สนามบินเปิดแล้ว บินไปแบบส่วนตัวเลยดีกว่า
ตามกานต์ไปพักผ่อนที่ #โซเนวาคีรี เกาะกูด
สวยปังทุกรูปในแบบ Intelligent Luxury
_
กานต์เพิ่งได้อ่านบทความที่ว่าด้วย ความหมายใหม่ของคำว่า Luxury ที่อาจจะไม่ใช่อะไรที่เป็นเลื่อมๆ สีทอง แชนเดอร์เลีย เฟอร์ขนมิ้ง หรืออะไรที่เว่อร์วังอีกต่อไป แต่เป็นการให้คุณค่าของประสบการณ์ใหม่ที่ชีวิตเราจะได้รับหลังจากซื้อสินค้าหรือบริการ
ซึ่งหากใครเคยอ่านรีวิวที่ผมเคยเขียนถึง Soneva Kiri (โซเนวา คีรี) รีสอร์ตหรูตัวเทพแห่งเกาะกูด จังหวัดตราด ตามไปอ่านได้ที่นี่นะครับ >> https://www.kantjournal.com/category/hotel/soneva/ ก็จะพบว่า Soneva Kiri ตีความหมายของคำว่า Luxury ไว้ในความหมายที่กำลังจะเปลี่ยนไปมาตั้งแต่แรกเริ่ม
“Intelligent Luxury” คือหลักที่ทาง Soneva นำมาสร้างสรรค์รีสอร์ต ด้วยการทำความเข้าใจในแก่นของคำว่า #หรูหราที่แท้จริงสำหรับผู้เข้าพักคืออะไร แน่นอนว่า ผู้เข้าพักซึ่งส่วนมากเป็นคนในเมืองใหญ่จากทั่วโลก มีหน้าที่การงานดี มีหน้าตาทางสังคม เป็นคนดังระดับโลก มีรายได้ที่ดีและมีกำลังซื้อสูง ดังนั้น การทำความเข้าใจในไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของแขกผู้เข้าพัก จากนั้นก็นำเสนอในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต เช่น ความเป็นธรรมชาติที่หรูหรา ขณะเดียวกันก็นำเสนอประสบการณ์ “ใหม่” ไปพร้อมกัน เป็นการสร้างเรื่องราวและความทรงจำที่มีคุณค่าในชีวิตของแขกผู้เข้าพักได้อย่างลึกซึ้งมากครับ
ดังนั้น การเข้าพักที่ Soneva Kiri จึงไม่ใช่แค่การเข้าพักแค่ครั้งเดียว แต่เป็นความผูกพันอันเกิดจากประสบการณ์ที่แบรนด์ตั้งใจคัดสรรและมอบให้ (Inspiring a Lifetime of Rare Experiences) อย่างผมเองก็มาพัก Soneva Kiri ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว พนักงานยังคงจำได้ว่า ครั้งก่อนหน้านี้ผมเคยรีเควสหรือชอบอะไร ก็เตรียมไว้ให้หมดเลยครับ หรือหากต้องการอะไรเพิ่ม ก่อนการเข้าพักจะมีอีเมลมาสอบถามความต้องการและสิ่งที่เราต้องการให้ทางรีสอร์ตจัดเตรียมเอาไว้ให้
Soneva Kiri ยังคงถูกใจผมเช่นเคย ตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า หอบเอาหนังสือที่ยืมจาก Library มาอ่านที่สนามหญ้าหน้าวิลล่า กลางวันก็ไปฝังตัวอยู่หน้าห้องไอติม ช็อคโกแล็ต กินฟรีทั้งวัน บ่ายแก่ๆ ขึ้นไปชมวิวมุมสูงบน Treepod ตกเย็นไปเดินเล่นริมชายหาด จากนั้นช่วงค่ำค่อยไปดูหนังกลางแปลงที่ Cinema Paradiso นาฬิกาของที่นี่เดินเร็วมาก เผลอแป๊บเดียวหมดวัน … ก็อย่างที่เขาว่ากัน #ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
พูดกันตามตรงนะ ผมว่า ถ้าจะจอง Soneva Kiri ทั้งที อัพเลเวลเลือกแบบที่มีตั๋วเครื่องบิน บินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงที่เกาะเลยดีกว่าครับ เที่ยวสบาย ไม่เหนื่อย ประหยัดเวลาเดินทางได้เป็นวัน ใช้เวลาพักผ่อนกันได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้ Soneva Kiri มีแพจเกจให้เลือกเยอะเลยทั้ง Experience Paradise 4 วัน 3 คืน และ Long Stay ยิ่งพักนานหารเฉลี่ยแล้วยิ่งถูกลง
ผมแนะนำให้เลือกเป็น บีชพูลวิลล่าสวีท 1 ห้องนอน รวมอาหารเช้าและอาหารค่ำ ตั๋วเครื่องบินไปกลับจากกรุงเทพฯ สำหรับ 2 คน แถมมีกิจกรรม Treepod Experience ให้ด้วย แพกเกจนี้ยังมีให้เลือกทำกิจกรรมสุดพิเศษกับทางรีสอร์ตได้ฟรีอีก 2 อย่าง พร้อมบริการบัตเลอร์ส่วนตัว ถือว่าคุ้มครับ จองได้ที่นี่ >> https://soneva.com/offer/experience-paradise-offer/ หรือ add Line @discoversoneva
ทริปนี้ผมมาพักที่นี่หลายวัน เลยได้มีโอกาสคุยกับพี่เขม ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายภูมิทัศน์ของ Soneva Kiri เดินเท้าเปล่าตามคอนเซปต์ No Shoes พาไปดูและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้ในเกาะกูด จนผมได้ไอเดียว่า อยากจะเล่าถึงความเป็น Forrest-Friendly ที่เป็นมากกว่ารีสอร์ตทั่วไป จะขอแยกเขียนในโพสต์หน้านะครับ แถมจะเขียนเรื่องร้านอาหารครัวแม่ตุ๊กด้วย อาหารตราดโดยคนพื้นที่ฝีมือการทำอาหารของแม่ตุ๊กคือไม่ธรรมดา เมนูมาจากวัตถุดิบประจำวัน เป็นที่สุดของความอร่อย เดี๋ยวค่อยเล่ากันต่อแบบละเอียดอีกที
ตอนนี้ไปชมภาพและเรื่องราวของ Soneva Kiri รีสอร์ต Intelligent Luxury ที่กานต์นำมาฝากกันด้านในดีกว่าครับ
#discoversoneva#experiencesoneva#soneva25#sonevakiri#themarcompro
—
Unparalleled luxury meets eco-friendly design. Soneva Kiri is nestled within lush tropical rainforest on an unspoiled island with some of the best beaches in Thailand.
110 Moo 4, Koh Kood Sub-District,
Koh Kood District, Trat 23000,
Thailand
T: +66 (0) 82-208-8888
Line ID : @discoversoneva
แพกเกจ Experience Paradise 4 วัน 3 คืน ราคาเริ่มต้น 138,000 บาท / วิลล่า สำหรับ 2 ท่าน พร้อมตั๋วเครื่องบินและอาหาร 2 มื้อ มีกิจกรรมพิเศษแถมให้ด้วย
ผมอัพเป็นบีชพูลวิลล่าสวีท 1 ห้องนอน ครับ อยู่ติดชายหาดส่วนตัวหน้าวิลล่าเดินลงไปได้เลย
คราวที่แล้วมาพักได้ไปใช้บริการที่ North Beach ครั้งนี้เปลี่ยนบ้าง มาพักผ่อนริมชายหาดแบบส่วนตัวที่ South Beach แทน ขับรถบัคกี้ไฟฟ้ามาเองได้เลย
แพกเกจ Experience Paradise จะรวมตั๋วเครื่องบินสำหรับ 2 คน ด้วยนะครับ แต่ถ้าเป็น Long Stay จะไม่รวมค่าตั๋ว ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ราคาก็นับว่าลดลงจากเดิมมาก
มองจากหน้าต่างเครื่องบินลงมาก็จะเห็นวิวเกาะแก่งต่างๆ สวยงามมากครับ เป็นการเริ่มต้นทริปที่แสนวิเศษจริงๆ
จากสนามบินสุวรรณภูมิ My rare life journey begins การเดินทางของ “กานต์” เริ่มต้นขึ้นที่นี่ครับ เคาท์เตอร์สายการบินพิเศษของ Soneva Kiri เช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิจากนั้นจะมีพนักงานพาไปนั่งพักผ่อนที่เล้าจน์การบินไทย เพื่อรอขึ้นเครื่องครับ
ทริปนี้ได้นักบินเป็นผู้หญิงด้วยครับ เท่ชะมัด ผมนั่งแถวแรกเลย ได้เห็นเค้าขับเครื่องบินกันแบบใกล้ชิดมาก เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน
เครื่องบินขนาด 8 ที่นั่ง ดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่เล็กที่สุดของสนามบินสุวรรณภูมิแล้วกระมัง เพราะจะให้บริการเฉพาะแขกผู้มีเกียรติที่เข้าพักกับ Soneva Kiri เท่านั้น บินไป-กลับ ระหว่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปกลับสนามบินเกาะไม้ซี้
เราสามารถเห็นห้องนั่งบิน และกัปตันระดับใกล้ชิด เป็นบริการแบบ Exclusive สำหรับแขกของ Soneva Kiri เท่านั้น และไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยในการโดยสารเครื่องบิน ซึ่งเป็นรายละเอียดที่สำคัญไม่อาจมองข้ามได้ครับ
ช่วงนี้ไฟล์ทจะถี่เนื่องจากมีแขกที่เข้าพัก Soneva Kiri ค่อนข้างเยอะ ครับ
เครื่องบินจะถูกเรียกว่า Ever Soneva So Ever the Top โดยจะใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที
จากนั้นก็แลนดิ้งที่รันเวย์เกาะไม้ซี้ ซึ่งเป็นเกาะที่ทาง Soneva Kiri จัดทำไว้เพื่อทำเป็นลานบินเท่านั้น กัปตันกล่าวขอบคุณ เราอดปรบมือให้กัปตันไม่ได้ จากนั้นจึงกล่าวอำลาและขอบคุณกัปตันอย่างเป็นกันเอง เป็นอีกหนึ่งความประทับใจ อย่าลืมใช้เวลากับการถ่ายภาพคู่กับเครื่องบินและสนามบินที่เล็กที่สุดในประเทศไทย
จากสนามบินที่เกาะไม้ซี้ จะใช้เวลานั่งเรืออีกประมาณ 5 นาที ก็จะมาถึงที่ The Jetty ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือส่วนตัวของ Soneva Kiri ครับ
มองจากมุมสูงลงมา สวยมาก จากนั้นจะมีพนักงานมารับกระเป๋าและมี Barefoot Butler ประจำวิลล่ามาแนะนำตัวและคอยต้อนรับ
No News No Shoes คือ Concept ของที่นี่ ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ Slow Life ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ต้องรับรู้ข่าวสารใดๆ กานต์ว่าเป็นเสน่ห์มากครับ กับการวาง Conceptual ต่างๆ ที่ทาง Soneva Kiri คิดไว้ในการสื่อสารกับผู้เข้าพัก
แน่นอน ตลอดระยะเวลาของการเข้าพักที่นี่ ผมถอดรองเท้าเดินตลอดเลยครับ อยากสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
Barefoot Butler พาผมมาที่ So Spirited ซึ่งเป็นบาร์และสระว่ายน้ำด้วยครับ เป็นจุดชมวิวที่บรรยากาศดีมาก ผมมาถึงช่วงใกล้เที่ยงพอดี เลยว่าจะแวะทานมื้อกลางวันที่นี่ก่อน
So Spirited เป็น Bar และ Pool กลางให้เราได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติแบบชิลๆ ลมพัดเย็นสบายตลอดทั้งวัน เป็น Tapas and beverages ที่เหมาะสำหรับคนชอบดื่มด่ำกับเสียงเพลงเบาๆ เคล้าเสียงนกและเสียงคลื่นครับ
ส่วนผมจอง “หมูกะทะ” ที่ So Spirited เอาไว้แล้ว
วิลล่าแต่ละหลังจะกระจายกันไปในโซนต่างๆ Hill บ้าง Ocean บ้าง มีขนาดตั้งแต่ 1 ถึง 6 ห้องนอน แต่ที่แน่ๆ ทุกหลังจะตั้งอยู่ห่างกันเพื่อความเป็นส่วนตัวและมีสระว่ายน้ำอยู่ทุกหลัง โดยมีต้นไม้ใหญ่น้อยโอบล้อมเอาไว้ เรียกได้ว่ามีความเป็นส่วนตัวอยู่สูงมาก
ทริปนี้ผมพักที่ วิลล่าหมายเลข 8 (คราวก่อน 17) เป็นแบบบีชพูลวิลล่าสวีท 1 ห้องนอน พร้อมกับชายหาดส่วนตัว มี Sun Bed เอาวางไว้ให้เรียบร้อยครับ
ดีไซน์และฟังก์ชันของแต่ละวิลล่าจะหน้าตาคล้ายๆ กัน แต่บางวิลลาก็จะมีความพิเศษ เช่นมีสไลเดอร์ มีฟิตเนสเพิ่มมา แต่ที่ๆ ทุกวิลล่าคือบรรยากาศดีมาก จนแทบไม่อยากออกไปไหน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
สถาปนิกออกแบบให้เน้นการใช้ไม้เป็นองค์ประกอบหลัก อารมณ์แบบ Rustic มีความโมเดิร์นด้วยเครื่องหนังที่ใส่เข้าไป มีกระจกใสเป็นองค์ประกอบรอง ส่วนบริเวณปลายเตียงมีกล่องขนาดใหญ่คล้ายกระเป๋าเดินทางหนังเรียบหรู สามารถเปิดขึ้นมาได้กลายเป็นโทรทัศน์ (ที่ไม่มีสัญญาณ) แต่สามารถชมดีวีดีได้ จากบนเตียงครับ
ถัดมาตรงกลางเป็นโถงสำหรับแต่งตัวพักผ่อน ซึ่งสามารถเดินออกไปได้ 2 ข้างคือด้านหลังเป็นโซน Ourdoor ครับ มีตู้ขนาดใหญ่ 2 ฝั่ง ออกแบบได้เก๋มาก คล้ายกับกระเป๋าเดินทางขนาดยักษ์ พร้อม Bathroom Amenities ที่เป็นแบรนด์ของทางรีสอร์ตเองครับ
นอกจากนี้ยังมีเบาะขนาดใหญ่สำหรับนอนพักผ่อนได้บริเวณหลังบ้าน เรียกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยทีเดียว มีมุมอาบน้ำ 2 จุด ไม่รวมอ่างอาบน้ำ
ฮีลตัวเองด้วยอ่างอาบน้ำกลางแจ้งท่ามกลางแมกไม้ ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ด้านนอกจะเป็นส่วนพักผ่อน มินิบาร์ กาแฟ จะอยู่ข้างนอกนี้ มีโซฟาสีเหลืองสลับเขียวจัดไว้ พร้อมหมอนเข้าชุดกัน หันหน้าออกไปทางชายหาด ด้านล่างจัดโซฟาพร้อมกับเตียงอาบแดดสีเหลืองเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ไปเสียแล้ว จากมุมนี้เราจะมองวิวก็จะเห็นสระว่ายน้ำของวิลล่าทอดยาวไปจนถึงชายหาดส่วนตัวครับ
พื้นที่ Outdoor ดีไซน์ให้อารมณ์ Glamping เบาๆ กานต์ชอบความเข้ากันในโทนสี เหลืองเขียว น้ำตาล ฟ้า ประมาณนี้เสียจริงๆ ดูคุมโทนดี ไม่หลุดเลย
เช้าๆ หยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดของรีสอร์ต เอามานั่งอ่าน พร้อมกับวางเท้าสัมผัสหญ้า เพื่อคลายประจุลบออกจากตัว ให้ธรรมชาติช่วยเยียวยา พร้อมกับรับพลังจากแสงอาทิตย์อ่อนๆ ผมว่าช่วยได้เยอะเลยครับ
ภาพมุมสูงที่เห็นเป็นเซ็นเตอร์ของ Soneva Kiri เกาะกูดครับ กิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนใหญ่จะรวมไว้ที่นี่
สังเกตว่าที่ไม้มีหลายสีเนื่องจากที่นี่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงวัสดุอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากไม้ก็จะมีความเก่าผุผังไปตามประสา ซึ่งต้องยอมรับว่าค่า maintenance ที่นี่สูงมาก เพราะใช้การก่อสร้างตามธรรมชาติ เน้นไม้ ปลูกไผ่ไว้เพื่อนำไม้มาซ่อมแซม ส่วนไม้เก่าก็ไม่ได้เอาไปทิ้ง ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กบ้าง ทำเชื้อเพลิงบ้าง ใช้วัสดุจากธรรมชาติให้คุ้มค่าที่สุด เป็นไปตามปรัชญาในการดำเนินธุรกิจ คือ “เป็นมิตรและรักษาสิ่งแวดล้อม”
จงอย่าได้แปลกใจหากบริเวณรอบๆ รีสอร์ทอาจจะดูมีความเป็นธรรมชาติคล้ายกับป่ารก แต่กลับกลายเป็นว่า ต้นไม้เหล่านี้ช่วยทำหน้าที่ปกคลุมรีสอร์คให้กลายเป็นแหล่งผลิตโอโซนธรรมชาติขนาดใหญ่ไปโดยปริยาย เพื่อให้แขกผู้เข้าพักได้เข้าใจกับความเป็นธรรมชาติของเกาะกูดให้ได้มากที่สุด
แวะมาทานไอศกรีมฟรีที่ So Chilled และมีห้องช็อคโกแลตให้ทานฟรีที่ So Guilty เท่านี้ยังไม่พอ ได้เพิ่มช่วงเวลา Afternoon Tea ให้ทานฟรีอีกในทุกวัน ถ้าคิดตังค์ออกมาก็หลายอยู่นะผมว่า แต่นี่เป็น complimentary จากทางรีสอร์ตครับ
กลับถึงบ้านไป คงต้องบอกลาตาชั่งสักแปบ รับไม่ได้ กินเก่งเกิ้นนนนน 5555
ผมชอบมาที่นี่ครับ เป็นห้องสมุดของของทางรีสอร์ต เราสามารถเข้ามาพักผ่อนหาหนังสือดีๆ สักเล่มอ่านที่นี่ได้ หรือจะยืมดีวีดีไปดูที่วิลล่าก็ได้ครับ
ส่วนใครที่จองแพกเกจ Experience Paradise ก็จะได้ Offer เป็น Treepod 15 นาที ซึ่ง Treepod ก็เป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่เราพบเห็นใน Soneva Kiri ครับ มีลักษณะเป็นกระเช้าคล้ายรังนก ซึ่งดูแล้วก็กลมกลืมกับแมกไม้ดีนะครับ บริกรจะทำหน้าที่ยกเราขึ้นไปด้วยลิฟต์ไฮโดรลิกซ์ และใช้ซิปไลน์ในการเสิร์ฟอาหารเครื่องดื่มตรงมาจากครัว
มองออกไปจะเห็นวิวอ่าวไทยที่สวยงาม วิวเบื้องหน้าจะเป็นเกาะแรด
Soneva Kiri เกาะกูด ตั้งอยู่บริเวณแหลมโป่งหลักอวน ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งของเกาะกูดที่มีความสวยงาม ด้วยความที่ภูมิศาสตร์อยู่บนพื้นที่โค้ง ส่งผลให้ Soneva Kiri มีวิวทิวทัศน์ให้ชมค่อนข้างหลากหลาย และมีหาดให้เลือกหลายมุม
ครั้งนี้เปลี่ยนมาใช้บริการที่ South Beach บ้างครับ มาตั้งแต่บ่าย กะว่าจะมาทานส้มตำ คอหมูย่างที่นี่ เห็นลือกันว่าอร่อยมาก … แล้วก็จริงตามคาดครับ แถมบรรยากาศก็ดี กินส้มตำริมเลงี้
นั่งเล่น พักผ่อนกายใจไปเรื่อยๆ ที่ชายหาดมีกิจกรรมให้ทำเยอะครับ คายัคก็มี แพดเดิลบอร์ดก็มี มีเรือใบล่องไปเที่ยวด้วย สนใจกิจกรรมไหนก็แจ้งเจ้าหน้าที่ประจำจุดได้เลย หรือบอกให้ Barefoot Butler ช่วยจองให้ก่อนก็ได้
ผมนั่งเรือใบไปเกาะใกล้ๆ แต่ไม่ได้ลงหรอกครับ เน้นรับลมชมวิวเอาให้ชื่นใจ
หมดรอบจากเรือใบก็มานั่งชิงช้าริมชายหาดชมพระอาทิตย์ตกดิน
ส่วนตัวผมชอบ South Beach มากกว่า North Beach อีกนะ รู้สึกว่าเป็นกันเอง อยากมาก็ขับรถบัคกี้มาได้เลย ไม่ต้องนั่งเรือต่อเหมือน North Beach มีดงต้นมะพร้าวเยอะๆ ถ่ายรูปออกมาผมว่าดูรีแลกซ์ดี
ช่วงสายของวันผมนัดกับพี่เขม-ฐิติพันธ์ พรหมเจียม ผู้จัดการฝ่ายภูมิทัศน์ของรีสอร์ต บอกว่าอยากจะเดินชมพื้นที่รอบๆ อยากฟังเรื่องธรรมชาติของที่นี่ เพราะพี่เขมอยู่มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เป็นคนที่มีภูมิรู้เรื่องต้นไม้ ทั้งไม้ใหญ่ ไม้ดอก ดีมาก
เชื่อไหมครับว่าในรีสอร์ตขนาดใหญ่กว่า 400 ไร่แห่งนี้ แทบไม่มีการตัดต้นไม้เลย ไม้ที่ใช้ก่อสร้างโครงสร้างนำเป็นสนที่เข้าจากต่างประเทศ (เพราะต้องการไม้เนื้อแข็ง) ที่สำคัญยังปลูกต้นไม้ใหญ่เข้าไปเพิ่ม ทำสวน ปลูกผัก ผลไม้ ไว้รับประทานภายในรีสอร์ต จัดการระบบน้ำเสีย การนำพลังงานไบโอดีเซลกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การจัดการระบบนิเวศน์ภายในรีสอร์ตมีครบทั้ง Reduce-Reuse-Recycle จนกลายมาเป็น “Eco Centro” เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติแวดล้อมอย่างยั่งยืน จนได้รับรางวัล World Travel and Tourism Council’s ‘Tourism for Tomorrow Award มาแล้ว
แต่คราวนี้จะเป็นขั้นกว่าของ Eco-Friendly ที่ผมอยากยกให้ Soneva Kiri เป็น Forrest-Friendly มากกว่า เดี๋ยวจะเขียนให้ละเอียดๆ อีกทีในโพสต์หน้านะครับ สนุกมาก
อาหารเช้า ผลผลิตจากสวนของรีสอร์ตเอง พี่เขมถึงขั้นทดลองปลูกกาแฟกะว่าจะคั่วเองแล้ว โหย ไปไกล ไม่ธรรมดา มื้อเช้าเราเลือกโต๊ะที่หันหน้าออกไปยังอ่าวไทย เพื่อดื่มด่ำกับความบริสุทธิ์สดชื่นให้เต็มที่ การได้เริ่มต้นวันด้วยบรรยากาศที่ดี กานต์เชื่อว่า จะทำให้ตลอดทั้งวันนี้เป็น Perfect Day ครับ
Ever So Into Your Morning เช้านี้กานต์เริ่มต้นด้วย บูสต์เตอร์ช็อตทั้ง 5 ตามด้วยอาหารเช้าที่เสิร์ฟหลากหลาย Signature Dish ของที่นี่ ทั้งสลัดแฮม และ Egg Benedict ซึ่งจัดอยู่ใน Collection เมนูไข่ เลือก Side dish เป็นเบคอนและเห็ดครับ แต่ที่เด็ดสุดคือข้าวกะเพราเนื้อ ผมทานทุกเช้าเลย อร่อยมาก
ห้องอาหารของที่นี่มีเยอะมาก เนื่องจากต้องการรองรับความต้องการของแขกที่มีหลายเชื้อชาติ และมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ อย่างตอนนี้ที่ The View จะปรับเป็นอาหารฟิวชั่นญี่ปุ่นกับอิตาลี
มีคอมบิเนชั่นที่หลากหลายดีระหว่างสองสัญชาติ แต่ทานง่าย ถูกปากคนไทยแน่นอนครับ ผมว่า The View Restaurant เป็นห้องอาหารที่อร่อย ทานง่าย ภายใต้บรรยากาศที่ดีที่สุด วิวสวยสมชื่อ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันล้ำค่าที่ Soneva Kiri มอบให้กับผู้มาเข้าพักที่นี่ครับ
ส่วนมื้อเย็นที่ 2 ผมไปฝากท้องที่ครัวแม่ตุ๊ก ซึ่งเป็นร้านที่มาแทนเชฟเบ๊นซ์ที่เกษียณไปแล้ว เป็นร้านอาหารที่แยกออกไปตั้งในป่าโกงกาง ถ้าจะไปทานต้องนั่งเรือเข้ามาในคลอง (จริงๆ ทางรถก็มาได้ เผื่อใครไม่ได้พักที่นี่แต่มาเกาะกูดแล้วอยากมา)
เมื่อปีที่แล้ว เคยได้มาทานครั้งนึง ยอมรับว่า อร่อยนะ แต่ยังไม่ถึง มันดูกั๊กๆ ออกแนวเอาใจฝรั่ง ยังไทยไม่สุด เครื่องเครา รสชาติยังไม่จัดจ้าน แต่พอมาเป็นครัวแม่ตุ๊กแล้วนั้น … อร่อยมาก
เดี๋ยวจะเขียนละเอียดอีกที แยกไปอีกโพสต์ เพราะได้มีโอกาสนั่งคุยกับแม่ตุ๊ก พร้อมกับขอเคล็ดลับการทำอาหารรสมือแม่ มาด้วย
ส่วนใครชอบหมูกะทะ อยากเปลี่ยนบรรยากาศก็มาทานได้นะครับ หมูกะทะหลักพัน วิวหลักล้าน เป็นตำนานว่าครั้งหนึ่งเคยมาทานหมูกะทะที่โซเนวา คีรี
ที่ Dining Room จะมีมื้อเย็นที่เป็นบุฟเฟต์ด้วยครับ มานั่งทานอาหารสดๆ อร่อยๆ พร้อมกับชมวิวพระอาทิตย์ตกได้ บรรยากาศดีมาก
มีไลน์อาหารเยอะมาก จัดวางเอาไว้ให้เราไปตักเอง หรือจะให้พนักงานบริการก็ได้ครับ ผมจัดมาแต่ซีฟู๊ดบาร์บีคิว เพราะของสดมาก เชฟไปซื้อมาจากตลาดปลาบนเกาะแล้วย่างเลย รสชาตดีจริงๆ
ส่วนอีกมุมที่ชอบจะเป็นห้องขนมหวานครับ เตรียมตัดขาแล้วหนึ่ง
ใครชอบของหวาน ผลไม้ ชีส ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ส่วนใครชอบดื่มไวน์ ที่นี่จะมี The Wine Cellar ที่มีมากกว่า 350 labels เก็บไว้ในห้องด้านล่างคล้ายถ้ำ และมี Sommelier คอยให้คำแนะนำในการเลือกไวน์
ส่วนด้านบนจะเป็นห้องดื่มไวน์ สามารถจองเพื่อจัดเป็น exclusive ได้ครับบรรยากาศดีมาก ได้ชมวิวทะเลพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วโปรด หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นอีกหนึ่ง Experience ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาพักที่นี่ครับ
Cinema Paradiso นเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก Soneva Kiri จัดโรงหนังขึงผ้าใบขนาดย่อม มีจออยู่กลางน้ำ พร้อมบริการป๊อบคอร์น เครื่องดื่ม สั่งมานั่งทานบนเบาะนุ่มที่ตั้งอยู่บนอัฒจรรย์ มีหมอนอิง ผ้าห่ม นั่งชมหนังกลางแปลงท่ามกลางดวงดาว กานต์ว่าเป็นการเพิ่มกิจกรรมตอนกลางคืนให้มีสีสันสนุกสนานขึ้นได้ดีครับ
So Celestial เป็นโดมหอดูดาวที่เก๋มากๆ ได้ ปกติจะชมกันราว 2 ทุ่มเป็นต้นไปครับ จะโชคดีมากถ้าคืนไหนฟ้าเปิดเราจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบเต็มตาครับ
Soneva Kiri นับเป็นประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่นำเสนอเรื่องราวความ Intelligent Luxury ได้อย่างไม่มีที่ติ คุณ Jamie ซึ่งเป็น GM มาคอยส่งแขกด้วยตัวเอง แทบจะทุกครั้งที่ทำได้ พร้อมกับภาพจำคือการโบกมือลาจนกว่าเรือของเราจะลับสายตา เพื่อไปขึ้นเครื่องบินกลับมายังกรุงเทพ พร้อมกับเก็บความประทับใจและประสบการณ์อันล้ำค่านี้กลับติดกระเป๋ามาด้วย
ไว้ปีหน้าเจอกันใหม่นะ Soneva Kiri
สอบถามข้อมูลและจองห้องพักได้ที่ +66 (0) 82208-8888 หรือ Line ID @discoversoneva