“𝑩𝒂𝒍𝒂𝒏𝒄𝒆 𝒄𝒂𝒏 𝒃𝒆 𝒇𝒐𝒖𝒏𝒅 𝒆𝒗𝒆𝒓𝒚𝒘𝒉𝒆𝒓𝒆, 𝒆𝒗𝒆𝒏 𝒊𝒏 𝒕𝒉𝒐𝒔𝒆 𝒑𝒍𝒂𝒄𝒆𝒔 𝒘𝒉𝒆𝒓𝒆 𝒚𝒐𝒖 𝒍𝒆𝒂𝒔𝒕 𝒆𝒙𝒑𝒆𝒄𝒕 𝒕𝒉𝒆𝒎.” กานต์พบประโยคนี้โดยบังเอิญหลังได้อ่านหนังสือชื่อ The Mindfulness Bible ของ Dr.Patrizia Collard
จริงอย่างที่คุณหมอว่า สมดุลชีวิตมันช่างหาง่าย หาได้จากทุกสถานที่แม้แต่ในที่ที่เราคาดหวังน้อยที่สุดอย่างในอาคารสำนักงาน
The PARQ อาคารมิกซ์ยูสย่านพระราม 4 ที่ผมเพิ่งไปมา ก็มีคอนเซ็ปต์เช่นนี้ครับ “Life Well Balanced” คือเน้นการสร้างสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติ สมดุลระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิต และสมดุลของกายและใจ
ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นอาคารออฟฟิศธรรมดาที่มีร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหารให้มาทานข้าว มานั่งเล่น แต่พอได้เข้าไปสัมผัสจึงรู้ว่า The PARQ … ไม่ได้มาเล่นๆ
เพราะเป็นงานดีไซน์ที่ล้ำสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หลอมรวม “ข้างนอก” และ “ข้างใน” ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะอย่าลืมว่า มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเราต่างต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
ดังนั้น งานออกแบบจึงผสมผสานทั้งเรื่องประโยชน์ใช้สอย อาร์ตความสวยงาม การเปิดรับแสงจากธรรมชาติ การสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ และอีกมากมาย ทำให้ The PARQ ได้รับมาตรฐานอาคารระดับนานาชาติ ทั้ง LEED® Gold Version 4 และมุ่งสู่มาตรฐาน WELL Building Standard ที่ช่วยรับประกันคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายทั้งกายและใจของทุก ๆ คนที่เข้ามาที่อาคารแห่งนี้
ผมจะเริ่มจากการพาเดินชมงานศิลปะที่เป็นไฮไลต์ ซึ่งจัดวางกระจายกันไปในหลายจุดทั่ว The PARQ ทั้งในโซนออฟฟิศ The PARQ Workplace และพื้นที่ร้านค้า The PARQ Life ซึ่งมีร้านอาหารและคาเฟ่น่าสนใจเยอะมาก แน่นอนว่าต้องตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ความงามและการดูแลตัวเอง
ขึ้นชั้น 3 พาไปชม Q Garden เป็นสวนลอยฟ้ากลางแจ้ง เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ แต่เห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าออกแบบแลนด์สเคปโดย SHMA เพราะว่าลายเซ็นชัดเจนเหลือเกิน
ใกล้ๆ กันยังมีฟิตเนสให้ออกกำลังกาย เสียดายที่ผมไม่ได้เตรียมชุดมา มิเช่นนั้น วันนี้ต้องมีการเสียเหงื่อกันบ้าง เป็นการสร้างสมดุลร่างกายหลังเลิกงานได้ดีมากเลยครับ
The PARQ Workplace
The PARQ Life
Meadow by DRIFT
ด้านหน้าอาคาร The PARQ ออกแบบให้เป็นแนวสวนเขียวเพื่อให้ความร่มรื่นเป็นพื้นที่ยาวกว่า 200 เมตร โอบล้อมอาคารตั้งแต่ถนนรัชดาภิเษกมาจนถึงพระรามที่ 4 และหากเดินเข้ามาด้านหน้าบริเวณจุด Drop-off จะเห็นงานศิลปะชิ้นแรกที่จัดวางเอาไว้เพื่อทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน
“เกื้อกูล” คือชื่อผลงาน โดยการสร้างสรรค์ของ “โด่ง-พงษธัช อ่วยกลาง” ศิลปินที่มีความสนใจในงาน Sculpture กับพื้นที่สาธารณะ สร้างเป็นประติมากรรม 2 ชิ้นที่เชื่อมต่อกัน อันทำให้เกิดเป็นความหมายของพลังงาน 2 อย่าง ที่ต้องพึ่งพิงอิงอาศัยกัน นั่นคือ สมดุลของ “พลังการทำงาน” กับ “พลังของชีวิต” โดยมีระยะห่างที่พอดีมาเป็นตัวเชื่อมตรงกลาง
ศิลปินเล่าเรื่องผ่านชิ้นงานวัสดุ เป็นสเตนเลสขัดเงาแบบ Mirror Finished เวลาที่เราเดินชมรอบๆ เราจะเห็นภาพสะท้อนของสิ่งต่างๆ รอบตัวเข้ามาในงานชิ้นนี้ เป็นการเปิดประโยคสื่อสารเรื่องราวของอาคาร The PARQ ได้ดีเลยทีเดียวครับ
เมื่อเดินเข้ามาด้านใน เราจะพบกับงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่บริเวณโถงล็อบบี้ของ The PARQ Workplace ที่มีชื่อว่า “Amplitude” ผลงานของศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นชิ้นงานที่มีความเรียบง่ายทว่าโดดเด่นมากครับ …
เพราะมันขยับได้!!
ผมเคยดูงานของ DRIFT ที่อัมสเตอร์ดัม จะมีเอกลักษณ์คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้สื่อสารเรื่องราวของธรรมชาติ ปรัชญาการใช้ชีวิต จนกลายเป็นงานศิลปะที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
Amplitude สร้างจากหลอดแก้วที่หุ้มด้วยทองเหลืองช่วงหัว-ท้าย ด้านในเป็นลูกตุ้มเหล็กคอยถ่วงน้ำหนัก แขวนลงมาจากเพดานเรียงรายกันไป ควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดเป็นจังหวะต่อเนื่องราวกับนกที่กำลังกระพือปีกโบยบินอยู่ท่ามกลางเวหา ส่งผลให้อาคารดูมีชีวิตชีวา คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เข้าออกตลอดเวลา
ใกล้กันมีงานศิลปะอีกหนึ่งชิ้น ประดับไว้บริเวณโถงลิฟต์ The PARQ Workplace ทั้ง 2 ฝั่ง มีชื่อว่า “The Cradle”
ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นงานถักสานลวดลายที่เราคุ้นเคยกันดี แต่งานชิ้นนี้วัสดุหลักเป็นเซรามิก นี่คือความน่าสนใจ เพราะด้วยเทคนิคที่ใช้สร้างงาน ผมว่ามันไม่ง่ายเลยครับในการที่จะทำเซรามิกมาขึ้นรูปเป็นทรงโค้งที่มีหลายระดับ จากนั้นค่อยๆ นำมาต่อกันคล้ายกับเป็นการถักทองานจักสาน แถมยังไล่เฉดสีได้ดี
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเซรามิกของ “อ้อ-พรพรรณ สุทธิประภา” ทำให้งานออกมาดูน่าสนใจ เต็มไปด้วยรายละเอียด ความหมายและเรื่องราวที่สอดแทรกไว้ในงานศิลปะชิ้นนี้
ผมตีความ (ส่วนตัว) ว่า เป็นการเล่าเรื่องความสามัคคีกันของคนในออฟฟิศที่ต้องเดินผ่านโถงลิฟต์นี้ มีความหมายถึงการช่วยกันสานต่อทำงานออกมาให้สำเร็จ แม้จะไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความพยายามและตั้งใจจริงครับ
พักจากการชมงานศิลปะ ผมจะพามาเดินเล่นในส่วนของ The PARQ Life กันบ้างครับ มีร้านรวงน่าสนใจมากมาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง เน้นเรื่องสุขภาพ ประโยชน์ต่อตัวเองตามแนวคิด “Eat Well and Shop Well”
ผมเดินผ่านคาเฟ่น่ารักมาก ekkamai macchiato ร้านออกแบบสไตล์มินิมอล ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นร้านกาแฟ Starbucks
แต่บ่ายนี้ผมอยากจิบชา จึงไปนั่งที่ร้าน Peace 和 Oriental Teahouse ร้านโปรดของผมจากสุขุมวิท 49 สั่ง Yuzu Matcha มานั่งจิบเบาๆ มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาราวกับเป็นภาพยนตร์ที่มีชีวิต
เป็นเรื่องดีที่เราจะได้มีเวลาในการปลดปล่อยความคิด วางจิตให้ว่าง ทำใจสบายๆ แล้วผ่อนคลายไปกับช่วงเวลาที่ดี ถือเป็นการสร้างสมดุลระหว่างวันทำงานครับ
ใกล้ๆ กับร้านชา ผมมองไปเห็นงานศิลปะที่น่าสนใจอีกหนึ่งชิ้น ประดับอยู่บริเวณ Q Steps โถงกลางของ The PARQ Life Art Piece จะแขวนไว้จากเพดานห้อยลงมายังด้านล่างซึ่งจัดวางเบาะที่นั่งเอาไว้เต็มพื้นที่ เพื่อให้เป็นสถานที่หย่อนใจราวกับได้นั่งพักผ่อนในสวนดอกไม้
ชิ้นนี้เป็นผลงานของศิลปินจาก DRIFT ที่เนเธอร์แลนด์เช่นกัน ชื่อว่า “Meadow” มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้สร้างงานศิลปะ เป็นลักษณะของดอกไม้ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ตัวกลีบดอกไม้ทำจากผ้าไหม ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ที่จะสั่งการให้ดอกไม้หุบและบาน มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ทว่า โดยคอนเซ็ปต์แล้ว “Meadow” จะบอกเล่าเรื่องราวของธรรมชาติที่เป็นวัฏจักร มีความเป็นไปและเปลี่ยนแปลงเป็นนิจ
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ดอกไม้จะบาน เมื่อตะวันตกดิน ดอกไม้จะหุบลง เป็นธรรมดาโลก
ผมจะพาเดินขึ้นไปยังชั้น 3 กันบ้างครับ เดินผ่านสปาและฟิตเนส เพื่อจะไปชมสวนลอยฟ้าและยังมีงานศิลปะติดตั้งอยู่อีกหนึ่งชิ้น
แต่ระหว่างทางขึ้นบันไดเลื่อน อยากจะเล่าถึงเรื่องการออกแบบ The PARQ ให้มีการเชื่อมต่อกับสภาวะแวดล้อมระหว่างภายในกับภายนอกอาคาร
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสถาปนิกตั้งใจออกแบบให้มีช่องแสงธรรมชาติส่องผ่านกระจกกันความร้อนเข้ามาภายในอาคารทั้งด้านบนและด้านข้าง ลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ถึง 75% ประกอบกับการใช้ผนังอาคารกันความร้อน มีระบบควบคุมแสงแบบไฮเทคติดตั้งเซ็นเซอร์และ Internet of Thing (IoT) สามารถปรับระดับความสว่างแสงไฟได้อัตโนมัติเมื่อมีแสงธรรมชาติเพียงพอ สั่งการเปิด-ปิดไฟเมื่อไม่มีคนอยู่ในห้องควบคุมได้ง่ายผ่านมือถือ
นอกจากนี้ The PARQ ยังติดตั้งเครื่องกดน้ำดื่มระบบ Reverse Osmosis สำหรับผู้เช่า มีระบบบำบัดน้ำ ระบบการจัดการขยะและของเสีย ติดตั้งระบบทำความเย็นประสิทธิภาพสูง ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับสภาวะคาร์บอนมอนอกไซด์ในอากาศ มีเครื่อง UV Emitter ช่วยฆ่าเชื้อโรค สร้างคุณภาพอากาศภายในอาคารให้ดีที่สุด ผมว่าการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะช่วยประหยัดพลังได้มาก และยังช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยครับ
บนชั้น 3 จะพบกับ Q Garden เป็นสวนลอยฟ้ากลางแจ้งที่มีเนื้อที่มากถึง 3,400 ตร.ม. คอยให้ร่มเงา สร้างสุนทรียะในการทำงานและการใช้ชีวิต ออกแบบโดย SHMA บริษัทภูมิสถาปัตย์ชื่อดัง
ในการออกแบบพื้นที่สีเขียวของ The PARQ นั้น SHMA นำแนวคิดของป่าไม้เขตร้อนและพืชน้ำ มาผนวกกับน้ำจากลากูนที่ยกมาไว้บนสวนลอยฟ้า
ส่วนพื้นที่สีเขียวอื่นๆ ภายใน The PARQ จะเป็นโซนหุบเขาและทุ่งหญ้า ผสมผสานกับ Rain Garden เพื่อให้เกิดความหลากหลายและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ระหว่างที่เดินเล่นรอบๆ สวน เราจะสนุกกับการอ่าน Quotes ต่างๆ เพื่อคอยกระตุ้นให้เราจัดสมดุลชีวิตให้ดี ตามแนวคิด “Life Well Balanced” แบ่งเวลามาเติมความรื่นรมย์ผ่านพื้นที่สีเขียวลอยฟ้า โดยแลนด์สเคปตั้งใจออกแบบให้เชื่อมต่อสวนลอยฟ้าเข้ากับสวนสาธารณะเบญจกิติที่อยู่ใกล้ๆ
ถ้าผมมีออฟฟิศอยู่ที่ The PARQ Workplace ผมคงแอบหนีมานั่งครีเอทคอนเทนต์อยู่ที่ Q Garden นี้บ่อยๆแน่นอน เพราะว่าเงียบสงบด้วยต้นไม้และร่มเย็นด้วยสายน้ำ นั่งได้ทั้งวัน แม้จะเป็นตอนบ่ายๆ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกร้อนมากนัก ตรงกันข้ามกลับสบายใจที่ได้อยู่ใต้ร่มเงาไม้ ซึ่งหาได้ยากเหลือเกินในชีวิตคนเมืองปัจจุบัน
ใกล้กันยังมีแปลงพืชผักสวนครัวปลอดสาร ซึ่งทางอาคารปลูกเอาไว้ให้เราเด็ดไปปรุงอาหารต่อที่บ้านได้ทันทีเลยครับ
ที่ผมชอบมากคือการออกแบบ “เส้นทางเดินประชุม” ออกมานอกออฟฟิศ เพื่อให้เราได้คิดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางต้นไม้และงานศิลปะสาธารณะ และยังได้ออกกำลังกายเบาๆ ไปในตัวอีกด้วยครับ
ที่ Q Garden ยังมีงานศิลปะอีกหนึ่งชิ้นที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ชื่อ The Cocoon ฟังแล้วเข้ากันดีมาก เป็นลักษณะของเก้าอี้ทรงรังไหมผลงานของ “บีน-สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์”
ศิลปินใช้วัสดุสเตนเลสเส้นเป็นโครงสร้างของตัวงานแล้วใช้สเตนเลสแผ่นติดลงไปบนโครงนั้น เกิดเป็นพิกเซลสี่เหลี่ยมหลายๆ อัน ที่สามารถขยับได้เมื่อมีลมพัด นอกจากนี้ ยังมีกระดิ่งทองเหลืองที่ให้เสียงแห่งความสงบซ่อนอยู่ภายใน ทำให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัว หลบลี้หนีความวุ่นวายมาพักใจอยู่ในรังไหม ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวน้อยใหญ่ในสวนลอยฟ้าแห่งนี้
จากไม่เคยรู้จัก กลายเป็นรักมาก เมื่อกานต์ได้เข้ามายัง The PARQ หลังจากก่อนหน้านี้เคยขับรถผ่านไปผ่านมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง
จากนี้ไป The PARQ น่าจะเป็น Third Place ที่ดีสำหรับผมในการมานั่งอ่านหนังสือ รับลม กินขนม ดื่มกาแฟ หรืออาจจะต่อเนื่องคิดการณ์ใหญ่ไปจนถึงขั้นย้ายออฟฟิศ “กานต์เดินทาง” มาอยู่ที่นี่ เพราะค่อนข้างประทับใจในการออกแบบอย่างยั่งยืน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการสร้างสมดุลที่ดีระหว่าง ชีวิตกับธรรมชาติ ตลอดจนสมดุลกายใจของเราเอง
ส่วนเรื่องเดินทางนับว่าสะดวกมากครับ ถ้าใครขับรถมาสามารถเข้าได้จากถนนพระรามที่ 4 หรือเลี้ยวเข้าถนนรัชดาภิเษก ทางเข้าอาคาร The PARQ จะอยู่ก่อนถึงศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ลานจอดมีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เยอะมาก หรือหากจะโดยสารรถไฟฟ้า สามารถลงที่สถานีศูนย์สิริกิต์ ทางออกที่ 2 ได้เลยครับ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.theparq.com