีทั้งสิ้น 2 อาคารเชื่อมต่อกันด้วย Pathway บริเวณชั้น 3 แต่ละอาคารจะมี Lobby แยกออกจากกัน ออกแบบให้มี Facilities กระจายกันไปใน 2 อาคาร

ที่จริงแล้วทางโครงการสามารถสร้างได้สูง 8 ชั้นตามมาตรฐานคอนโดมิเนียม Low-rise ทั่วไป แต่รายละเอียดที่ซ่อนไว้และเป็นที่มาของการลดเหลือ 7 ชั้น นั่นคือความสูงของพื้นจรดเพดานที่สูงกว่ามาตรฐาน

กล่าวคือทุกห้องพักภายในโครงการ The Reserve 61 Hideaway จะมีความสูง 2.7 เมตร โดดเด่นด้วยช่องแสงผ่านกระจกขนาดใหญ่เต็มบาน ตัวอาคารเป็นสีเบจตัดกับเส้นสายสีดำของเหล็กทำให้เกิดเป็นงานออกแบบสไตล์ Modern Classic Luxury ที่คล้ายกับตัวเดิมแต่ลดทอนรายละเอียดบางอย่างลงไป เพื่อให้อาคารดูมีความทันสมัยมากขึ้น และเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว

โครงการ The Reserve 61 Hideaway มาพร้อมกับบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางแบบ Urban Resort เข้าไป มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งใครที่อยู่ชั้น 1 ห้องแบบ Pool Access สามารถเดินลงมาใช้บริการสระว่ายน้ำจากห้องพักของตัวเองได้เลยครับ นับว่าเป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจและเป็นห้องที่ขายดีมาก

กานต์พาเดินชมพื้นที่ส่วนกลางบริเวณสระว่ายน้ำกันก่อนครับ ออกแบบให้มีลักษณะเป็น Infinite Pool รูปทรง 4 เหลี่ยมล้อมรอบ Hideaway Garden ซึ่งเป็นสวนสีเขียวบริเวณตรงกลางเอาไว้ เพื่อให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติตลอดเวลาที่พักอาศัย

ขนาดความยาวของสระว่ายน้ำโดยรวมคือ 144 เมตร จะแบ่งโซนออกเป็น Lap Pool สระสำหรับว่ายน้ำออกกำลังกายความยาวประมาณ 84 เมตร มี Jacuzzi อยู่ฝั่งมุมอาคาร B ไว้ให้บริการ

ส่วนด้านหน้าจะเป็นสระตื้นสำหรับนั่ง-นอนอ่านหนังสือหรือว่าอาบแดด พักผ่อนในวันสบายๆ โดยจัดให้มี Sun Bed ขนาดใหญ่วางกระจายไปโดยรอบแบบเว้นระยะห่างเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว

ตอนบ่ายๆ ระหว่างที่เรามานั่งเล่นบริเวณ Sunken Seating ผมชอบมุมนี้มาก เมื่อได้มานั่งก็รู้สึกได้ฮีลลิ่งจิตใจ โดยให้ต้นไม้และสายน้ำช่วยโอบกอดเรา ติดกันเป็นบันไดสำหรับเดินลงไปยัง Underground Pool Lounge และ Private Spa

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผมชอบในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางก็คือสวนบริเวณ Underground Pool Lounge เป็นพื้นที่เอนกประสงค์แบบ Semi-Outdoor ด้านหน้าห้อง Private Spa ครับ เพราะหากมองจากภาพเราจะเห็นเลเยอร์ของการใช้งานที่หลากหลายและแตกต่างกัน ด้านบนเป็น Sun Bed วางอยู่บนสระว่ายน้ำตื้นสำหรับอาบแดด เชื่อมต่อกับ Hideaway Garden

ขณะเดียวกันด้านล่างก็เป็นเคาน์เตอร์สำหรับจัดเตรียมอาหาร พร้อมอ่างล่้างจานเพื่อรองรับการจัดเป็นพื้นที่สังสรรค์แบบส่วนตัว ส่วนด้านหน้าเป็นลานสนามหญ้าเล็กๆ ที่อยู่ติดกับ Hideaway Garden ปลูกเป็นสวนแนวดิ่งสลับผนัง

บริเวณนี้จัดเป็นที่นั่งสำหรับ 2 ท่านพร้อมโต๊ะกลางวางกระจายกันไปสำหรับวันสบายๆ นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือหรือจัดเป็นอาฟเตอร์นูน ทีปาร์ตี้ก็ได้เช่นกันครับ

บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Private Salon Spa ซึ่งถือว่าสะดวกมาก เราสามารถนัดหมาย Therapist จากภายนอกมาบริการได้โดยไม่ต้องเดินผ่านเข้าไปยังภายในตัวอาคาร

เมื่อเดินจากด้านหน้าสามารถลงบันไดมาชั้นล่างได้เลยทันที เพื่อเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านท่านอื่น ภายในจัดวางเตียงสำหรับทำสปา

ใกล้กันเป็น Rain Shower ขนาดใหญ่ให้บริการลูกบ้านล้างตัวก่อนใช้บริการสระว่ายน้ำอีกด้วยครับ

นอกจากนี้ จัดให้มี Relaxing Area สำหรับนั่งพักผ่อนหนังนวดสปาเสร็จอีกด้วยครับ

ผมชอบบรรยากาศตอนสายๆ เมื่อมีแสงแดดลอดผ่านเข้ามาในอาคาร บริเวณห้องพักและสระว่ายน้ำ ทำให้เราได้สัมผัสกับพลังธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจ

ส่วนตัวยกนิ้วให้งานดีไซน์ที่มี Pocket Seat เล่นระดับบริเวณตรงกลาง Hideaway Garden เป็นพื้นที่ที่ผมอยากจะหนีมาพักใจให้ต้นไม้สีเขียวเยียวยาในวันที่เหนื่อยล้า หรือแม้แต่วันที่ต้องการพลังจากธรรมชาติ ก็สามารถมานั่งพักผ่อนอยู่บริเวณนี้ได้ ต้นไม้ยังชา่วยบังสายตาและสร้างความเป็นส่วนตัวระหว่างที่เรามานั่งเล่นบริเวณ Sunken Seating

กานต์จะพาไปชม Lobby ของอาคาร A กันบ้างครับ ซึ่งถือเป็นส่วนต้อนรับหลักเพราะจะอยู่ถัดจาก Drop-off ด้านหน้าทางเข้าโครงการ

Lobby เป็น Panoramic Lobby ที่มีจุดเด่นคือวิวพื้นที่สีเขียวจากต้นไม้น้อยใหญ่และสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใส เป็นมุมมองผ่านผนังกระจกบานใหญ่ เพื่อเปิดช่องแสงจากภายนอกเข้ามาและเชื่อมต่อความรู้สึกสัมผัสถึงธรรมชาติจากภายนอกสู่ภายใน (Outside-in) และส่งต่อความหรูหราของ Lobby ไปสู่ภายนอก (Inside-Out)

ด้วยความที่เพดานสูงโปร่งแบบ Double Volume ความสูงของ Lobby อยู่ที่ 7 เมตรช่วยให้ห้องนี้ดูโอ่โถงยิ่งขึ้น เราสามารถปิด-เปิดม่านได้ในกรณีที่รู้สึกว่าแสงจ้าส่องเข้ามารบกวนมากเกินไป

หากเราลองเปิดม่านออกในช่วงบ่ายของวันที่แสงแดดตกกระทบผืนน้ำ จะเห็นภาพสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ ซึ่งก็จะให้ความรู้สึกหรูหรามากยิ่งขึ้นไปอีก

Lobby ประดับด้วยกระเบื้องพื้นผนังและหินอ่อนสีขาวภายในจัดวางชุดโซฟาที่นั่งแบบลดระดับลงไปจากพื้นเล็กน้อย ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวได้มากกว่าราวกับซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ ใน Lobby เพื่อที่จะนั่งพักผ่อนชมวิวสีเขียวจากภายนอก ลบเร้นจากสายตาของผู้ที่ผ่านไปมาบริเวณทางเดิน

เมื่อเดินตรงจาก Lobby อาคาร A ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่สำหรับพักอาศัยของลูกบ้านที่อยู่ในอาคารนี้ เราลงบันไดวนเพื่อไปยังชั้นใต้ดินกันต่อครับ ซึ่งจะเป็นพื้นที่จอดรถ และเป็นชั้นที่มี Main Facilities ที่อาคาร A คือ Wellness Retreat & Onsen ดูแล้วน่าจะถูกใจคนรักสุขภาพรวมถึงรองรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ผมว่าใครที่คิดจะซื้อเพื่อการลงทุนก็ดูจะเป็นจุดขายที่น่าสนใจดีนะครับ

เมื่อเดินลงบันไดมาด้านในก็ได้พบกับพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ จัดให้มีโซฟาเบดขนาดใหญ่และจัดวางชุดที่นั่งกระจายกันไปทั่วบริเวณ

ใกล้กันเป็นโถงลิฟต์และทางออกลานจอดรถ บริเวณนี้ยังมีห้องประชุมอีก 2 ห้องไว้ให้บริการติดกันกับออฟฟิศนิติบุคคลอาคารชุด

เดินเลี้ยวขวาไปตามทางเดินด้านในซึ่งจะเป็น Wellness Retreat & Onsen แยกโซนชาย-หญิงแยกออกจากกันชัดเจน

แต่ละห้องจะมาพร้อมกับฟังก์ชันภายในที่โครงการติดตั้งรองรับไว้ให้แล้วคือ อ่างล้างหน้า ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ตู้ล็อคเกอร์และพื้นที่แต่งตัว โต๊ะเครื่องแป้ง ผนังด้านนอกเป็นกระจกใสมองออกไปเห็นสวนและต้นไม้พร้อมช่องแสงขนาดใหญ่

ภายในมี Private Onsen พร้อมที่นั่งอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นแบบออริจินัลมีทั้งบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำเย็น นอกจากนี้ ห้องผู้ชายจะมีห้องบริการ Sauna และห้อง Massage Room ส่วนห้องของผู้หญิงจะได้เป็นห้อง Stream ตรงจุดนี้จะไม่เหมือนกันครับ

จาก Lobby อาคาร A เราจะเดินไปยังอาคาร B กันบ้างซึ่งจะมี Lobby แยกออกจากกัน มาพร้อมกับการตกแต่งที่ดู Modern Classic Luxury ไม่แพ้กัน ล้อมรอบด้วยผนังกระจกใสบานใหญ่เพื่อเปิดรับแสงและพื้นที่สีเขียวจากธรรมชาติภายนอกให้ส่องผ่านเข้ามาด้านใน

ตรงกลางจัดวางชุดโซฟาขนาดใหญ่แบ่งพื้นที่ซ้ายขวา พร้อมกับที่นั่งจัดวางกระจายกันไปแบบหลวมๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ผมชอบการออกแบบให้มีเพดานเป็นกระจกเงาสะท้อนผนวกกับการจัด Lighting สวยๆ ทำให้เกิดมิติที่น่าสนใจและดูแตกต่างไปจาก Lobby ที่อาคาร A

บริเวณ Lobby อาคาร B จะมีบริการห้อง Meeting Room เป็นผนังกระจกดูเรียบหรูดีครับ

ภายในยังแบ่งย่อยออกเป็นห้องสำหรับ 2 คนหรือเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก และห้องที่มีโต๊ะประชุมแบบเป็นทางการไว้ให้บริการตามความต้องการของลูกบ้านแต่ละคน

ใกล้กันจะเป็น Concierge by The Reserve ที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านไม่ว่าจะเป็น บริการจองตั๋วเครื่องบิน/โรงแรม, ชำระค่าสาธารณูปโภค, ติดต่อร้านอาหาร-แม่บ้าน, บริการขนย้ายสิ่งของและยังจัดให้มี English / Chinese Speaking Reception รองรับลูกบ้านชาวต่างชาติซึ่งนิยมมาพักอาศัยย่านทองหล่อ-เอกมัย

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผมว่าน่าสนใจ เป็นการออกแบบพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้น คือการสร้าง Pathway สะพานเชื่อมอาคาร A และอาคาร B ที่บริเวณชั้น 3 ซึ่งทั้ง 2 อาคารออกแบบให้มี Facilities ส่วนกลางเพื่อรองรับการใช้งานของลูกบ้าน คืออาคาร A จะมี The Reserve Lounge ส่วน อาคาร B จะเป็น Fitness และ Yoga

สถาปนิกดีไซน์ออกมาในรูปแบบของ Glass House หลังคากระจกใสได้เปิดวิวสวยๆ จากด้านนอกมาเต็มที่ มองออกไปเห็นสระว่ายน้ำ สวนและต้นไม้

โครงการจัดให้มีเคาน์เตอร์หินอ่อนพร้อมเก้าอี้สตูลบาร์ทรงสูง เพื่อให้เรามานั่งทำงานหรือทานอาหาร จัดปาร์ตี้เล็กๆ ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนได้ โดยติดตั้งอ่างล้างจานเอาไว้ให้แล้วด้วยครับ

พื้นที่ส่วนกลางฝั่งของอาคาร A จะเป็น The Reserve Lounge ภายในจัดวางเก้าอี้และโซฟาสีเบจเอาไว้หลากหลายรูปแบบเพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกันไปของลูกบ้านแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นมุมนั่งพักผ่อน พูดคุยกันในบรรยากาศสบายๆ

หรือจะเป็นมุมจริงจังจัดเป็น Private Meeting Room มาให้ หากต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถเปิดปิดประตูได้ตามความต้องการ พร้อมกับมี Projector ให้ยืมใช้สำหรับจัดการประชุมอีกด้วยครับ

ส่วน Facilities ของอาคาร B เลี้ยวขวาที่บริเวณทางเชื่อมชั้น 3 ออกแบบให้เป็นห้อง Fitness ขนาดใหญ่เอาใจคนรักสุขภาพสายแอคทีฟ มาพร้อมกับตู้สำหรับกดน้ำดื่มอัตโนมัติ และห้องน้ำแบบ Powder Room แยกชาย-หญิงเอาไว้ให้เรียบร้อยคอยให้บริการลูกบ้าน

ด้านหน้าบริเวณทางเข้าจะมีห้องว่างๆ เป็น Yoga Room สำหรับคุณผู้หญิงมาฝึกโยคะกัน สามารถเปิดประตูเพื่อรับลมแบบ open air ได้ เนื่องจากฝั่งตรงข้ามเป็นผนังอาคารโล่งๆ หรือจะปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวก็ได้เช่นกัน

ด้านในเป็นฟิตเนสพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งโซนฟรีเวทและแมทชีน ทางโครงการได้ติดตั้งเครื่องออกกำลังกายของ Technogym ซึ่งเป็นแบรนด์ดังระดับโลก วางกระจายกันไปทั่วห้อง

เราสามารถวิ่งออกกำลังกายหรือปั่นจักรยานไปพร้อมกับการดูซีรีย์ที่ค้างเอาไว้ด้วยได้ หรือหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถชมวิวด้านนอกผ่านกระจกใส ให้ธรรมชาติปลอบประโลมใจพลอยได้หายเหนื่อยจากการเสียเหงื่อ

มาชมห้องตัวอย่างกันบ้างครับ เป็นห้องพื้นที่ใช้สอย 121.36 ตร.ม. ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ ซึ่งผมว่าใหญ่พอที่จะปรับเป็นห้องนอนแขกได้อีกห้องหากต้องการ

เมื่อเดินเข้ามาผมรู้สึกว่าตกหลุมรักในทันทีหลังจากที่เปิดประตูเข้ามา คือห้องกว้างขวางมาก ความพิเศษสำหรับห้องแบบ 2 ห้องนอน ก็คือออกแบบให้มีกระจกทรงโค้งด้านในและยื่นออกไปด้านนอก ช่วยเปิดมุมมองที่กว้างกว่าให้กับห้อง เพิ่มความละมุนให้กับฟอร์มของห้องที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ถ้าเป็นห้องชั้นที่ไม่สูงมากก็จะได้อยู่ในระดับเดียวกับยอดไม้ที่กำลังโตไล่มา ผมว่าเป็นการเติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

ประตูเข้าห้องเป็นแบบ Oversize สูงจากพื้นจรดฝ้า มาพร้อมกับ Digital Door Lock จาก Yale หน้าห้องมีตู้จดหมายส่วนตัว

ทางเข้าออกแบบให้มี Foyer เล็กๆ พื้นปูด้วยกระเบื้องพอร์ซเลนลายหินธรรมชาติ ผนังด้านขวาติดตั้งระบบ Home Automation พร้อม Video Door Phone เชื่อมต่อกับ Lobby สามารถพูดคุยทักทายแขกที่มาหาได้ สามารถกดเปิดประตูให้เข้ามาด้านในอาคารได้เองทันทีจากในห้อง

ออกแบบให้มีห้องเก็บของอยู่โซนหน้าห้อง ซึ่งทางโครงการได้เว้นช่องเอาไว้สำหรับติดตั้งเครื่องซักผ้า Built-in ตู้และชั้นวางมาให้แล้ว

บริเวณนี้มีห้องน้ำแบบ Powder Room 1 ห้องสำหรับรองรับการใช้งานของแขก จะอยู่ติดกับเคาน์เตอร์ครัวเลยครับ

โซนแรกหลังจากเปิดประตูเข้าไปออกแบบให้เป็นครัวเปิดสไตล์ฝรั่ง โครงการได้ติดตั้ง Island ไว้โดดเด่น เป็นหินอ่อน Black Forest สีดำต่อลายแบบคราฟท์ เวลาสะท้อนแสงไฟเป็นเงาสวยดีครับ

อ่างล้างจานใช้เป็นของ Blanco แบรนด์จากเยอรมัน ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ ส่วนด้านหลังเป็นเคาน์เตอร์สำหรับ Cooking ท๊อปด้วยหิน Quartz ซึ่งทนต่อการขีดข่วนได้ดีและยังทำความสะอาดง่าย มาพร้อมกับ Hob&Hood และเตาอบจาก Gorenje Design ยอมรับเลยว่าสวยมาก

แต่ที่ผมประทับใจในไอเดียก็คือผนังด้านในติดตั้งกระจกเงาสีชา ทำให้เรามองเห็นความเคลื่อนไหวภายในห้องแม้กำลังปรุงอาหารอยู่ เป็นการออกแบบพื้นที่เพื่อให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวได้

Common Area มีขนาดใหญ่ ผมสัมผัสได้ถึงความโปร่ง โล่ง สบาย เป็นผลมาจากการออกแบบให้มีความสูงจากพื้นจรดเพดานอยู่ที่ 2.7 เมตร เกินมาตรฐานของคอนโดมิเนียมทั่วไป

กอปรกับความที่ผนังห้องเป็นกระจกใสแบบ Full Height เต็มบานสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานเป็นแนวยาวขนานไปกับตัวอาคาร จึงกลายเป็นช่องแสงขนาดใหญ่ที่เปิดรับความสว่างจากภายนอกเข้าไปในห้อง โดยที่แทบไม่ต้องเปิดไฟในช่วงเวลากลางวันเลยครับ

Living Area ดูกว้างขวาง ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาจะเป็นห้องนอนอยู่ตรงข้ามกัน แยกเป็นสัดส่วนได้ดี อยากให้สังเกตระยะห่างในการรับชมทีวี ประมาณ 4 เมตรทำให้เราสามารถติดตั้งสมาร์ททีวีจอใหญ่ได้สบายเลยครับ

อีกด้านเป็นชุดโซฟาที่มาพร้อมกับหมอนอิงเรียงรายและจัดวางเก้าอี้ดีไซน์สวยมาไว้ให้ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดเราจะได้คล้ายแบบที่เห็นเลยครับไม่ว่าจะเป็น โซฟา เก้าอี้ โต๊ะกลางและชั้นวางทีวี จาก Olivia Living

ไฮไลท์อีกอย่างของห้องนี้ คือผนังกระจกใสบานใหญ่ทรงโค้งดูโปร่งดีมาก และถือว่าได้พื้นที่ยื่นออกไปจากแนวของอาคารเรียกว่า Hideaway Terrace ด้วยความที่เป็นกระจกทรงโค้ง ตัวกรอบบานเป็นอลูมิเนียม Powder Coat จึงทำให้เราสามารถชมวิวได้อย่างเต็มที่ เปิดมุมมองได้กว้างกว่า สามารถยืนชมวิวได้อย่างสบายใจเพราะโครงการเลือกใช้เป็นกระจก Euro Grey ช่วยป้องกันการมองเห็นจากภายนอกได้ประมาณนึง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้พักอาศัยที่อยู่ในห้อง ตลอดจนช่วยลดแสงและป้องกันความร้อนได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้ทางโครงการได้ติดไฟ LED Strip บริเวณรางม่านมาให้แล้วดูเรียบหรูมาก พื้นห้องปูด้วย Engineering Wood ลายก้างปลาดูคลาสสิคสไตล์ยุโรป ข้อดีอีกอย่างที่ผมชอบก็คือนอกจากจะสวยแล้วยังทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้นได้ดีกว่าลามิเนต

ติดกันกับห้องเอนกประสงค์ จะเป็นมุมรับประทานอาหาร ซึ่งห้องตัวอย่างได้จัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 6 ที่นั่งดีไซน์สวยมาก ด้านหลังจะเป็นผนังที่ Built-in ซ่อนตู้เก็บของเอาไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ห้องเอนกประสงค์ออกแบบให้เชื่อมต่อกับมุมรับประทานอาหาร ซึ่งห้องตัวอย่างได้จัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 6 ที่นั่งดีไซน์สวยมาก ด้านหลังจะเป็นผนังที่ Built-in ซ่อนตู้เก็บของเอาไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย กลายเป็นฟังก์ชั่นภายในห้องในรูปแบบที่เราสามารถปรับการใช้งานได้ตามใจ

Hideaway Terrace กลายเป็น Signature ของแบรนด์ The reserve ที่ผมชอบมากทำให้อยากได้เป็นเจ้าของห้องที่นี่เสียจริงๆ โดยเฉพาะห้อง 2 ห้องนอนจะได้ผนังกระจกส่วนที่ยื่นออกมาจากแนวอาคารเช่นเดียวกับ Living Area จึงทำให้มีพื้นที่เพิ่มและเป็นมุมที่สวยมากด้วยครับ

อีกหนึ่งรายละเอียดของการออกแบบก็คือ ผนังกระจกซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องแสงให้กับห้องเอนกประสงค์ สถาปนิกออกแบบให้เป็นบานกระทุ้งทรงสูงแบบ 3 ช่อง ทำให้เราสามารถเปิดออกไปเพื่อระบายอากาศและรับลมจากภายนอกได้ แต่ก็ได้ลงรายละเอียดด้วยการติดตั้งราวกันตกเป็นกระจกนิรภัยใสกั้นเอาไว้ให้ด้วยครับ

มาดูในส่วนของห้องนอนกันบ้าง ห้องนอนทั้ง 2 ห้องจะอยู่ตรงข้ามกันคนละฝั่ง เริ่มจากห้องนอนรองซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือของห้อง ภายในห้องถือว่าค่อนข้างกว้าง แบ่งเป็นมุมพักผ่อนกับมุมแต่งตัว

ด้านในสุดเป็นประตูบานเลื่อนสามารถเปิดออกไปเป็นระเบียงส่วนตัว ในขนาดที่ยืนได้หรือจะวางเก้าอี้นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือสักตัวพร้อมกับไม้กระถางก็ได้เช่นกัน เป็นการเชื่อมโยงธรรมชาติจากพื้นที่ส่วนกลางภายนอกห้องเข้ามาสู่ภายในราวกับได้ Hideaway อยู่ในห้องของตัวเอง

โครงการได้ติดตั้งราวกันตกแบบกระจกนิรภัยเอาไว้ให้แล้วครับ สถาปนิกออกแบบให้เป็นมุมพักผ่อนเราสามารถวางเตียงนอนขนาด King Size ได้สบายเลยครับ รอบเตียงมีพื้นที่เดินได้ ทางโครงการติดตั้งฐานและพนักพิงหัวเตียงมาให้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ภายในห้อง อาทิ โต๊ะหัวเตียง ชั้นวางทีวี เราจะได้รับเป็นแบบเดียวกับห้องตัวอย่างนี้เลยครับ

ด้านในเป็นห้องน้ำสุขภัณฑ์จาก Villeroy & Boch แยกส่วนเปียกแห้งเอาไว้แล้วเรียบร้อย ผนังห้องน้ำเป็นกระจกแบบ Sexy Bath ถ้าอยู่คนเดียวอาจจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้าอยู่กันสองคนอาจจะหามูลี่มาติดเพิ่มสักหน่อยจะได้ไม่เขินกันมาก

ใกล้กันเป็นมุมแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ทางโครงการได้ Built-in ตู้เสื้อผ้าหน้าบานกระจกสีชามาให้ ติดไฟ LED ด้านในสวยงาม ทำให้เราสามารถอาบน้ำแล้วแต่งตัวครบจบในที่เดียว

ห้องนอนหลักหรือ Master Bedroom จะอยู่ด้านขวาของห้องติดกับห้องเอนกประสงค์ เป็นห้องนอนที่มีขนาดใหญ่มากเช่นกัน ฟังก์ชั่นภายในจะคล้ายกับห้องนอนรองคือมีมุมพักผ่อนและพื้นที่แต่งตัวแยกกันอย่างเป็นสัดส่วน แต่ขนาดพื้นที่จะมากกว่า

ห้องตัวอย่างจัดวางเตียงนอนขนาด King Size ไว้เกือบชิดผนังซึ่งห้องนี้แม้จะไม่มีระเบียงส่วนตัว แต่ก็จะได้เปิดมุมมองของวิวที่กว้างกว่า ด้วยผนังกระจกใสบานใหญ่แบบเต็มเฟรมไม่มีกรอบมารบกวนสายตาให้เราสามารถชมวิวสวนและสระว่ายน้ำภายนอกได้อย่างเต็มที่ มีพื้นที่สำหรับยืนและเดินรอบเตียงได้สบายเลยครับ และเช่นเคยทางโครงการได้ติดตั้งฐานเตียงพร้อมพนักพิงหัวเตียง โต๊ะหัวเตียง และชั้นวางทีวีจาก Olivia Living มาให้แล้วครับ

ด้านในเป็นห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ Built-in ตู้เสื้อผ้าสูงจากพื้นจรดเพดานทั้ง 2 ฝั่งสามารถแยกการใช้งานแบบ His & Her ได้สบายเลย ตรงกลางเป็นอ่างล้างหน้าที่มาพร้อมกระจก 2 บานสามารถใช้งานพร้อมกันได้

ด้านในเป็นส่วนของสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติและติดตั้งอ่างอาบน้ำมาให้โดยจะได้เป็นของ TRUSOL สีขาวตัดกับผนังหินอ่อน Black Forest และยังมีพื้นที่ยืนอาบน้ำด้านในด้วยครับ

#โดยสรุป The Reserve 61 Hideaway เป็นโครงการที่ผมว่าหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เคยไปเยี่ยมชมและทำรีวิวมาเลยล่ะครับ

อย่างที่บอกไปว่านิยามใหม่ของ New Luxury เราไม่ได้วัดกันที่ขนาดของอาคารใหญ่โตมโหฬาร หรือประโคมเฟอร์นิเจอร์ราคาตัวละเป็นล้านใส่เข้ามาโดยปราศจากเหตุผลอีกต่อไป แต่อยู่ที่การรังสรรค์ทุกรายละเอียดของงานดีไซน์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สื่อสารคาแรกเตอร์ของแบรนด์ได้ เป็นการออกแบบและส่งมอบประสบการณ์ใหม่ที่มีคุณค่าและคู่ควรกับผู้บริโภคซึ่งเป็น Main Target

ตรงจุดนี้ผมว่า The Reserve 61 Hideaway ทำได้อย่างพอเหมาะพอสม เป็นความประทับใจที่ผมคิดว่ายากจะหา Developer เจ้าไหนเลียนแบบได้ ต้องชมทีมของพฤกษา เรียลเอสเตทว่า Customize คอนโดมิเนียมแห่งนี้ออกมาได้อย่างหรูหราและน่าสนใจ ราวกับเป็นงาน Haute Couture ที่เป็นสุดยอดศิลปะชั้นสูงของวงการแฟชั่น

สนใจนัดหมายและเยี่ยมชมโครงการได้ที่ https://bit.ly/3SfjWgi

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน