ร้านนี้เนื้อหอมสุดในเขาใหญ่
หมายถึงสเต๊กเนื้อย่างหอมๆ นุ่ม ละลาย ลื้มมมมม
_
หลังได้ฟังจากเพื่อนหลายคน recommened มาว่า ร้าน The Fable Feast Khao Yai : Meat and More อาหารอร่อย แต่ละเมนูคือว๊าวมาก เนื้อวากิวนำเข้าคือดีย์ บรรยากาศสบายๆ คืออยู่ในโรงแรม Hotel Labaris Khao Yai ซึ่งวาง theme ให้เป็นดินแดนแห่งเทพนิยาย กานต์ได้ไปทานมาแล้วครับ ซึ่งรีวิวนี้จะได้เล่าให้ฟัง
ร้านอาหารอยู่ด้านในสุดขับรถเข้าไปได้เลยครับ ถ้าตามคอนเซปต์ของโรงแรมจะเรียกที่นี่ว่าเป็นห้องปรุงยา ภายในตกแต่งสไตล์ลอฟท์ เท่มากครับ เป็นร้านอาหารแนว Grill Bar and European Twist ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหล ตั้งแต่ดีไซน์ร้าน หน้าตาของอาหารแต่ละจาน และแน่นอนว่าอร่อยมากครับ
ผมได้เจอเชฟโอม-ทรงพล สิทธิสร ซึ่งถือว่าเป็นครีเอทีฟเชฟ ถนัดอาหารสไตล์ Gastronomy ที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งเลยครับ ดังนั้น แต่ละเมนูจึงเต็มไปด้วยเทคนิคในการปรุงที่มีหลายองค์ประกอบ เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน
ที่สำคัญคือการเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของโคราช เช่น มะเขือเทศ ข้าวโพด มัลเบอร์รี่ ฯลฯ มาดีไซน์ให้เป็นอาหารชั้นเลิศร่วมกับวัตถุดิบนำเข้าเกรดพรีเมี่ยม ไม่ว่าจะเป็น 2GR Wagyu Australia ซึ่งมีกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์และเนื้อนุ่มมาก, Rougie Foie Gras เป็นสุดยอดตับห่านเบอร์ 1 ของโลกนำเข้าจากฝรั่งเศส โดยจะเลี้ยงแบบธรรมชาติ ทำให้มีกลิ่นที่หอมมาก เชฟนำมาทำเป็นสลัด
ส่วนตัวผมชอบ Lobster Bisque ของที่นี่มาก มีความเข้มข้นที่สุดที่ผมเคยทานมาซึ่งผมจะได้เล่าให้ฟังต่อในแคปชั่นของแต่ละรูปว่า กว่าจะมาเป็นอาหารจานอร่อยคอยเสิร์ฟให้เราทานได้นั้น ต้องมีขั้นตอนและที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง
ไปชมภาพที่กานต์นำมาฝากกันดีกว่า อ่านเสร็จแล้วแนะนำให้รีบ inbox ไปจองโต๊ะเลยครับ
ร้าน The Fable Feast Khao Yai : Meat and More ใน Hotel Labaris Khao Yai เป็นอีกจุดเช็คอินและฟินจริง สำหรับใครที่อยากลองทานสเต๊กเนื้อหอมๆ นุ่มฉ่ำ พร้อมทั้งอาหาร European Twist ที่ทานง่าย รสชาติดีมีความครีเอทในการนำเสนอ
ห้องอาหาร The Fable Feast Khao Yai ออกแบบได้เท่มากครับ เป็นสตอรี่ความรักความสัมพันธ์ของด้ายแดงและดอกกุหลาบสีแดง ผ่านอาคารทรงจั่ว โปร่งโล่งสบาย เว้นระยะห่างได้อย่างเหมาะสม มีที่นั่งให้เลือกทั้งด้านนอกและด้านในห้องปรับอากาศครับ
Signature Drinks : Princess Rose
ภายในตกแต่งแบบลอฟท์ดิบๆ ดูเท่มาก ส่วนสไตล์อาหารจะเน้นเรื่อง Grill Bar และ European Twist คือการผสมผสานความโมเดิร์นกับความคลาสสิคเข้าไว้ด้วยกัน
เพิ่มเติมเรื่องความสวยงามของแต่ละประเทศเข้ามาในจานอาหาร ตกแต่งหน้าตาให้สวยงาม ผมสังเกตว่าแทบทุกจานจะประดับดอกไม้ที่กินได้ (Edible Flower) เข้ามาด้วย ทำให้หน้าตาน่ารับประทานมากครับ
ที่นี่เป็นครัวเปิดนะครับ ผมมองไปเห็นเชฟโอม-ทรงพล สิทธิสร กำลังง่วงอยู่กับการกริลล์สเต๊กให้เราได้ทานกัน
พนักงานนำเครื่องดื่มที่เป็น Signature ของห้องอาหารที่เราสั่งไว้มาเสิร์ฟก่อนที่อาหารแต่ละจานจะทยอยตามมาครับ
แก้วนี้ชื่อเพราะมาก Lady in Wonderland เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความหวานละมุนและความหอมของลิ้นจี่ กุหลาบและสดชื่อด้วยโทนิกส้มยูซุ
อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกจะเป็น French Fries Six Sauce เชฟเล่าว่า ปกติมันฝรั่งทอดจะมีอย่างมากก็แค่ 2 ซอส ทานแล้วน่าเบื่อ จึงอยากเพิ่มซอสเข้ามา
โดยนำวัตถุดิบจากท้องถิ่นและที่นำเข้ามาปรุงเป็นซอส ได้แก่ ซอสเทาซันไอร์แลนด์, ซอสเชดดาชีสและมอสซาเรลลาชีส, ซอสสไปซี่ที่เพิ่มมายองเนสเข้าไปเพื่อให้รสชาติเข้มข้นและหวานมัน ส่วนซอสวาซาบิมาโย รู้สึกซาบซ่าดี, ซอสผงแกงกะหรี่มาโย
ส่วนซอสมะเขือเทศโฮมเมดที่ผมว่ารสแปลกดีแต่อร่อยที่สุด เลยถามสูตรเด็ดเคล็ดลับของเชฟไป ได้ความว่าที่ต่างจากที่อื่นเพราะเชฟใส่สเปียร์มินต์ที่ปลูกใน The Ribbit Garden ลงไปด้วย ทำให้รู้สึกเย็นๆ ที่ปลายลิ้นเวลากินเข้าไป ตัวนี้แปลกดีครับ
Appetizer จานต่อมาเชฟโอมตั้งชื่อกวนๆ ว่า What the Duck Salad เรียกง่ายๆ ว่าอะไรก็ได้ที่เป็นเป็ดเชฟนำมารวมไว้ในจานนี้ครับ ในจานจึงประกอบไปด้วย อกเป็ดรวมควัน ไข่เป็ดออร์แกนิคที่เชฟนำไป Poached ส่วนฟัวย์กราส์จะใช้ของ Rougie นำเข้าจากฝรั่งเศสถือเป็นสุดยอดตับห่านเบอร์ 1 ของโลกซึ่งมีกรรมวิธีการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ทำให้มีกลิ่นที่หอมมาก
นำมาคลุกเคล้ากับผักสลัดออร์แกนิคจากสวน The Rabbit Garden เสิร์ฟมาคู่กับน้ำสลัดสูตรพิเศษของเชฟโอม ที่ผสมน้ำเลมอนสดและน้ำผึ้งเกสรดอกลำไยจากเชียงใหม่เข้าไปเสิร์ฟพร้อมส้มซันควิสต์ เวลาทานจะได้ความรู้สึกสดชื่น หวานฉ่ำ เข้ากับเป็ดได้ดีมากครับ เป็นการเปิดรสชาติก่อนที่จะรับประทานอาหารจานต่อไปได้ดีมาก
สลัดอีกจานที่อยากจะแนะนำคือ Battered Fresh Lobster Salad รสชาติจัดจ้านมากเพราะเสิร์ฟแบบไทยด้วยการปรุงน้ำยำแบบส้มตำผลไม้ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลจากเขาใหญ่ ทั้งมะม่วง สัปปะรด แก้วมังกร สตอเบอร์รี่ ฯลฯ
เสิร์ฟคู่กับพระเอกของจานนี้คือแคเนเดียน ล็อบสเตอร์ ที่เชฟหั่นเต๋าแล้วคลุกแป้งเทมปุระก่อนจะนำไปทอด จากนั้นนำมาเคลือบด้วยซอสเอบิมาโย โรยหน้าด้วยไข่กุ้งเพื่อเพิ่มความหอมมัน
จานนี้ตอนก่อนจะทานก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะเข้ากันรึเปล่า แต่พอทานกุ้งแล้วตามด้วยสลัดผลไม้ ผมว่าเป็น combination ที่ลงตัวมากครับ
เหมือนจะไม่เข้ากัน แต่เข้ากันดี ตอนที่เขียนไปก็ยังงงๆ อยู่ รู้แต่ว่าอร่อยมาก แนะนำว่าจานนี้ต้องสั่งครับ
จานนี้เสิร์ฟมาน่ารักดีครับ เป็น Pan Seared Foie Gras, Mix Berry Sauce เชฟนำตับห่านไปเซียร์ในกะทะพอสุก Rougie Foie Gras เวลาโดนไฟน้ำมันจะน้อยกว่าตับห่านของยี่ห้ออื่นนะครับ และจะให้กลิ่นที่หอมมาก
เชฟนำมาคลุกเคล้ากับเบอร์รี่ซอสและผักสลัดที่ปลูกเอง จานนี้จะได้ความหอมมันของตับห่านและรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวของซอสและความสดของมะเขือเทศ ทานแล้วรู้สึกสดชื่นดีครับ อยากทานจานต่อไปแล้ว
เมนูนี้ผมชอบมากครับ ทั้งที่ทาน Lobster Bisque Soup มาแล้วหลายร้อยถ้วย แต่ยังไม่เจอห้องอาหารไหนที่เคี่ยวซุปได้เข้มข้นถึงเครื่องขนาดนี้
เทคนิคก็คือเชฟใช้แคนาเดียน ล็อบสเตอร์กับกุ้งลายเสือของไทยผสมกันจนเต็มหม้อ ปรุงรสด้วยเกลือทะเล พริกไทยดำ หัวผักชีล้อมและบรั่นดี ใช้เวลาเคี่ยวนานถึง 8 ชั่วโมงจนกลายเป็น Bisque จริงๆ ไม่ใช่แค่ซุปเหลวๆ ทั่วไป
ผมถึงบางอ้อทันทีที่เชฟเล่าเทคนิคว่าทำไม Bisque Soup ของเชฟถึงได้ข้นและหอมอร่อยขนาดนี้ เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อก้ามกุ้งล็อบสเตอร์และไข่ปลาคาร์เวียร์
ร้านอาหารเปิดให้บริการทั้งวันนะครับ ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ตรงกับมื้อเที่ยงและมื้อค่ำจะคนเยอะหน่อย แนะนำให้โทรมาจองโต๊ะไว้ก่อนจะดีกว่า
ที่เบอร์ 044-300-999 ครับ
Princess Rose เครื่องดื่ม Signature จากห้องอาหาร The Fable Feast Khao Yai : Meat and More ดื่มแล้วหอมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ได้ความรู้สึกที่สดชื่นดีครับ
มาถึงอาหารจานหลักกันบ้างครับ มีหลายเมนูที่น่าสนใจ ผมเริ่มจากจานที่มีสตอรี่ที่น่าอัศจรรย์ของ Hotel Labaris Khao Yai ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร The Fable Feast Khao Yai : Meat and More กันก่อน
เชฟโอมได้ครีเอทเมนู Oven-Baked Spaghetti Pomodoro with Seafood หรือสปาเกตตี้ทะเลอบซอสมะเขือเทศและแป้ง Foccacia
ทีแรกผมก็หาอยู่นานว่าจานนี้สปาเกตตี้อยู่ที่ไหน อ่อ!! เชฟนำไปซ่อนไว้ให้เราเซอร์ไพรส์ในแป้ง Foccacia ที่อบจนขึ้นฟู
ก่อนทานจะต้องลงมีดเพื่อกรีดให้เห็นส่วนผสมของวัตถุดิบด้านในก่อน ซึ่งมีทั้งหอยแมลงภู่แทสเมเนียนดำ กุ้งขาว ปลาหมึก คลุกเคล้าด้วยซอสมะเขือเทศ แอนโชวี่ เม็ดเคเปอร์และมะกอกดำ ทำให้จานนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและสนุกมากขึ้นในการรับประทานครับ
จานนี้เน้นทานง่าย จริงๆ ผมว่าช่วงกลางวันใครที่ต้องผ่านเขาใหญ่ต้องการทานอาหารจานเดียวง่ายๆ แต่อร่อย แนะนำให้สั่ง Braised Wagyu Osso Buco, Onzen Egg หรือหน้าแข้งวัวเนื้อวากิวตุ๋น ซึ่งผมไม่ค่อยเห็นเชฟท่านใดนำส่วนนี้ของวัวมาทำอาหารเพราะจริงๆ แล้วเนื้อมันเหนียวเนื่องจากเป็นส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อขาทำให้ต้องใช้เวลาเคี่ยวนานมาก
เชฟโอมจึงนำหน้าแข้งวัวไปตุ๋นกับน้ำเกรวี่เป็นเวลา 12 ชั่วโมงเลยนะครับ กว่าจะได้เมนูนี้ออกมา ผมว่าด้วยความเข้มข้นของไขกระดูกวัวที่มีคอลลาเจนอยู่ เคี่ยวจนเป็นเจลลาตินเลยครับ เนื้อนุ่มดีมาก ใช้ช้อนตัดได้เลย ตัวซอสมีความหอมหวานตามธรรมชาติโดยแทบไม่ต้องปรุงรสใดๆ เพิ่ม เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าว เชฟใช้ข้าวไรซ์เบอร์รี่กับข้าวสวยทำให้มีสองสีนำไปผัดเนยกระเทียมและมีไข่ออนเซ็นท๊อปมาด้วยครับ ทำให้จานนี้ อร่อย ทานง่าย (แต่หาทานยาก) แถมยังได้ประโยชน์จากคอลลาเจนที่ช่วยในเรื่องบำรุงผิวพรรณ ต้านอนุมูลอิสระ
เมนูข้าวอีกจาน คือ Oven Baked Creamy Mushroom Risotto, Grill Beef Tenderloin หรือข้าวรีซอสโต้อบเนื้อซอสเห็ด เชฟเลือกใช้ข้าวรีซอสโต้ออร์แกนิคนำเข้าจากอิตาลี ปรุงรสด้วยเกลือทะเล พริกไทยดำ แล้วนำไปผัดกับครีมสด ทรัฟเฟิลบด เพื่อให้มีรสสัมผัสที่หอมมันถูกปากคนไทย ตัวข้าวสุกกำลังดีมีรสชาติอ่อนๆ
เทคนิคคือเมื่อผัดข้าวกับซุปในกะทะจนสุกกำลังดีแล้ว เชฟจะโรยหน้าด้วยพาเมซานชีสแล้วนำไปเข้าเตาอบอีกสักครู่เพื่อเพิ่มความหอมมากขึ้น ทานคู่กับเนื้อสันในออสเตรเลีย เชฟเลือกใช้ JackCreek’s, Tenderloin, MB3, 180days, Australia จุดเด่นคือเป็นเนื้อวัวสดนำเข้าที่ไม่ผ่านการแช่แข็งเลยครับ ทำให้มีความนุ่มจนแทบละลายในปากกันเลยทีเดียว
ก่อนทานเชฟจะสไลด์เห็ดทรัฟเฟิลลงไป และยังมีน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลด้วยครับ ทำให้ทุกคำที่ทานในจานนี้จะได้ความครีมมี่ หอม มันและนุ่ม เป็นอีกจานที่เชฟโอมทำรสชาติและรสสัมผัสเข้ากันได้ดีมาก อยากให้ลองทานกันดูครับ
ส่วนพระเอกของ Grill Bar ก็ต้องยกให้สเต๊กนะครับ จานนี้ขายดีที่สุดในร้านเป็นเนื้อริบอาย 2GR Wagyu จากออสเตรเลีย นำเข้ามาจากฟาร์มที่เลี้ยงแบบอิสระ ทำให้มีความหอมของเนื้อที่ได้จากธัญพืชที่วัวกินเข้าไป เนื้อจะมีมันแทรกเป็นลายหินอ่อนสวยมาก
ที่สำคัญคือเทคนิคกระบวนการขนส่งข้ามประเทศแบบ Cold Chain หรือการรักษาอุณหภูมิจากฟาร์ม 5-8 องศาจนมาจนถึงครัวของ The Fable Feast Khao Yai ไม่ได้แช่แข็งมาเลยครับ ทำให้ได้เนื้อวัวที่มีความสดใหม่อยู่เสมอ เมื่อนำมาปรุงแล้วจะได้เนื้อที่นุ่มฉ่ำดีมาก
เชฟโอมใช้เทคนิคในการกริลล์คือ ใช้ไม้หอม Hickory Wood ในเมนูย่างทุกจาน ทำให้ได้กลิ่นหอมของไม้เข้ามาผสมด้วยครับ ปรุงง่ายๆ ด้วยเกลือ พริกไทยและสมุนไพรฝรั่ง สำหรับซอส จะมีให้เลือกหลายตัวเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Chimi Churri (ตัวนี้เด็ดสุด), Peppercorn Parmesan Whisky, Chiva Sauce และ Fermented Wasabi เสิร์ฟพร้อมเกลือทรัฟเฟิล เกลือหิมาลัย เพื่อเสริมความหอมของเนื้อจานนี้ให้มากยิ่งขึ้นครับ
จานนี้ถือเป็น A Must เลยครับ สำหรับใครที่มาทานที่ร้าน The Fable Feast Khao Yai : Meat and More
ส่วนของหวานที่อยากจะแนะนำ คือ Summer Platter ขนมหวานไทยฟิวชั่นที่เชฟได้ทวิสต์ความเป็นไทยเข้ากับวัตถุดิบและรูปแบบการเสิร์ฟแบบ European มีทั้ง ผลไม้ตามฤดูกาลนำมาลอยแก้ว, ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ หรือไอศกรีมฝรั่ง ทานคู่กับน้ำปลาหวานและพริกเกลือ อันนี้เก๋ดี
ข้าวเหนียวหน้าปลาแซลมอนคั่วหวาน ข้าวเหนียวหน้าปลาแซลมอนคั่วเค็ม และข้าวเหนียวดำสังขยาคาราเมลไรซ์
#โดยสรุป ร้าน The Fable Feast Khao Yai : Meat and More ซึ่งตั้งอยู่ใน Hotel Labaris Khao Yai ขับรถเข้ามาด้านในได้เลยครับ นับว่าเป็นร้านอาหารที่ผสมผสานเรื่องราวเข้ากับความอร่อยได้ดี
ผมว่าเป็นอีกจุดเช็คอินและฟินจริง สำหรับใครที่อยากลองทานสเต๊กเนื้อหอมๆ นุ่มฉ่ำ พร้อมทั้งอาหาร European Twist ที่ทานง่าย รสชาติดีมีความครีเอทในการนำเสนอ ที่สำคัญผมยกนิ้วให้ในเรื่องวัตถุดิบครับ ทั้งอิมพอร์ตอย่างเนื้อริบอาย 2GR Wagyu จากออสเตรเลีย Rougie Foie Gras จากฝรั่งเศส ข้าวรีซอตโต้ออร์แกนิคจากอิตาลี และยังมีวัตถุดิบในท้องถิ่นโคราชเพื่อส่งเสริมเกษตรกร สมุนไพรที่ปลูกเองใน The Rabbit Garden เหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่ทำให้อาหารแต่ละจานน่าทานมากขึ้นครับ
โทรจองโต๊ะได้ที่เบอร์ 044-300-999 หรือ INBOX ไปหาเพจของทางร้านได้เลยครับ