เดือนสิงหาคมนี้ เรามีนัดกันไปศรีลังกา แต่เวลาบอกใครว่าจะไปศรีลังกา คนก็จะงงๆ แล้วถามต่อ จะไปไปมัลดีฟส์เหรอ!?!!
ไม่ใช่อ่ะแกร๋ … ศรีลังกามีอะไรมากกว่าชา กบฏพยัคฆ์ทมิฬและมัลดีฟส์ เรื่องพระเรื่องเจ้าเค้าก็มี ดังนั้นคนดีทั้งนอกและในอย่างเราต้องไป “ไหว้พระ” ที่ศรีลังกา
ยิ่งต้นเดือนสิงหาคมที่จะไปเป็นช่วงเทศกาลพาราเฮร่าด้วย … รับรองเปรมใจแน่นอน
มาดูกันสิว่า ศรีลังกา ฉันมาทำอะไรที่นี่!?!!
โคลอมโบ ไม่ใช่เมืองหลวง
แต่หลายคนก็ยังเข้าใจเช่นนั้นอยู่ โคลอมโบเป็นเมืองที่สร้างโดยชาวอังกฤษ แต่ปัจจุบันทางการอยากให้เมืองหลวงเป็นเมืองที่สร้างโดยคนท้องถิ่นมากกว่า จึงเปลี่ยนเมืองหลวงมาเป็นเมือง “ศรีชัยยะวรรธนโกฏเฏ“ แทน แต่อย่างไรก็ตามโคลอมโบก็ยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมือง การค้าและสังคมของศรีลังกาอยู่ครับ
ทันทีที่บินลงสนามบินโคลอมโบ สัมผัสแรกที่พบคืออากาศที่ร้อนชื้นคล้ายกับภาคใต้บ้านเรา แต่เวลาช้าลงไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ที่โคลอมโบจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 15 เขตตามรหัสไปรษณี ถ้าใครจะไปดูย่านไฮโซคนรวยอยู่กันก็ต้องไปแถวเขตหมายเลข 7 และหมายเลข 8
ถนนในโคลอมโบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวมีแลนด์มาร์คหลายแห่ง ระหว่างทางจะพบเห็นทั้งพระพุทธรูป และรูปพระเยซูคริสต์อยู่ตามปากซอย ตามสี่แยก และวงเวียน เป็นการแสดงถึงการที่เป็นเมืองที่เคร่งครัดในศาสนาของคนในท้องถิ่น
พวกตึกรามอาคารต่างๆ ก็น่าสนใจนะครับ เพราะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 17 แบบโคโลเนี่ยลและสไตล์นีโอ-บารอก วิวทิวทัศน์ที่เห็นเบื้องหน้าก็จะเป็นตึกสลับกับธรรมชาติ เพราะไม่ไกลกันนั้นเราได้กลิ่นไอของทะเลที่พัดเข้ามาปะทะอยู่เป็นระลอก ศรีลังกามิได้มีแต่เพียงโคลอมโบที่น่าสนใจแต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวและเมืองเก่าที่หลากหลายไม่ว่าส่วนไฮไลท์อยู่ที่เมืองแคนดี้ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้ว
และแทบไม่น่าเชื่อว่าเกาะหยดน้ำไข่มุกขนาดเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 65,610 ตารางกิโลเมตร จะมีมรดกโลกตั้งอยู่ที่นี่ถึง 8 แห่ง
วัดคงคาราม พิพิธภัณฑ์มีชีวิต
วัดคงคาราม (Gangaramaya Temple) เป็นวัดที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เต็มไปด้วยข้าวของมีค่าโบราณมากมาย ทั้งพระพุทธรูปโบราณ ศิลปวัตถุ งานประติมากรรมทางศาสนา วัตถุมงคลที่มีผู้คนนำมาถวาย รวมกันแล้วนับ 10,000 ชิ้น แยกกันเก็บตามอาคารที่มีลักษณะคล้ายกับพิพิธภัณฑ์ ถ้าจะดูให้ทั่วต้องใช้เวลาทั้งวันครับ
ภายในวัดมีวิหารและโบสถ์ ซึ่งภายในโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย (ในลังกาเรียกปางอภัย เพราะจะได้ไม่มีภัยใดๆ อันเกิดจากกิเลส ความเร่าร้อนมาสู่เราได้) เป็นศิลปะแบบลังกา ทาด้วยสีเหลืองสด มีวงรัศมีด้านหลังทาสีแดงและสีทอง
บริเวณรอบจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม มีทั้งรูปเทพชุมนุม รูปจำลองการแต่งกายของเทพ ซึ่งจะตรงกับศิลปะสุโขทัยของไทย นั่นแสดงว่าเราเองก็ได้รับอิทธิพลการแต่งกายจากลังกามาด้วย
นอกจากพุทธศาสนา ที่วัดนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวไทยมากๆ ครับ เพราะจะเห็นพระพุทธรูป และรูปปั้นพระเถระจากเมืองไทยอยู่มากมายที่นี่
ด้านข้างโบสถ์จะมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่และยังมีเจดีย์ด้วย
ที่วัดคงคารามแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์แห่งแรกของศรีลังกา และที่สำคัญยังเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เราจะพบเห็นพุทธศาสนิกชนเดินทางมากราบสักการะบูชาที่วัดแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย
สัมผัสศรัทธา วัดกัลยาณี
วัดกัลยาณี (Kelani Raja Maha Viharaya) อยู่ห่างจากเมืองออกมาประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 2,000 ปี ตามประวัติเล่าว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกกว่า500 รูปเคยเสด็จมาที่นี่ในวันวิสาขบูชา ตามคำเชิญของพญานาคนามว่า “มณีอัคขิกะ” เจ้าผู้ครองนครแคว้นกัลยาณี บรรยากาศที่วัดนี้เป็นไปด้วยความเรียบง่าย เราเจอพุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์กำลังนั่งสวดมนต์อยู่กับพื้น รายรอบเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสีขาว ซึ่งโชคดีที่เคยได้ร่วมขบวนแห่ผ้าห่มรอบพระเจดีย์กับเขาด้วย
นอกจากนี้ ที่วัดยังมีต้นโพธิ์ที่เป็น 1 ใน 32 ต้นที่ถูกตอนกิ่งมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่เมืองอนุราธปุระ (Anuradhapura) เราจะเห็นชาวบ้านที่นี่นำดอกไม้มาสักการะบูชารอบๆ ต้นโพธิ์และนำถังน้ำขนาดเล็กเทินศรีษะแล้วเดินเวียนรอบต้นโพธิ์จนครบ 3 รอบ แล้วนำไปรดบริเวณหน้าพระพุทธรูปที่ประดิษฐานใต้ต้นโพธิ์ ถัดกันไปจะมีวิหารที่มีโถงกลางและห้องขนาดเล็ก 2 ห้องขนาบซ้ายขวา มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่เคยเสด็จมาเยี่ยมประเทศศรีลังกาทั้งสิ้น 3 ครั้ง
สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์
เมืองอนุราธปุระ (Anuradhapura) เป็นเมืองโบราณที่มีจิตวิญญาณแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน อยู่ห่างออกไปจากโคลอมโบประมาณ 200 กิโลเมตร ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกา ต่อมาได้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 1982
สถานที่สำคัญที่ต้องมาในเมืองอนุราธปุระ คือการมากราบสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เชื่อกันว่าเป็นกิ่งเบื้องขวาของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ที่เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย และถูกนำเข้ามายังศรีลังกาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีอายุราว 2,300 ปีมาแล้ว
บริเวณโดยรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์จะถูกล้อมรั้วป้องกันอย่างแน่นหนา จนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นฐานของต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้ แถมยังมีการนำไม้ค้ำยันสีทองมาช่วยยันกิ่งเอาไว้ด้วย
ใกล้กับต้นพระศรีมหาโพธิ์จะมีโบสถ์ขนาดเล็ก ที่มีชาวบ้านมานั่งสวดมนต์อยู่เป็นประจำ ถัดไปไม่ไกลจากต้นพระศรีมหาโพธิ์เดินไปประมาณ 500 เมตรจะเป็นพระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยา (Ruwanwelisaya) หรือสุวรรณมาลิกเจดีย์
องค์พระเจดีย์เป็นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์มีความสูง 103 เมตร สร้างในสมัยพระเจ้าทุฏฐคามินี ในช่วงที่ถือว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนาในศรีลังกา โดยรอบฐานพระเจดีย์จะมีรูปปั้นช้างล้อมไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ได้ช่วยลากหินภูเขามาก่อสร้างพระเจดีย์แห่งนี้
นอกจากนี้เมืองอนุราธปุระยังมีพระเจดีย์ที่สำคัญและยิ่งใหญ่อีกสององค์คือเจดีย์เชตวัน (Jetavanarama) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในโลกมีความสูง 122 เมตร สร้างจากอิฐทั้งองค์ ในสมัยพระเจ้ามหาเสนา
และเจดีย์อภัยคีรี (Abayagiriya) ซึ่งมีขนาดใหญ่รองจากเจดีย์เชตวัน มีความสูง 113 เมตร สร้างโดยพระเจ้าละวะคำภาอยู่บริเวณภายในวัดอภัยคีรีวิหาร ด้านหน้าองค์พระเจดีย์มีวิหารประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ด้วย
มรดกโลก วัดถ้ำดัมบุลลา
วัดถ้ำดัมบุลลา เป็นวัดถ้ำเก่าแก่หนึ่งในมรดกโลกที่ศรีลังกา มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18ภายในมีเนื้อที่กว้างกว่า 2,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนเขาหินแกรนิตสูง 160 เมตรจากบริเวณลานจอดรถ บริเวณทางเดินก่อนขึ้นไปยังถ้ำจะพบพระพุทธรูปสีทองอร่ามองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้ามีทางขึ้นทำไว้สองทางคือแบบขั้นบันไดและเป็นทางเนิน ซึ่งระหว่างทางจะพบฝูงลิงที่มานั่งเล่นนอนเล่นรอคอยต้อนรับ
มาถึงด้านบนจะพบถ้ำ 5 ถ้ำคือเทวราชา มหาราชา มาหาอลุต ภัคชิมาและเทวานอลุต แต่ละถ้ำมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป
โดยถ้ำเทวราชาจะเป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุด แต่ละถ้ำจะมีพระพุทธรูปหลักปางต่างๆ เช่นปางไสยาสน์ ปางสมาธิ ปางห้ามญาติตลอดจนมีรูปปั้น รูปเทวดา เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ และภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี สถานที่แห่งนี้จะมีพุทธศาสนิกชนนำดอกไม้มาจากบ้านเพื่อสักการบูชาไม่อย่างไม่ขาดสาย
สานสัมพันธ์สยาม – ลังกา
ไฮไลท์ของเราอยู่ที่เมืองแคนดี้ (Kandy) ซึ่งอยู่ห่างจากโคลอมโบไปประมาณ 115 กิโลเมตร อยู่สูงกว่าดับน้ำทะเล 500 เมตร
ในตัวเมืองแคนดี้จะมีทะเลสาบขนาดใหญ่เป็นแลนด์มาร์คของเมือง ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นตามคำสั่งของสีวิการามาราชาสิงหากษัตริย์แห่งสิงหลเมื่อปีพฤษภาหลาด 2350 เพื่อทำเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวในสมัยนั้นใครที่ต่อต้าน การก่อสร้างจะถูกฆ่าแล้วนำศพไปทิ้งอย่างทะเลสาบ
ที่เมืองแคนดี้มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลายอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและเกี่ยวพันกับประเทศไทยด้วย
พุทธเถรวาทในศรีลังกาปัจจุบันมีนิกายสำคัญสามนิกายคือสยามนิกาย (สยามวงศ์) รามัญนิกาย และอมรนิกาย มีพระสังราชที่เป็นประมุขสงฆ์แต่ละนิกาย 4 องค์ สยามนิกายมีสังฆราช 2 องค์คือฝ่ายคามวาสี คือวัดมัลวัตตะ (Malwaththa) หรือวัดบุพผาราม และฝ่ายอรัญญาวาสี คือวัดอัสคิริยาราชมหาวิหาร (Asgiriya Temple)
ทั้ง 2 วัดนี้มีประวัติเกี่ยวเนื่องกับเมืองไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดบเฉพาะเกียรติคุณของสยามประเทศที่มีต่อศรีลังกาในด้านพุทธศาสนาในอดีต ช่วงที่พุทธศาสนาในศรีลังกาเข้าสู่ยุคตกต่ำ นำไปสู่การบรรพชาอุปสมบทของสงฆ์ เกิดสยามวงศ์โดยพระอุบาลีจากวัดธรรมาราม อยุธยา โดยมีผู้ที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องหลายพระองค์และหลายท่านทั้งของศรีลังกาและสยามภายโบสถ์ที่นั่งกันอยู่นี้ก็ใช้เป็นที่อุปสมบทพระสงฆ์ศรีลังการุ่นแรกๆ มาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ในบริเวณวัดมีเสาศิลาสีดำมีป้ายบอกที่มาและผู้สร้างซึ่งก็คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ สมัยเมื่อดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์เป็นพระธรรมปัญญาบดี โดยสร้างเป็นอนุสรณ์ ณ จุดที่ฌาปนกิจพระอุบาลี ซึ่งมรณภาพด้วยโรคหูอักเสบ ภายในกุฏิวัดบุปผาราม เมื่อปีพุทธศักราช 2299 พระเจ้าแผ่นดินศรีลังกาให้จัดพิธีถวายเพลิงศพอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ โดยจัดขึ้นที่สุสานหลวงนามว่าอาดาหะนะมะลุวะ ปัจจุบันคือวัดอัสคิริยาราชมหาวิหาร หลังเสร็จสิ้นพิธีถวายเพลิงศพแล้ว ทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฏฐิเพื่อสักการบูชาซึ่งมีปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน
ไฮไลท์ เทศกาลพาราเฮร่า
วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือวัดศรีดาลาดา มัลลิกาวาส (Sri Dalada Maligawa) เป็นสถานที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าวิมลธรรมสุริยะที่ 2 ( Vimaladharmasuriya II) ในพ.ศ.2230 พระองค์ทรงเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา ทรงสร้างศาสนสถานที่มี 3 ชั้นขึ้นหลังหนึ่ง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว
ตามประวัติเล่าว่าพระเถระรูปหนึ่งได้นำพระเขี้ยวแก้วไปมอบให้กับพระเจ้าพรหมทัตแห่งนครทันตปุระ ต่อมาสมัยพระเจ้าคุหะสีวะได้มีข้าศึกมาประชิดเมือง พระองค์ทรงเป็นห่วงพระเขี้ยวแก้วจึงสั่งให้เจ้าหญิงเหมมาลากับเจ้าชายทันตกุมารพระสวามี นำพระเขี้ยวแก้วไปยังเกาะลังกา
ทั้งคู่ต้องปลอมตัวเป็นพราหมณ์และซ่อนพระเขี้ยวแก้วไว้ที่มวยผมของเจ้าหญิงเหมมาลา เมื่อไปถึงก็ได้นำถวายแด่พระเจ้าเกียรติเมฆวรรณ นครอนุราธปุระ เกาะลังกา
โดยก่อนหน้านี้พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองโพลอนนารัวและย้ายมาประดิษฐานที่เมืองแคนดี้ในปัจจุบัน
ครั้งนี้โชคดีที่เราได้มาในช่วงเทศกาลอัญเชิญพระเกี้ยวแก้วแห่รอบเมืองหรือ “เทศกาลพาราเฮร่า” เป็นการจัดงานสมโภชพระเขี้ยวแก้วซึ่งมีการจัดติดต่อกันมาหลายร้อยปีแล้ว โดยอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาแห่รอบเมืองเพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา มีริ้วขบวนนำด้วยช้างที่ตกแต่งประดับประดาอย่างวิจิตรงดงาม มีการระบำรำฟ้อนการแสดงดนตรีพื้นเมืองลังกาบรรเลงแห่แหนไปทางรอบเมืองแคนดี้ พร้อมทั้งขบวนพาเหรดช้างอันยิ่งใหญ่
สิกิริยา เมืองคนบาป
ใครที่รักการผจญภัย จะต้องหลงใหลกับการเดินขึ้น เขาสิกิริยา (Sigiriya) อย่างแน่นอน
สิกิริยา เป็นเมืองคนบาปที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่พุทธปรินิพพานได้ 277 ปี เป็นภูเขาหินตั้งโดดเด่นและสง่างามท่ามกลางป่าอันเขียวขจี ในอดีตด้านบนสุดคือป้อมปราการและปราสาทเก่าแก่ ตามตำนานในอดีตระบุว่าภูเขาหินนี้เป็นรูปสิงโต (Sigiriya Lion Rock Fortress) แต่ปัจจุบันแตก พังทลาย เหลือไว้ให้เห็นแค่รูปเท้าสิงโต 2 ข้าง ตรงทางขึ้นไปสู่พระราชวังลอยฟ้า
ระหว่างทางเดินขึ้นเขาจะพบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีความงดงามและควรค่าแก่การอนุรักษ์ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน เป็นภาพวาดที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นรูปสตรีครึ่งตัว เปลือยหน้าอก ใส่เครื่องประดับทั้งมงกุฏ ต่างหู สายสร้อย ทับทรวง แหวน และกำไล บ้างถือดอกไม้หรือถาดดอกไม้ กล่าวกันว่านางเหล่านี้เป็นมเหสี พระราชิดา นางสนม ฯลฯ แต่บางคนกล่าวว่าเป็นนางอัปสรตามความเชื่อของชาวอินเดียใต้ เป็นความงดงามที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องขึ้นไปชมให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ทะเลสวยๆ หาดทรายขาวๆ ของศรีลังกาช่างเย้ายวนใจ
ด้วยเหตุที่เกาะลังกาตั้งอยู่ ณ อ่าวเบงกอล เป็นเกาะเขตร้อนที่มีทิวมะพร้าวเรียงรายหลายกิโลเมตรทอดยาวไปตามแนวความยาวของชายหาดโดยรอบเกาะยาวกว่า 1,000 กิโลเมตรทั่วทั้งประเทศ
เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งมอบความสดชื่นให้กับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ริมทะเล ความงามตามธรรมชาติผสมกลมกลืนกับมรดกทางวันฒธรรม อาหารพื้นเมือง และภูมิประเทศที่โอบล้อมไปด้วยมหาสมุทรที่มีความสวยงาม ทำให้ศรีลังกากลายมาเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
มีหลายชายหาดที่น่าสนใจ มีน้ำทะเลใสๆ ไว้ให้ชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน เคล้ากลิ่นไอทะเล สำหรับคนที่รักการพักผ่อน เราไปนอนกันริมชายหาด ทานอาหารเย็นไป ชมวิว จิบค็อกเทลส์เย็นๆ ไปพร้อมๆ กับการชมพระอาทิตย์ตกดินอย่างสวยงาม เพลินใจ ทั้งหมดนี้ พบได้ที่ศรีลังกา
ชาและถ้วยชา
ศรีลังกาเป็นแหล่งปลูกชาที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยระยะทางเพียง 90 กิโลเมตรจากเมืองแคนดี้ (Kandy) มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง “นูวารา เอลิยะ” (Nuwara Eliya) เมืองสีมรกรต ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดทางตอนกลางของศรีลังกา
ระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตรที่มุ่งหน้าไปยังนูวารา เอลิยะ 2ข้างทางเต็มไปด้วยไร่ชาที่ปลูกลดหลั่นกันไปตามสภาพพื้นที่เขา ตามประวัติแล้วพบว่า “เจมส์ เทย์เลอร์” ชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่นำจากใบชามาปลูกที่ศรีลังกา สมัยยุคที่อังกฤษปกครองเกาะซีลอนซึ่งเป็นชื่อเดิมของศรีลังกา
อย่างไรก็ตามหากไม่อยากนั่งรถนานๆ ขึ้นเขา เราสามารถเลือกวิ่งตรงเข้าไปในเมือง ซึ่งก็มีโรงงานผลิตชาที่สามารถเข้าไปชมการผลิตและสามารถซื้อกลับมาเป็นของฝากของที่ระลึกได้
กระบวนการผลิตชาจะเริ่มจากการเก็บใบชาสด แล้วนำมาเข้าเครื่องตาก นำไปตัดบดแล้วร่อน จากนั้นนำไปแช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากใบชาสีเขียวก็จะเป็นสีน้ำตาล จากนั้นนำไปอบให้แห้งเข้าเครื่องแยกสีใบชา โดยแบ่งตามระดับOP, OP1 เป็นชาเกรดธรรมดาทั่วไป
ส่วน BOP ถือว่าอยู่ในชาเกรดดีมีรสชาติเข้ม และ BOPF ถือว่าเป็นชาชั้นเยี่ยมยอดให้รสชาติหอมละมุน ชาแต่ละแบบจะมีราคาถูกแพงแตกต่างกันไป ดังนั้นชาที่เราเรียกกันว่าชาเขียว ชาขาว ชาดำ แท้จริงแล้วเป็นชาที่เกิดจากต้นเดียวกันแต่สีที่ได้นั้นเกิดจากกระบวนการผลิตที่แตกต่างกันนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีสุดยอดของชาที่เป็นยอดอ่อนใบชาซึ่งมีราคาสูง และยังแบ่งซอยย่อยออกเป็นหลายเกรดตามแต่ละโรงงานไม่ว่าจะเป็น Silver, Gold หรือ Platinum
มีชาแล้วก็ต้องมีถ้วยชาสวยๆ จะได้เข้าคู่กัน
รู้หรือไม่ ที่เมืองมาตาเล เป็นสถานที่ตั้งของโรงงาน Noritake ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องเคลือบดินเผาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นส่งออกไปขายยังทั่วโลก แถมซื้อที่โรงงานยังราคาถูกมาก บางแบบถูกกว่าที่ในห้างหรือตามสนามบินศรีลังกาเกินกว่าครึ่ง จึงเป็นอีกโปรแกรมที่น่าสนใจเมื่อได้ไปเที่ยวที่ศรีลังกาครับ