“𝑺𝒆𝒆 𝑨𝒏𝒈𝒌𝒐𝒓 𝑾𝒂𝒕 𝒂𝒏𝒅 𝒅𝒊𝒆”
Arnold Joseph Toynbee นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีชาวอังกฤษเคยพูดเอาไว้หลังจากที่ได้มาเยือนนครวัด กานต์แปลเป็นไทยง่ายๆ ได้ว่า #อย่าเพิ่งตายถ้ายังไม่ได้ไปชมนครวัด
มันรู้สึกได้แบบนั้นจริงๆ ถึงความยิ่งใหญ่ อลังการ งดงามและลงตัวสมบูรณ์แบบที่สุดในปราสาทขอมโบราณ
ทริปนี้กานต์รับบท #นักสำรวจทางโบราณคดีท่านหนึ่ง จะพาทุกคนย้อนกลับไปประมาณ 800 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างปราสาทนครวัด ตั้งแต่สมัยพระพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
ยุคนั้นพราหมณ์ฮินดูไวษณพนิกาย นับถือพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นมหาเทพ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก กษัตริย์จึงได้สร้างปราสาทนครวัด เป็นเทวาลัยบูชา ทรงตั้งพระนามว่า บรมวิษณุ นั่นจึงทำให้นครวัดมีอีกชื่อว่า บรมวิษณุมหาปราสาท
มีการตั้งข้อสังเกตว่า คาดว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 อาจทรงวางแผนให้นครวัดเป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์ เพราะภาพนูนสูงนูนต่ำแกะสลักในปราสาทได้รับการออกแบบให้มีลักษณะมองทวนเข็มนาฬิกา ตามแบบพิธีกรรมงานศพฮินดูโบราณ ประกอบกับ นครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของคนตาย ไม่ใช่ทิศตะวันออกเฉกเช่นปราสาททั่วไป เราจึงได้เห็นภาพนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ตื่นแต่เช้าไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นบนฉากหลังของนครวัดนั่นเอง
แต่เช้านี้ที่เสียมเรียบ ฝนตก!!! ฟ้าปิด จึงมีนักท่องเที่ยวไม่มากนักที่มาเดินชมปราสาทแต่เช้ามืดประมาณเวลาตี 5 ทว่า เราวางโปรแกรมเอาไว้แบบนี้ จึงไม่อยากเปลี่ยนเพราะยังมีอีกหลายสถานที่ต้องไปให้จบภายในวัน ดังนั้น เราจึงพร้อมลุยกัน พร้อมกับร่มคนละคันจาก Raffles Grand Hotel d’Angkor ที่ถือติดมือมา
เป็นการเดินชมโบราณสถานไปพร้อมกับความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจในปราสาทนครวัด ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อเกือบพันปีที่แล้ว เป็นยุคที่ยังไม่มีเครื่องจักร สามารถนำหินทรายนับล้านๆ ก้อน ซึ่งขุดมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพนมกุเลน ห่างจากจุดก่อสร้างไปประมาณ 50 กิโลเมตร ลอยแพตามแม่น้ำเสียมราฐมาได้อย่างไร โดยใช้เพียงแรงงานคน ประมาณ 300,000 คน ช้างอีก 6,000 เชือก กลายเป็นปราสาทขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว่า 200,000 ตร.ม.
อีกทั้งยังมีการแกะสลักนางอัปสรากว่า 3,000 ชิ้น มีงานแกะสลักหินเป็นลวดลาย ภาพนูนสูง นูนต่ำที่ซับซ้อนและน่าทึ่งความยาวกว่า 800 เมตร บรรยายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และเรื่องราวในตำนาน สะท้อนถึงความศรัทธาในศาสนาของผู้คนในยุคนั้นซึ่งเป็นความเชื่อแบบพราหมณ์ ฮินดูเป็นหลัก
การก่อสร้างปราสาทนครวัด จึงเปรียบเสมือนการย่อส่วนของจักรวาลตามคติความเชื่อของอินเดียโบราณ ล้อมรอบด้วยคูน้ำ มีทางเดินนำเข้าไป แต่ตอนนี้กำลังปรับปรุงให้ จึงให้เราเดินผ่านโป๊ะลอยน้ำแทน จากนั้น เราเดินเข้าไปตัวปราสาทโดยการบนสะพานหินที่มีพญานาค เปรียบเสมือนการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์
นอกจากไปชมนครวัดแล้ว ตอนสายเรายังได้ไปนครธม (Angkor Thom) เมืองหลวงแห่งสุดท้ายที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรเขมร นครธม มีความหมายว่า เมืองใหญ่ เพื่อไปชมปราสาทบายน ศาสนาสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นการสร้างตามคติพุทธมหายาน
ไฮไลท์ของปราสาทบายนคือบนยอดปราสาทแต่ละยอดได้สลักเป็นรูปใบหน้าคนขนาดใหญ่ทั้ง 4 ทิศ จำนวน 54 ยอด รวม 216 หน้า แต่ละใบหน้ามีรอยยิ้มที่มุมปากที่แตกต่างกันอยู่ต้องดูดีๆ แต่ละใบหน้าดูมีความอ่อนโยน เมตตา ทุกคนเรียกภาพนี้ว่า “รอยยิ้มแห่งบายน”
จากนั้น ไกด์พาเราเข้าป่าไปชมประตูผีในสมัยโบราณ พร้อมกับเดินไปหามุมถ่ายรูปที่ Unseen มากๆ จนกลายเป็นภาพยอดปราสาทบายนในระยะเดียวกับสายตา
ช่วงบ่ายเราไปชมปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน เพื่ออุทิศให้กับพระราชมารดาของพระองค์ สถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider โดยมีจุดเด่นคือ ต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นต้นสะปง ที่รากไม้ขึ้นคลุมตัวปราสาทหินโบราณอายุนับพันปี ผสานธรรมชาติเข้ากับทุกสรรพสิ่ง เป็นภาพมหัศจรรย์ที่หาชมได้ยากและสะท้อนคำพูดที่ว่า มนุษย์เราเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของธรรมชาติ ได้อย่างแท้จริง
จองตั๋วเครื่องบินไปเสียมเรียบ >> www.bangkokair.com
#Accor#AccorLiveLimitless#Cambodia#SiemReap#RafflesGrandHoteldAngkor#RafflesHotels#BangkokAirways#BoutiqueJourney
—
อย่างที่เคยบอกไปว่าเสียมเรียบเที่ยวง่าย ไม่ไกลบ้าน มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ อารยธรรมมากมาย โดยมีไฮไลท์คือปราสาทขอมโบราณ “นครวัด” หรือ Angkor Wat นั่นเอง
ทริปนี้ จะพาออกจากโรงแรมที่พัก เพื่อไปชมโบราณสถานที่เป็นไฮไลท์ในเมืองเสียมเรียบ ซึ่งเอาเข้าจริงเวลาค่อนข้างน้อยและแต่ละสถานที่อยู่ไกลกัน จะต้องวางแผนเที่ยวกันดีๆ
เสียมเรียบมีจุดน่าสนใจหลักๆ ในทริปนี้ที่เราไปคือ นครวัด นครธม ชมปราสาทบายน ปราสาทตาพรหม เป็นแนวประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ส่วนกิจกรรมทางธรรมชาติ ขอพักไว้ก่อนนะครับ
รากไม้ต้นกะปง ที่โด่งดังมาจากภาพยนตร์เรื่อง Lara Croft – The Tomb Raider ที่แสดงโดย ดาราสาวสุดสวยและเซ็กซี่ แองเจลีน่า โจลี ภายหลังคนกัมพูชาจึงเรียกปราสาทนี้ว่า ปราสาทแองเจลีน่า โจลี ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้ที่ทำให้ตัดสินใจมาเที่ยวเสียมเรียบ
โปรแกรมของนักท่องเที่ยวสำหรับการจะไปชมนครวัดคือต้องออกจากโรงแรมแต่เช้ามืดเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น เราพักที่ Raffles Grand Hotel d’Angkor ใช้เวลานั่งมอเตอร์ไซค์พ่วงประมาณ 20 นาทีก็ถึงครับ
บัตรเข้าชม Angkor World Heritage ราคา $37 ตีเป็นเงินไทยประมาณพันนิดๆ ต้องถ่ายรูปนำไปติดบัตรด้วยครับ จะมีการตรวจบัตรทุกจุด ทั้งระหว่างทางที่รถผ่านและก่อนเข้าประตูต้องเก็บไว้ให้ดีอย่าทำหาย หรือถ่ายรูปเก็บไว้ก่อนเลยครับ
โปรแกรมของวันนี้มี 3 ไฮไลท์คือ ปราสาทนครวัด ปราสาทบายน นครธม และปราสาทตาพรหม
เช้านี้ฝนตกนะครับทำให้ฟ้าไม่สวย ที่แน่ๆ คือไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นด้านหลังของปราสาทนครวัด ทำให้อดเห็นภาพไฮไลท์ แต่เราไม่สามารถปรับโปรแกรมได้ และยังอยากมาซึมซับบรรยากาศตอนเช้าๆ แม้มีฝนปรอยๆ เราก็ไม่หวั่น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ค้นพบว่าข้อดีคือ ไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไรนัก
ระหว่างด้านหน้าประตูกับตัวปราสาทจะต้องเดินผ่านสะพานนาคราช แกะสลักจากหินทราย มีความยาว 200 เมตร อันเปรียบเสมือนสะพานที่ต่อเชื่อม ระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์
แค่ทางเข้าด้านหน้าก็ดูอลังการงานสร้างมากแล้วครับ
ถ่ายภาพรวมให้เห็นอีกครั้งระหว่างทางจะเดินไปภายในปราสาท แต่ว่าเราจะไม่เดินทางนี้ เพราะไกด์แนะนำว่าให้เดินตามไปจะเป็นมุมที่นักท่องเที่ยวรอถ่ายภาพยามพระอาทิตย์ขึ้น … คงอยากให้ได้ฟีลแหละ
เราจึงเดินเบี่ยงออกมาด้านข้างเพื่อให้เห็นภาพกว้างของปราสาทและสะพานนาคราชได้ชัดเจนขึ้น เป็นทริปที่ทุลักทุเลน่าดู มือนึงกำร่ม อีกมึอถือกล้อง พร้อมลั่นชัตเตอร์ตลอดเวลา
ขออภัยล่วงหน้าหากจะถามหามุมภาพสวยๆ ฟ้าเคลียร์ๆ แบบที่คนอื่นเค้าไปกันมา … เพราะว่าไม่มี
เมื่อเข้าไปด้านในจะรู้สึกได้ทันทีถึงความยิ่งใหญ่ จากภาพแกะสลักนูนสูง นูนต่ำ ภาพพระนารายณ์อวตาล ในปางต่างๆ
ด้านข้างเจาะช่องแสงระหว่างทางเดิน ไปตลอดทาง
ระเบียงคตที่เชื่อมกันล้มรอบปราสาท หมายถึงเทือกเขาน้อยใหญ่ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุที่ประทับของเทพเจ้า
พื้นที่แทบทั้งหมดภายในปราสาทเต็มไปด้วยภาพแกะสลักและลวดลายอันวิจิตรงดงามตระการตาเช่นเรื่องมหาภารตยุทธ รามเกียรติ์ และอีกมากมาย แต่ภาพจากมุมนี้คือกองทัพของพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2
อังกอร์วัด (Angkor Wat) หรือนครวัด คำว่าอังกอร์หมายถึงเมืองและเมืองหลวงในภาษาเขมร ส่วนคำว่าวัดในภาษาเขมรหมายถึงศาสนสถานตามความเชื่อทางศาสนา
เมื่อเริ่มสาย นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะ ระหว่างทางเดินเราจะเห็นไกด์ ใส่ชุดเสื้อสีกากี คอยอธิบายข้อมูลให้กับนักท่องเที่ยว ถึงเรื่องราวประวัติความเป็นมาและความหมายของในแต่ละส่วนของปราสาท
ความยากของเราก็คือต้องฟังบรรยายด้วย หาถ่ายรูปด้วย เพราะเรื่องราวเยอะมากแถมยังมึภาพที่อยากจะเก็บมาฝากเต็มไปหมด และสังเกตว่านักท่องเที่ยวที่ชอบประวัติศาสตร์แบบผม ทุกคนเป็นเหมือนกันเลยนะ บ้างก็กางหนังสือ หาข้อมูลของรูปในแต่ละจุดว่ามันคืออะไร เดินไปดูไฮไลท์ที่ตัวเองขีดเส้นใต้อยากจะมาชมตั้งแต่บ้าน
แนะนำว่าใช้เวลาประมาณ 1 วันเต็มๆ ไปเลยครับสำหรับนครวัด
วิหารกลางประกอบด้วย 3 ชั้น แต่ละชั้นก่อด้วยหินทราย เป็นลักษณะสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยงานศิลปะ ที่มีทั้งงานพุทธศิลป์จำนวนมาก แต่ยุคหนึ่งเคยถูกปล่อยทิ้งร้าง มีคนมาลักฃอบขโมยรูปปั้นและสิ่งของมีค่ามากมายภายในนครวัดเพื่อนำไปขายให้กับนักสะสม
Eleanor Mannikka เขียนอธิบายในหนังสือของเธอชื่อว่า Angkor Wat : Time Space and Kingship ว่า มิติเชิงพื้นที่ของนครวัดขนานไปกับความยาวของยุคทั้ง 4 ของความคิดแบบฮินดูคลาสสิค
ดังนั้น จากทางเดินสำหรับกษัตริย์ตรงทางเข้าหลัก จะผ่านลานตรงกลางเพื่อไปยังหอคอยหลักด้านใน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีรูปปั้นของพระวิษณุ จึงเปรียบเสมือนการเดินทางย้อนเวลาไปสู่ยุคแรกของการสร้างจักรวาลนั่นเอง
ที่ผมประทับใจคือ การเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่และผสมผสานสัญลักษณ์ ความเชื่อ จิตวิญญาณ ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมมาตร ลงตัวในเกือบทุกตารางนิ้ว
ปราสาทประกอบด้วยโครงสร้างหลักที่เด่นๆ ของสถาปัตยกรรมขอม 2 ส่วน คือ ปิรามิดปราสาทและระเบียงคติที่เชื่อมติดกัน ในส่วนของปิรามิดปราสาทสร้างยกระดับขึ้นสูง 3 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยระเบียงคต มีโคปุระอยู่ทั้งสี่ทิศหลักและศาลาที่มุมทั้งสี่มุม หรือปราสาทบริวารล้อมรอบของปรางค์ประธาน
บันไดสู่วิหารชั้นบนจะค่อนข้างสูงชัน เพราะมีความเชื่อว่าการจะเข้าไปให้ถึงอาณาจักรของเหล่าทวยเทพคือเขาพระสุเมรุไม่ใช่เรื่องง่าย และก่อนหน้านี้จะใช้วิธีจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในการเดินขึ้น
ตัวปราสาทชั้นบนสุดหรือปรางค์ประธานหมายถึงยอดเขาพระสุเมรุ การได้ขึ้นไปถึงปรางค์ประธานอันสูงชันก็เหมือนการจำลองการขึ้นเขาพระสุเมรุ จริงๆ
มองจากยอดปราสาทออกไปยังพื้นที่รอบนอก
นครวัดเต็มไปด้วยงานศิลปะรูปแบบต่างๆ ซึ่งสะท้อนแนวคิด วัฒนธรรม ความเชื่อของผู้คนในยุคนั้น เช่นรูปปั้นนางอัปสราในอิริยาบทท่วงท่าแตกต่างกัน เชื่อกันว่านางอัปสราคือเทพที่คอยดูแลศาสนสถานนครวัด
มุมด้านข้างของชั้นบน ที่มองเห็นยอดสุดพร้อมกับงานแกะสลักในทุกอณูดูแล้วช่างน่าตื่นตาตื่นใจ
มองออกไปจากชั้นบนของปราสาท ยังคงปกคลุมด้วยต้นไม้สูง ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ สังเกตว่าต้นไม้สูงใหญ่มากเพราะขนาดว่าเราอยู่กันบนยอดของปราสาทเลยนะครับ
มองย้อนกลับไปเห็นสะพานทางเดินด้านหน้าที่เราเข้ามา
ตอนเดินกลับเริ่มสาย ฟ้าเปิดสว่างแต่แสงอาจจะไม่ได้สวยมาก ยังพอเก็บภาพไฮไลท์แห่งความประทับใจในทริปนี้เอาไว้ให้ได้อยู่
จากนั้น นั่งมอเตอร์ไซค์พ่วง พาเราไปต่อยังนครธม คือเมืองพระนครหลวงมีพระราชวังและปราสาทต่างๆมากมายและเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรขอมมั่งคั่งและรุ่งโรจน์เป็นที่สุด
มาชมปราสาทบายน สร้างในปีพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานิกายมหายานซึ่งต่างจากกษัตริย์หลายพระองค์ที่ล้วนแล้วแต่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์มาหลายร้อยปี
ปราสาทบายนถูกสร้างโดยการนำหินมาวางซ้อนๆ กันขึ้นเป็นปราสาท แต่มีขนาดไม่ใหญ่โตเท่านครวัด ไฮไลค์คือยอดปราสาทที่เป็นรูปใบหน้าทั้ง 4 ด้าน
ซึ่งหากเราเข้าไปยืนอยู่ภายในปราสาทนี้ไม่ว่ามุมไหนก็ไม่สามารถรอดหลุดพ้นจากใบหน้าเหล่านี้ได้เลย
ภายในปราสาทบายนจึงเป็นศิลปะแบบบายน ศาสนาพุทธนิกายมหายานเป็นการปฏิวัติรูปแบบของการสร้างปราสาทที่มีภาพลักษณ์ต่างจากการสร้างรูปแบบเดิมๆโดยสิ้นเชิง
ตลอดความยาว 35 เมตรและสูง 3 เมตรถูกสลักเป็นภาพนูนต่ำแตกต่างกันไป เช่น ภาพแกะสลักขบวนทหารและแม่ทัพนายกอง ภาพแกะสลักเล่าเรื่องในรั้งในวังของเหล่าพระราชวงศ์ ภาพการแสดงกายกรรม การละเล่น คนไต่ราวการแสดงมายากล มวยปล้ำ และพวกสัตว์ที่มากับคณะละครสัตว์ เป็นต้น
ปรางค์ปราสาทบายนทั้ง 54 ปรางค์ จำนวน 216 หน้า แต่ปัจจุบันได้สึกกร่อนพังทลายลงไปหลายหน้าแล้ว แต่ละปรางค์ถูกสลักเป็นภาพพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มีสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลความทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุขภายใต้รอยยิ้มของบายนที่นเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“ปิแอร์ โลตี” นักเดินทางรุ่นเก่าที่เดินทางมายังปราสาทบายนในสมัยแรกๆ ได้บันทึกไว้ว่า
“ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปยังปราสาทที่มีต้นไม้ปกคลุม ซึ่งทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนคนแคระ และทันทีทันใดเลือดในตัวข้าพเจ้าก็เกิดแข็งเย็นขึ้นมาเมื่อมองเห็นรอยยิ้มขนาดมหึมาที่กำลังมองลงมา แล้วก็รอยยิ้มอีกด้านหนึ่งเหนือกำแพงอีกด้านหนึ่ง รอยยิ้มปรากฏจากทั่วสารทิศ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีตาคอยจ้องมองอยู่ทุกทิศทาง”
ปราสาทบายนเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อมาเสียมเรียบครับ
จากนั้น เราขับรถลุยน้ำเข้าป่า เพื่อไปตามหา Unseen Siem Reap กัน ระหว่างนั้นก็แอบมีเสียวๆ ลุ้นๆ เล็กน้อย
เมืองนครธมมีประตูทางเข้าด้านละ 1 ประตู ยกเว้นประตูทิศตะวันออก มี 2 ประตู ประตูหนึ่งเรียกว่าประตูชัย อีกประตูหนึ่งเรียกว่า ประตูผี ซึ่งมีภาพแบบปรางค์ประสาทบายนเช่นกัน
ประตูฝั่งนี้ คือประตูผี เป็นป่ารก เราลองเดินเข้าไปด้านในไม่มีถนนมีเพียงทางเดินแคบๆ เล็กๆ เลยต้องกลับออกมา
ใบหน้าของอวโลกิเตศวรฝั่งประตูผี
ด้านล่างของทางเข้าประตูมีงานแกะสลักคล้ายงาช้างประดับอยู่
จากนั้นเดินต่อมาทางด้านซ้ายข้ามเนินเขาไปเล็กน้อย จะพบกับประตูชัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันและเป็นทางสัญจรสำหรับประชาชนทั่วไปในปัจจุบัน
ประตูชัยจะอยู่ขนานกับประตูผี แต่จะต้องเดินต่อมาทางด้านซ้ายข้ามเนินเขาไปเล็กน้อย มีปรางค์ปราสาทแบบบายนเช่นกัน พระำพักตร์จะยิ้มแย้มกว่า
จากประตูผี ประตูชัย เรานั่งรถต่อเพื่อจะไปยัง ปราสาทตาพรหม ระหว่างทางมองเห็นซากปรักหักพังที่ยังคงทำหน้าที่ร่องรองทางอารยธรรมของตนเองอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ปราสาทตาพรหม เป็นปราสาทหินสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่ออุทิศให้กับพระนางศรีชัยราชจูทามณี พระราชมารดาของพระองค์ ตั้งอยู่ห่างออกจากคูเมืองพระนคร ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร มีสถานะเป็นวัดเพื่อเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ด้านหน้าทางเข้ามีรูปแกะสลักนางอัปสร
ทางเข้าด้านหน้าจะมีลักษณะเป็นหินศิลาแลงก่อเป็นชั้นทางกำแพง ทางเดิน ซุ้มประตูและปราสาท มีสะพานนาคราชแบบเดียวกับที่เราเคยเห็นที่นครวัดด้วยครับ
ไฮไลท์ของที่ปราสาทตาพรหมคือต้นไม้ที่แผ่รากปกคลุมส่วนต่างๆ ของโบราณสถาน มีด้วยกันหลายจุด ซึ่งจะทำสแตนด์สำหรับถ่ายรูปเอาไว้ให้ด้วย
ปราสาทตาพรหม ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้มีฐานะเป็นมรดกโลกในปี 1992
ภายในเต็มไปด้วยพุทธศิลป์ที่จัดวางไว้อย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ ราวกับเดินชมแกลอรี่ที่มีชีวิต
แน่นอนว่าทั่วโลกรู้จักปราสาทตาพรหมจาก Lara Croft : Tomb Raider นำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี จนทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เรียกปราสาทแห่งนี้ว่า ปราสาทแองเจลิน่า โจลี ทำให้ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่สนใจ และเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนสักครั้ง
ต้นไม้ที่มีรากสมบูรณ์แข็งแรง ยึดเกาะกับตัวปราสาท จนยากที่จะแยกออกจากกัน และกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติสรรสร้างผนวกรวมกับสิ่งปลูกสร้างจากฝีมือมนุษย์
หลายจุดของปราสาทตาพรหมที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ และสิ่งก่อสร้างทำให้ต้องมีการค้ำยันเพื่อคานน้ำหนักของรากไม้เอาไว้ไม้ให้ทำลายศาสนสถาน
ตาพรหมเป็นวัดที่มีซากของหินกองกันอยู่เต็มไปหมด ราวกับรกร้าง บ้างก็ว่าเป็นความตั้งใจที่อยากคงสภาพและบรรยากาศแบบดั้งเดิมเอาไว้
ปราสาทตาพรหมจึงเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติและสถาปัตยกรรมในป่าของเสียมเรียบ