“𝑰 𝒃𝒆𝒍𝒊𝒆𝒗𝒆 𝒕𝒉𝒂𝒕 𝒍𝒖𝒙𝒖𝒓𝒚 𝒊𝒔 𝒂 𝒖𝒏𝒊𝒗𝒆𝒓𝒔𝒂𝒍 𝒍𝒂𝒏𝒈𝒖𝒂𝒈𝒆. 𝑨𝒏𝒅 𝒊𝒕 𝒊𝒔 𝒂𝒃𝒐𝒖𝒕 𝒕𝒉𝒆 𝒉𝒂𝒓𝒎𝒐𝒏𝒚 𝒃𝒆𝒕𝒘𝒆𝒆𝒏 𝒒𝒖𝒂𝒍𝒊𝒕𝒚 𝒐𝒇 𝒍𝒊𝒈𝒉𝒕, 𝒔𝒑𝒂𝒄𝒆, 𝒇𝒖𝒏𝒄𝒕𝒊𝒐𝒏𝒂𝒍𝒊𝒕𝒚, 𝒂𝒏𝒅 𝒎𝒂𝒕𝒆𝒓𝒊𝒂𝒍.”
.
วลีนี้สะท้อนความคิดของ Thomas Juul-Hansen สถาปนิกชาวเดนมาร์กที่ว่า ความหรูหราที่แท้จริงไม่ได้เกี่ยวกับความฟุ่มเฟือย แต่เป็นเรื่องของการสร้างพื้นที่ที่มีทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยในคราวเดียวกัน
.
เราจึงได้เห็นงานของคุณ Thomas ที่โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติ มีเส้นสายที่สะอาดตา เพราะมองว่าความหรูหราเป็นเรื่องเกี่ยวกับความกลมกลืนระหว่างคุณภาพของแสง พื้นที่ ฟังก์ชันการใช้งานและวัสดุ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการออกแบบที่จะยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา
.
Thomas เป็นบุคคลที่ได้รับความนับถืออย่างสูงในโลกแห่งการออกแบบ จนได้รับฉายาว่า “King of Penthouse” สร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อนักออกแบบทั่วโลก
.
หนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อเสียงคือการออกแบบ Penthouse ที่ราคาสูงที่สุดในนิวยอร์ก คือ ONE57 ที่ Billionaire’s Row, Sutton Tower ใน New York City มูลค่ากว่า 100 ล้าน USD
.
ส่วนในประเทศไทย Thomas เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาเพื่อดูแลภาพรวมงานดีไซน์ของคอนโดมิเนียมระดัับ Ultra Luxury ในย่านหลังสวน คือ SCOPE ซึ่งเป็นโครงการแห่งแรกในเอเชียของเขาครับ
.
SCOPE Langsuan เป็นโครงการที่กานต์ตื่นเต้นมาก เพราะเรียกเสียงฮือฮามาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ ด้วยสถิติการซื้อขายที่ดินฟรีโฮลด์มูลค่าสูงสุดในประเทศไทยคือตารางวาละ 3.1 ล้านบาท เพราะเป็นทำเลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกรุงเทพมหานคร
.
ล่าสุดกับการขายห้องเพนท์เฮ้าส์ขนาด 436 ตารางเมตรไปในราคา 436 ล้านบาท หรือว่าตกตารางเมตรละ 1,000,000 บาท!! ไม่ธรรมดาเลยนะครับ
.
ดีไซน์ที่หรูหราของ SCOPE Langsuan ยังได้ Kohn Pedersen Fox (KPF) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องและชื่นชมมากที่สุดในโลกจากนิวยอร์ก มาเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ
.
เมื่อมารวมกับพาร์ท Interior Design จาก Thomas Juul-Hansen งานดีไซน์จึงออกมาเรียบหรู คำนึงถึงประโยชน์ของผู้พักอาศัยเป็นสำคัญตามคอนเซ็ปต์ “Life at its Finest” ตลอดจนฟังก์ชันของพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์ผู้พักอาศัยสุดหรูหรา ทั้งโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ เล้าจน์ ซิการ์บาร์ สปา ออนเซ็น ห้องซ้อมดนตรี ห้องเก็บไวน์ ฯลฯ และอีกมากมาย กานต์ว่าที่นี่น่าจะครบครันที่สุดแล้วครับ
.
ติดตามอ่านเรื่องราวของ SCOPE Langsuan พร้อมภาพถ่ายที่กานต์นำมาฝากกันต่อด้านในได้เลยครับ
.
ใครสนใจสามารถนัดหมายเข้าชมโครงการได้ที่โทร 02 821 5624
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://m.scasset.com/Jpd1
—
SCOPE Langsuan ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่เป็นที่ต้องการและพัฒนามากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นำเสนอการใช้ชีวิตที่หรูหราด้วยความมีเหตุผลและนำเสนอรายละเอียดที่ทันสมัย นำพาเราไปสู่จินตนาการถึงการใช้ชีวิตในระดับ Ultra Luxury ผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเฟิร์สคลาสและการออกแบบจากสถาปนิกระดับโลก
กานต์เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCOPE Co., Ltd. ถึงการร่วมงานกับบริษัทสถาปนิกระดับโลกอย่าง Kohn Pedersen Fox (KPF) และ Thomas-Juul Hansen ดีไซน์เนอร์นักออกแบบภายในที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล กับการพัฒนาโครงการนี้ว่า
“ด้วยที่ดินที่มีทำเลที่มีความพิเศษและยอดเยี่ยมแปลงนี้ เราจึงต้องการที่จะสร้างอาคารที่มีความโดดเด่น ให้เป็นที่จดจำในระดับสากลอย่างแท้จริง การที่จะทำแบบนั้นได้ เราต้องมีทีมที่รวมเอาคนทำงานในระดับนานาชาติที่จะช่วยทำให้วิสัยทัศน์ของเราสมบูรณ์แบบ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะทำงานกับ Kohn Pedersen Fox (KPF) และ Thomas-Juul Hansen”
–
SCOPE Langsuan ผสมผสานองค์ประกอบสมัยใหม่และแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยที่สร้างสรรค์อย่างหรูหรา ด้านหน้าอาคารดีไซน์ Facade แบบไดนามิกลักษณะคล้าย “รอยพับ” อันเกิดจากการใช้วัสดุอย่างกระจกผสานกับครีบสแตนเลส พื้นผิวกระจกที่แตกต่างกันทำให้ส่วนต่าง ๆ ของอาคารดูมีมิติ มองไปคล้ายกับเกิดการกระเพื่อมไปทั่วพื้นผิวของอาคาร ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการซ้อนกันของหลังคาบ้านทรงไทยที่มีหลายชั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ความเป็นบ้านในครอบครัวแบบไทยๆ ในดีไซน์แบบสากล กานต์ว่าเป็นไอเดียที่สะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นไทยในระดับโลกได้ยอดเยี่ยมมากครับ
สอดคล้องกับที่ Thomas เคยพูดไว้ว่า “True luxury is about creating spaces that feel like home.” ผมมองว่า SCOPE Langsuan ทำออกมาได้อย่างอบอุ่นทั้งห้องตัวอย่างแบบ 1 ห้องนอนและ 2 ห้องนอนที่เรากำลังจะพาไปชมกันในครั้งนี้
ตลอดจนภาพรวมการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางของทางโครงการที่หรูหราทว่าคงไว้ซึ่งความเรียบง่าย ทำให้พักอาศัยแล้วเกิดความสะดวกง่ายดายและรู้สึกสบายใจ อย่างที่ Thomas บอกเอาไว้ว่า “Architecture is about creating spaces that people want to be in.” นั่นเองครับ
SCOPE Langsuan ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 2 ไร่ เป็นอาคารสูง 34 ชั้น รวม 133 ยูนิต ที่จอดรถรองรับได้ 232 คัน คิดเป็น 170% ของจำนวนยูนิตห้องพักถือว่าให้เยอะมากๆ ครับ
ในส่วนของทำเลเราไม่จำเป็นต้องอธิบายกันมากมาย เพราะรับรู้และเข้าใจตรงกันดีอยู่แล้วว่า “หลังสวน” เป็นทำเลใจกลางเมืองที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ทว่ากลับเป็นทำเลที่มีความเงียบสงบ ไม่จอแจพลุกพล่าน จึงเหมาะแก่การพักอาศัย และด้วยความโดดเด่นกว่าที่ดินหลายแปลงในย่านนี้คือ SCOPE Langsuan ตั้งอยู่บนที่ดิน freehold นั่นหมายความว่า เราในสถานะผู้ถือครองร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์
SCOPE Langsuan ตั้งอยู่ห่างจากสี่แยกหลังสวน-เพลินจิตเพียง 80 เมตร และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าชิดลมเพียง 140 เมตร เชื่อมต่อกับถนนหลายสายไม่ว่าจะเป็นชิดลม เพลินจิต วิทยุ สารสิน ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนทั้ง พระราม 4 และสุขุมวิท ทำให้สะดวกสบายในการสัญจร
ระบบจอดรถของที่นี่จะเป็นแบบ Automate Parking หรือว่าเป็นลิฟท์จอดรถอัตโนมัติซึ่งจะมีพนักงานรับรถคอย Valet รถให้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ สามารถแจ้งให้ชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ และด้านในมี Lounge เป็นห้องพักคอยพร้อมจอมอนิเตอร์แสดงสถานะของรถเมื่อรอรับ
ภายใน Lobby ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่าหรูหราด้วยการจัดวางเฟอร์นิเจอร์กระจายกันไป บริเวณโถงกลางดูโปร่งด้วยความสูงถึง 7 เมตร ทำให้เป็นพื้นที่ต้อนรับที่สะท้อนคาแรกเตอร์ของคอนโดมิเนียมและผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี
เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะพบกับความโดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์สกัดจากหินอ่อนสไปเดอร์กรีน ขัดจนเป็นดีไซน์โค้งมน รับกันดีกับโซฟาดีไซน์ฟรีฟอร์มสีโอลด์โรสออกแบบโดย Vladimir Kagan ดีไซเนอร์ชาวเยอรมันตั้งแต่ปี 1950
บริเวณโถง Lobby ตกแต่งด้วยหินอ่อนของพื้นและผนังที่มี Texture หลากหลาย บางจุดปิดผิวด้วยลายไม้ ฝ้าเพดานประดับโคมไฟที่ออกแบบมาเพื่อโครงการนี้เท่านั้น เป็นโคมไฟลวดลายคล้ายกลีบดอกไม้ 6 แฉก ทำหน้าที่สร้างความสว่างและโดดเด่นเฉพาะจุดของ Lobby เพราะอัตลักษณ์ในงานดีไซน์ของ Thomas จะเน้นไปที่แก่นของความหรูหรา คือการสร้างสมดุลระหว่างเรื่องของฟังก์ชัน ขนาดและวัสดุ ซึ่ง Lobby ถูกจัดวางองค์ประกอบมาได้อย่างน่าสนใจ
อีกจุดด้านในจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นของ Lobby เช่นกัน แต่จัดสรรกั้นพื้นที่ด้วยไม้ซี่ระแนงทำให้เกิดความเป็นส่วนตัว ลูกบ้านสามารถมานั่งพักผ่อนบริเวณนี้แล้วมองออกไปเห็นสวนสีเขียวด้านนอก
มี Pavillion กลางสวนพร้อมพื้นที่นั่งเล่นทั้งภายในห้องและกลางแจ้ง จัดเอาไว้รองรับเรียบร้อย ท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้น้อยใหญ่ใจกลางเมือง
ภายใน Pavillion จัดวางโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อน ทำงาน อ่านหนังสือ หรือจัดประชุมได้ในคราวเดียวกัน ท่ามกลางบรรยากาศของพื้นที่สีเขียวใจกลางกรุง
พื้นที่ส่วนกลางของโครงการบริเวณชั้นกราวด์ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก โดยจะให้น้ำหนักกับพื้นที่สีเขียวครับ ทั้งไม้พุ่ม ไม้ดอก และต้นไม้ใหญ่
โครงการได้จัดให้ มีสนามหญ้าเหมาะสำหรับกิจกรรมนันทนาการภายในครอบครัว สามารถพาน้องหมามาเดินเล่นบริเวณสวนได้ เป็นงานออกแบบในสไตล์โมเดิร์นที่เน้นความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ทำให้ได้ฟีลลิ่งของ Organic Architecture มากขึ้น รู้สึกสบายใจดีมากครับ
ด้านในเป็น Lounge สำหรับนั่งรถรับรถที่มาจากลานจอดระบบ Automate Parking พร้อมจอแสดงสถานะของรถยนต์ของเรา ซึ่งกานต์ลองจับเวลาดูก็ถือว่าใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 5-6 นาทีได้ จากนั้นก็เดินไปที่จุด Drop-Off บริเวณด้านหน้า Lobby ได้เลยครับ
เดินเข้ามาด้านในเป็น Mail Room หรือห้องจดหมาย ซึ่งมีช่องรับจดหมายแสดงเลขที่ห้องคล้ายกับคอนโดมิเนียมทั่วไป แต่รายละเอียดของงานออกแบบที่สร้างความประทับใจให้กับกานต์เป็นอย่างมาก เพราะเราเองก็ไม่ค่อยได้เห็นจากโครงการไหนมาก่อน ก็คือบริเวณตรงกลางของโถง Mail Room จะมีโต๊ะกลางที่จัดวางชุดเครื่องเขียนเอาไว้ทั้งกระดาษและปากกาเพื่อที่ว่าจะได้ให้เราสามารถทิ้งโน้ตให้กับคนคนขับรถหรือเจ้าหน้าที่นิติบุคคลครับ ถือเป็นความใส่ใจในรายละเอียดของการพักอาศัยได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งไอไลต์ของห้องนี้ก็คือ อีกมุมหนึ่งของห้องด้านในจะมีเคาน์เตอร์พร้อมอ่างล้างมือไว้บริการครับ เป็นการออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานจริง หากว่าเรารับพัสดุมาแล้วแกะเลย ก็สามารถที่จะล้างมือบริเวณนี้ได้ทันที พร้อมกันนี้ก็ยังจัดให้มีตู้เย็นใส่น้ำดื่มเตรียมเอาไว้บริการสำหรับลูกบ้านด้วยครับ
อีกหนึ่งรายละเอียดของการออกแบบที่ผมชอบก็คือการตกแต่งบริเวณโถงทางเดินและลิฟท์ที่ประดับด้วยวัสดุปิดผิวลายไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
ขณะเดียวกันการจัด Lighting ก็ช่วยทำให้โถงทางเดินที่ดูแสนธรรมดา กลับมีมิติที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ นอกจากนี้ บางช่วงยังจัดวางเก้าอี้ที่นั่งระหว่างโถงทางเดิน สำหรับนั่งพักคอยเอาไว้ให้แล้วด้วย
พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ SCOPE Langsuan นั้นค่อนข้างโดดเด่นและมีความหลากหลาย รองรับได้ทุกไลฟ์สไตล์ เรากดลิฟต์ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 3 กันก่อนนะครับ
บริเวณนี้นะครับก็จะเป็นเหมือนกับที่นั่งพักผ่อนแบบส่วนตัวสำหรับลูกบ้านใช้งานร่วมกัน ภายในห้องมีการจัดวางชุดที่นั่งโซฟากระจายกันไปโดยรอบพื้นที่ครับ แล้วก็มีโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเอาไว้ทำให้ได้ฟีลของคาเฟ่อยู่เหมือนกันผมว่าเป็นไอเดียที่ดีมากเลยนะครับ เพราะลูกบ้านไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปนั่งคาเฟ่ด้านนอกหรือไปใช้งาน Co-Working Space เพราะว่าทางโครงการได้ออกแบบพื้นที่ตรงนี้เอาไว้รองรับการใช้งานอยู่แล้วนะครับ
จะสังเกตว่าห้องนี้มีเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่พร้อมเครื่องชงกาแฟและมีห้องครัวเตรียมเอาไว้ให้บริการ ซึ่งเราสามารถมานั่งจิบชากาแฟได้ที่ห้องนี้ นอกจากนี้ยังสามารถที่จะขออนุญาตเพื่อปิดโซนจัดเป็นงานเลี้ยง ปาร์ตี้เล็กๆ กับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวหรือจัดเป็นอีเวนท์ก็ได้เช่นกันเพราะว่ามีโต๊ะรับประทานอาหารและห้องครัวให้บริการเอาไว้อยู่แล้ว
ติดกันเป็น Study Room สำหรับรวมกลุ่มเพื่อนมานั่งทำงานบ้าน ทำรายงาน สัก 4-5 คนได้ ก็สะดวกสบายดี มีชากาแฟฟรีบริการอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ด้านนอก เรียกได้ว่าสะดวกสบายมากครับ
หากมากันเป็นกลุ่มใหญ่ หรือมีงานประชุมที่มีคนเข้าร่วมราว 10-12 คนก็สามารถขยับไปใช้งานที่ Conference Room แทนได้นะครับ ห้องนี้จะมาพร้อมกับจอทีวีที่ออกแบบให้รองรับการใช้งานประชุม พรีเซนต์นำเสนอผลงานได้เลยครับ
ทุกห้องจะเลือกใช้เก้าอี้ Ergonomic ของ Herman Miller ซึ่งออกแบบตามหลักกายศาสตร์ รองรับสรีระเหมาะสำหรับการนั่งทำงานนานๆ ส่วนราคาเก้าอี้ต่อตัวนั้นก็เหยียบแสนนะครับ
อีกหนึ่งห้องที่กานต์ค่อนข้างเซอร์ไพรส์และประทับใจในรายละเอียดของการออกแบบเพื่อการพักอาศัยใช้งานได้จริง คือมีห้อง Phone Booth เป็นห้องปิดสำหรับนั่งพูดคุยโทรศัพท์ ซึ่งก็มองได้ 2 แบบเลยนะครับ ทั้งเป็นการพูดคุยเรื่องส่วนตัว และเป็นการรักษามารยาทไม่ส่งเสียงดังพูดคุยในพื้นที่สาธารณะที่ลูกบ้านคนอื่นๆ มาใช้งานร่วมกัน ที่สำคัญคือผมยังไม่เคยเห็นโครงการไหนมีห้องใช้งานลักษณะนี้มาก่อนครับ ชอบมากเลย
บริเวณชั้นนี้จะออกแบบพื้นที่เป็นลักษณะ สี่เหลี่ยมโดยมีลิฟต์อยู่ตรงกลาง ดังนั้น โถงทางเดินจะเชื่อมต่อกันไปได้ในหลายจุดครับ
เราเดินต่อไปยังพื้นที่นั่งพักผ่อนแบบส่วนตัวบริเวณด้านนอกกันบ้างซึ่งต้องเปิดประตูกระจกออกไปจะกลายเป็นพื้นที่โล่งสำหรับนั่งรับลมสบายๆ จัดวางเก้าอี้นั่งไว้ 2 ฝั่ง ผนังปิดลายไม้ให้ความอบอุ่นสบายราวกับอยู่บ้านไม้ที่มีใต้ถุนยกสูง ด้านบนติดพัดลมเพดานเอาไว้ช่วยระบายอากาศ ประดับด้วยไม้กระถางให้มีพื้นที่สีเขียวดูสดชื่น สบายใจเวลามานั่งพักผ่อนที่บริเวณนี้
Facilities ต่อมาบริเวณชั้นนี้ก็คือ Dressing Room ครับ แปลตรงตัวเลยก็คือห้องแต่งตัว ทำผม แต่งหน้า ทำเล็บเสริมสวย หากว่าเราจะออกไปงานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์ในตอนเย็น แล้วต้องนัดหมายช่างหน้าช่างผมช่างเล็บให้มาเสริมสวยก็ไม่จำเป็นต้องให้ขึ้นไปที่บนห้องพักของเรานะครับ สามารถมาใช้บริการ Dressing Room ได้เลย เพราะมีทั้งโต๊ะเครื่องแป้ง กระจกเงาบานใหญ่ ไฟส่องสว่างสำหรับแต่งหน้า บนโต๊ะจัดวางไดร์เป่าผมเอาไว้พร้อมมีจุดเสียบปลั๊กไฟหน้าโต๊ะเตรียมไว้ให้แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีเก้าอี้สำหรับนั่งทำเล็บจัดเอาไว้ให้แล้วด้วยครับ อีกทั้งยังจัดให้มีชุดโซฟาเข้ามุมสำหรับสมาชิกท่านอื่นที่มานั่งรอด้วย เป็นการอำนวยความสะดวกครบทุกมิติ
ติดกันเป็น Theatre Room สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นโรงหนังส่วนตัวภายในคอนโด เพราะเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่เหมือนกับโรงหนังจริงๆ จัดวางเก้าอี้ปรับเบาะไฟฟ้าขนาด 25 ที่นั่งพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos แบบ 360 องศา มีจอภาพยนตร์อยู่ตรงกลาง ยกพื้นขึ้นมาทำเป็นเวทีเล็กๆ สำหรับจัดแสดงโชว์หรือจัดงานต่างๆ ก็ได้เช่นกัน
ส่วนด้านหลังบริเวณทางเข้าจะเป็นพื้นที่ของบาร์สำหรับจัดเตรียมของว่าง เครื่องดื่มต่างๆ เพื่อเสิร์ฟระหว่างทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นอีกหนึ่งห้องที่ทำให้ผมค่อนข้างเซอร์ไพรส์ในความเล่นใหญ่จัดหนักจัดเต็มในครั้งนี้ครับ
Music Room หรือห้องซ้อมดนตรี ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ส่วนกลางที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์เช่นกัน เพราะด้วยการออกแบบระบบต่างๆ ทำได้ดีมากครับ ทั้งซัปวูฟเฟอร์ดูดซับเสียงต่างๆ ติดตั้งระบบเสียงที่ทันสมัย
ยิ่งไปกว่านั้นยังครบครันด้วยเครื่องดนตรีแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด เปียโน กลองไฟฟ้าชุดใหญ่ของ Roland ส่วนกีตาร์ที่โครงการเตรียมไว้ให้คือ Gibson SG และ Fender Stratocaster ผมว่างานนี้สายร็อคมีช็อคแน่นอนครับ
อีกหนึ่งการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่คำนึงถึงการพักอาศัยจริงที่ตอบโจทย์เพลย์พอยต์ของการพักอาศัยจริงก็คือการเปิดให้มี Private Storage เป็นพื้นที่เช่าภายในคอนโดมิเนียมให้เราสามารถเช่าเก็บสิ่งของบางอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็น Garment Storage สำหรับเก็บเสื้อผ้าชุดที่นานๆ เราอาจจะได้ใช้สักที อย่างเช่น พวกเสื้อกันหนาวตัวหนาๆ โอเวอร์โค๊ท เพราะว่าจะเก็บไว้ในห้องพักที่คอนโดก็ดูเหมือนจะกินเนื้อที่ไปสักหน่อย เราก็สามารถที่จะมาเช่าเอาไว้ที่ Garment Storage ได้
ติดกันเป็น Wine Storage ครับ เป็นห้องที่มีตู้แช่ไวน์ครับ สำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบดื่ม ชอบเก็บสะสมไวน์ ซื้อมาหรือมีคนให้มาเป็นของกำนัลนะครับ แต่ว่าในห้องพักไม่มีที่เก็บเพียงพอก็สามารถที่จะเช่าตู้แช่ไวน์เอาไว้ได้ เพราะว่าจริงๆแล้วการเก็บไวน์จะต้องเก็บไว้ในตู้แช่ที่มีอุณหภูมิและความชื้นที่ถูกควบคุมไว้อย่างเหมาะสมนะครับ แต่ที่ผมว่าน่าสนใจก็คือเราสามารถที่จะนั่งจิบหรือชิมไวน์บนโต๊ะภายใน Storage ได้เลยนะครับ โครงการได้ออกแบบจัดวางโต๊ะเก้าอี้เอาไว้สำหรับใครที่จะทำ Wine Testing ก็สามารถมาใช้พื้นที่ตรงนี้ได้ครับ
ถัดไปเป็นล็อกเกอร์ขนาดใหญ่ครับซึ่งออกแบบไว้สำหรับให้เช่าพื้นที่ในการเก็บของที่มีขนาดชิ้นใหญ่ๆ อย่างเช่น ถุงกอล์ฟกระเป๋าเดินทาง หรือว่าจักรยานแบบพับได้ ซึ่งถ้าหากเราเอาไว้ในห้องพักของตัวเองก็ดูจะเปลืองพื้นที่ไปสักหน่อยเราก็สามารถที่จะเข้าเช่าพื้นที่ส่วนกลางตรงนี้เพิ่มเติมเพื่อเก็บของเหล่านี้ได้ครับ
ในส่วนของ Fitness จะอยู่ที่บริเวณชั้น 3 เช่นกัน ภายในมีพื้นที่กว้างขวาง เอาใจคนรักสุขภาพสายแอคทีฟ มีทั้งโซนฟรีเวทและแมทชีน ทางโครงการได้ติดตั้งเครื่องออกกำลังกายแบรนด์ระดับโลกของ Technogym ทั้งแบบ Cardio และ Weight Training Machine ซึ่งจะเน้นการใช้งานส่วนบุคคลเป็นหลัก วางกระจายกันไปทั่วห้อง เราสามารถวิ่งออกกำลังกายหรือปั่นจักรยานไปพร้อมกับการดูซีรีย์ที่ค้างเอาไว้ด้วยได้ ส่วนตัวผมเป็นพวกชอบความคึกคักเติมเอนเนอจี้ แนะนำให้ใส่หูฟังแล้วเปิดจังหวะ EDM หรือเพลงที่มีบีทสนุกๆ ระหว่างออกกำลังกายไปด้วย จะช่วยเติมความกระปรี้กระเปร่าให้เราได้
ผมชอบที่ฝั่งตรงข้ามจะแยกเป็นห้อง Private Running Studio ครับ โครงการใช้เครื่อง Treadmill ของแบรนด์ WOODWAY เป็นรุ่นที่มีความพิเศษมากเพราะพื้นของลู่วิ่งออกแบบมาให้ช่วยซัพพอร์ตและลดแรงกระแทกที่จะเกิดกับพวกข้อต่อกล้ามเนื้อต่างๆ ครับและเราสามารถออกกำลังกายแบบฟูลบอดี้เวิร์คเอาท์บนเครื่องนี้ได้ด้วยครับ
ขณะที่อีกด้าน จัดให้มีสตูดิโอเป็นห้องโล่งๆ ให้เราออกกำลังเพื่อสุขภาพหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็นโยคะ ซ้อมร้อง ซ้อมเต้น หรือจะเป็นเรียนบัลเลต์ก็ได้เช่นกัน บรรยากาศแบบโปร่งสบาย มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นวิวสระว่ายน้ำสวยๆ รู้สึกเหมือนได้ Reboost ตัวเองขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าได้ระดับหนึ่งแล้วครับ
สระว่ายน้ำกลางแจ้งของโครงการบรรยากาศดีมากครับ รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ บริเวณนี้ร่มรื่นช่วยให้สดชื่นหายเหนื่อย จัดวาง Sundeck เอาไว้ให้เรานอนอาบแดดในวันสบายๆ เหมือนกับต้องการเราได้พักผ่อนนอนริมสระอยู่ในรีสอร์ทตากอากาศหรูๆ แถบไมอามี่
สระว่ายน้ำของที่ SCOPE Langsuan มีขนาด 7×30 เมตร มีการแยกระหว่างสระเด็กกับสระผู้ใหญ่เอาไว้ให้แล้วครับ เป็นสระว่ายน้ำระบบ Fresh Water Pool เป็นระบบไฮบริดที่ทำให้น้ำในสระใสสะอาดเหมือนน้ำดื่มไม่เป็นอันตรายต่อผิวและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ ข้อดีคือเมื่อว่ายน้ำเสร็จแล้ว ไม่ต้องไปล้างน้ำเปล่าหรืออาบน้ำเพื่อล้างคลอรีนออก เราสามารถแต่งตัวแล้วไปทำธุระต่อได้เลยครับ แถมยังได้ความรู้สึกสดชื่น เบาสบายๆ หลังว่ายน้ำออกกำลังกายไปพร้อมกันอีกด้วย
นอกจากนี้ บริเวณสระว่ายน้ำยังออกแบบให้มี Pool Bar รองรับการพักผ่อนด้วยครับ จัดเป็นที่นั่งด้านในพร้อมเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม
กานต์ว่าโทนสีของห้องนี้ดูเรียบหรูโก้ดีครับ เป็นหินอ่อนสีเทาควันบุหรี่ที่เข้าชุดกันดีกับเก้าอี้สตูลทรงสูง เหมือนเรากำลังนั่งอยู่ในบาร์แจ๊สแถบหลังสวนเลยครับทำให้ได้ฟีลลิ่งของการพักอาศัยในย่านนี้เป็นอย่างดี
แต่ในช่วงเวลาที่อากาศสบายไม่ว่าจะเป็นยามเช้าๆ หรือว่าตอนเย็นย่ำก็สามารถที่จะมานั่งพักผ่อนอยู่ที่เฉลียงด้านนอกได้ เป็นพื้นที่ Semi-Outdoor เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำนะครับ
ทางโครงการจัดวางชุดที่นั่งเอาไว้ให้เราได้มาใช้เวลาร่วมกันกับสมาชิกในครอบครัวหรือว่านั่งคุยกันกับเพื่อนฝูงในบรรยากาศสบายๆ ริมสระว่ายน้ำแบบนี้ก็ได้เช่นกันครับ
นอกจากน้ี้ยังมีห้อง Thermal Baths นะครับ มีการแยกชายหญิงเอาไว้แล้ว ภายในมีล็อคเกอร์สำหรับเก็บสัมภาระ มีโต๊ะเครื่องแป้งเป็นแนวยาวราวกับอยู่ในฟิตเนสใจกลางเมือง
ด้านในมีห้องสตรีม ห้องซาวน่าและก็มีบ่อน้ำร้อนออนเซ็นประดับด้วยหินอ่อนนำเข้าจากอิตาลี
มีอุณหภูมิของน้ำในบ่อจะกำหนดไว้ที่ประมาณ 40 องศา เพราะว่าจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีอีกด้วย เอาไว้ให้เราได้มาแช่ตัวผ่อนคลายสบายๆ ออกแบบให้รองรับสำหรับลูกบ้านผู้ชายและผู้หญิง และยังมีบ่อน้ำเย็นสำหรับปรับอุณหภูมิ ไว้คอยบริการด้วยครับ ดูหรูหราสวยงามน่าใช้มากๆ
ใกล้กันเป็น Wellness Suite ครับ สำหรับนัดหมายเทอราพิสจากภายนอกมาให้บริการแบบส่วนตัว โดยที่เทอราพิสเองก็ไม่จําเป็นต้องเข้าไปภายในห้องพักของเรา ทั้งนี้เพื่อความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยของสมาชิกทุกคนในบ้าน เราสามารถใช้บริการที่ Wellness Suite ได้ครับโดยมีห้องสปาและเตียงนวดไว้คอยบริการ ให้เราได้ปรนเปรอผิว ประทินโฉมเตรียมพร้อมความสวยได้จากภายในคอนโดมิเนียมไม่ต้องออกไปใช้บริการข้างนอกเลยครับ
ในส่วนของ Facilities โครงการ SCOPE Langsuan ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เรากดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 34 กันต่อนะครับซึ่งชั้นนี้ก็จะเป็น Rooftop ออกแบบให้พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนของลูกบ้าน
เข้ามาด้านในจะพบกับ Sky Lounge ขนาดใหญ่มาก เปิดมุมมองหน้ากว้างแบบพาโนรามิค สามารถเทควิวกรุงเทพได้ กานต์ลองเก็บภาพมุมกว้างยามค่ำคืนมาฝากด้วยครับ ยอมรับเลยว่าเป็น Sky Lounge ของคอนโดมิเนียมที่ออกแบบได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไทยเลยครับ ผมประทับใจมาก
ภายในจัดวางชุดที่นั่งทั้งโซฟาขนาดใหญ่และเก้าอี้ที่ให้ฟีลเหมือนมานั่งอยู่ใน Rooftop Bar ของโรงแรมใจกลางเมืองเลยครับ
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ Outdoor ด้านนอกให้นั่งด้วยครับ ตอนเย็นๆ ค่ำๆ มานั่งรับลมชมวิว ย่างบาร์บีคิวกินกันกีับกลุ่มเพื่อนและคนในครอบครัว
พื้นที่เหล่านี้รองรับการจัด Private Party Event ได้หมดเลยนะครับ เนื่องจากทางโครงการเข้าใจใน Customer Insight ว่าต้องการอะไร มีไลฟ์สไตล์อย่างไร จึงออกแบบการใช้งานไว้รองรับได้ทันที เพราะมีให้เลือกในหลายจุดหลายมุม สามารถเลือกจัดเป็นพื้นที่กลางแจ้งสบายๆ เชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์บาร์ด้านใน ในช่วงวันปีใหม่หรือเทศกาลพิเศษ เราก็ขึ้นมาดูพลุช่วงปีใหม่ได้
ด้านในเป็น Dining Room ฟังก์ชันนี้ดีมากเลยนะผมว่า เหมือนโครงการรู้ใจลูกบ้านว่าต้องการอะไร ออกแบบบริการมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ได้ชัดเจน เพราะเราสามารถจัดเป็น Private Dining กับกลุ่มเพื่อน แขกคนพิเศษ ก็สามารถเชิญมารับประทานอาหารที่ห้องนี้ได้ในบรรยากาศของวิวกรุงเทพมุมสูง
โครงการจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่แบบ Long Table 14-18 ที่นั่ง รองรับการใช้งานกลุ่มใหญ่ในบรรยากาศแบบส่วนตัว ภายในดูหรูหรา มาพร้อมกับอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารและการตกแต่งที่โดดเด่นด้วยโคมไฟดีไซน์สวย Welles Long Chandelier 24 by Kelly Hoppen ประดับเอาไว้
ติดกันเป็นครัวขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์การทำครัวครบครันจัดเอาไว้เป็นห้องแยกเข้าไปด้านใน ราวกับยกห้องอาหารมาไว้ชั้นบนนี้
เราสามารถเชิญ Celebrity Chef มาจัด Chef Table แบบส่วนตัวได้เลยครับ นับว่าเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น เติมเต็มด้วยอาหารอร่อยๆ และความรักความผูกพันของทุกคน
บรรยากาศ Sky Lounge ยามค่ำคืน มองเห็นวิวกรุงเทพมุมสูงแบบพาโนรามิค สวยงามมากครับ
นอกจากนี้ ยังมี Item ลับสำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เป็นมุมผ่อนคลายไปกับเสียงเพลงแจ๊สราวกับนั่งอยู่ในบาร์ยุค 80s ในบรรยากาศแบบสลัวๆ ก็สามารถเข้ามาใช้บริการที่ Cigar Room ได้ รองรับผู้สูบซิการ์ที่ตกแต่งมาได้อย่างเรียบ นิ่ง ดูสุขุมนุ่มลึกดีครับ ส่วนตัวกานต์ชอบห้องนี้มากเลย
ไปดูในส่วนของห้องพักกันบ้างครับ ที่ SCOPE Langsuan มีห้องพักจำนวนทั้งสิ้น 133 ยูนิต แบ่งเป็น
แบบ 1 ห้องนอน มีห้องขนาดตั้งแต่ 84 ตร.ม.ขึ้นไป
แบบ 2 ห้องนอน มีห้องขนาดตั้งแต่ 162 ตร.ม.ขึ้นไป
แบบ 3 ห้องนอน มีห้องขนาดตั้งแต่ 240 ตร.ม.
และเพนท์เฮาส์ ขนาด 430 ตรม.
ผมชอบวิธีคิดของที่นี่ที่คำนึงถึงลูกบ้านเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและให้ความเป็นส่วนตัว อย่างเช่นการโดยสารลิฟต์แบบ 1 on 1 นั่นหมายความว่าจะไม่มีใครกดเรียกลิฟต์ให้จอดระหว่างทางหรือโดยสารมาพร้อมกันกับเราได้เลยนะครับ ลิฟต์จะมาส่งเราที่ห้องก่อนจากนั้นค่อยลงไปรับลูกบ้านท่านอื่น ซึ่งแน่นอนว่า โครงการจะต้องมีจำนวนลิฟต์ที่เพียงพอต่อการรองรับการให้บริการในเวลาเดียวกันด้วยครับ
เมื่อกดลิฟต์ขึ้นมาในส่วนของห้องพักจะพบกับ Foyer ด้านหน้าห้องก่อน เพื่อใช้เป็นพื้นที่เก็บรองเท้า หรือข้าวของที่ไม่ค่อยจำเป็นต้องใช้งานก็สามารถนำมาเก็บไว้ที่บริเวณนี้ได้ เพราะออกแบบมาให้หลากหลายการใช้งาน เราสามารถสวม-ถอดรองเท้าที่บริเวณหน้าห้องได้เลยครับ จากนั้นค่อยสลับเป็นสวมสลิปเปอร์เพื่อเข้าไปยังด้านในห้อง ด้านหน้ายังมี Door Phone สำหรับติดต่อกับเจ้าหน้าที่เมื่อมีแขกมาพบ บริเวณนี้ยังมีห้องน้ำสำหรับแขกและลูกบ้านใช้งานร่วมกัน
ห้องนี้เป็นแบบ 2 ห้องนอนขนาด 165 ตร.ม. ห้องนี้ขายแบบ Fully Furnished คือคอนโดที่ตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม เรียกว่าแต่งครบจบเสร็จสรรพเรียบร้อยยกกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลยนะครับ
เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบกับภาพมุมกว้างของ Common Area เป็นห้องหน้ากว้างที่เปิดรับแสงธรรมชาติจากประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ มาพร้อม Double Living และระเบียงขนาดใหญ่ซึ่งจุดนี้เป็นไฮไลท์เลยนะครับ
ภายในห้องดูโปร่งด้วยระดับความสูงจากพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 3.5 เมตร ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของคอนโดมิเนียมทั่วไป ทำให้ห้องนี้ดูมี Space และ Volume หรือปริมาตรที่ค่อนข้างโปร่งสบาย เปิดรับช่องแสงจากภายนอกได้ทั้ง 2 ด้านมาพร้อมกับม่านไฟฟ้า 2 ชั้น ทั้งม่านโปร่งและแบล็กเอ้าท์พร้อมรางเลื่อนกั้นแสงได้เกือบ 100% และเมื่อปิดม่านลงมาจะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นผนังห้องไปในตัว เราสามารถควบคุมระบบม่านผ่านรีโมทคอนโทรลได้
ห้องนี้ปูพื้นด้วยหินอ่อน Travertine Tile ให้สัมผัสของความเป็นวัสดุหินจากธรรมชาติ คุม Mood&Tone แบบเรียบง่ายด้วยการออกแบบทิศทางแสงให้รับกับสีสันภายในของผนังวอลล์เปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์ โซฟา โคมไฟ ผ้าม่าน โต๊ะรับประทานอาหารและการตกแต่งประดับงานศิลปะ ทันทีที่เราเข้ามาภายในห้องจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น สบายและความสงบนิ่ง ซึ่งเอาจริงก็เป็นคาแรกเตอร์ของบ้านที่อยู่ในย่านหลังสวนซึ่งเป็นพวกคหบดีเศรษฐีและมีบ้านท่านฑูตอยู่บริเวณนี้ด้วยครับ
ผนังกระจกใสแบบ Full-height ประตูและผนังกระจกค่อนข้างหนาและหนักเป็นแบบ Double Glazed Insulated Window (with Low-E coating) เพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ลดปริมาณความร้อนจากภายนอกที่จะส่งเข้ามา ช่วยให้ห้องไม่ร้อนและประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศ
“𝑰 𝒃𝒆𝒍𝒊𝒆𝒗𝒆 𝒕𝒉𝒆 𝒃𝒆𝒔𝒕 𝒘𝒂𝒚 𝒕𝒐 𝒃𝒆𝒈𝒊𝒏 𝒓𝒆𝒄𝒐𝒏𝒏𝒆𝒄𝒕𝒊𝒏𝒈 𝒉𝒖𝒎𝒂𝒏𝒊𝒕𝒚’𝒔 𝒉𝒆𝒂𝒓𝒕, 𝒎𝒊𝒏𝒅, 𝒂𝒏𝒅 𝒔𝒐𝒖𝒍 𝒕𝒐 𝒏𝒂𝒕𝒖𝒓𝒆 𝒊𝒔 𝒇𝒐𝒓 𝒖𝒔 𝒕𝒐 𝒔𝒉𝒂𝒓𝒆 𝒐𝒖𝒓 𝒊𝒏𝒅𝒊𝒗𝒊𝒅𝒖𝒂𝒍 𝒔𝒕𝒐𝒓𝒊𝒆𝒔.”
-J. Drew Lanham
ส่วนครัวจะเป็นแบบปิดสามารถเลื่อนประตูเข้ามาได้เลยครับเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวและลดปัญหาเรื่องกลิ่นจากอาหาร โดยทางโครงการยังได้ติดตั้งเครื่องดูดควันเหนือเตา ของ Gaggenau เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วเพื่อให้ดูดกลิ่นขณะทำอาหารออกไปยังด้านนอกอาคาร เป็นการระบายกลิ่นได้ดี
โครงการได้ติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวและผนังเป็นหิน Taj Mahal Quartzite ข้อดีคือ ทนทานต่อรอยขีดข่วน มีความสวยงาม ทำความสะอาดได้สะดวก มีชุดตู้บนล่างติดตั้งมาให้แล้วเรียบร้อย อ่างล้างจานแบบ 2 หลุมเป็นของ Blanco นำเข้าจากเยอรมัน มีเครื่องล้างจานอัตโนมัติอยู่ด้านล่าง ส่วนชุดเตาไฟฟ้าและ Hob & Hood ของ Gaggenau จากเยอรมันเช่นกัน และยังได้ Built-in ตู้เก็บไวน์และตู้เย็นขนาด 2 ประตูให้เป็นของ Sub-Zero แบรนด์โปรดของกานต์เองครับ เป็นตู้เย็นที่มีเทคโนโลยีในการเก็บอาหารไว้ได้ยาวนานกว่าและดีไซน์สวยมาก ติดตั้งเอาไว้ให้แล้วด้วยครับ หลังจากทำอาหารเสร็จก็สามารถทยอยเสิร์ฟลงโต๊ะได้ทันที เพราะพื้นที่ติดกันเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 6 ที่นั่ง สามารถชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ทำอาหารอร่อยๆ ทานร่วมกันที่บ้านได้ในบรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเอง เพราะการออกแบบเอื้อต่อการทำกิจกรรมร่วมกันได้มาก รวมถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว
ถัดเข้าไปด้านในเป็นพื้นที่สำหรับเก็บของอีกหนึ่งจุดบริเวณด้านหน้าห้องนอน ดังนั้น อาจจะใช้เป็นพื้นที่เก็บหมอน ผ้าห่มหรือข้าวของที่ต้องใช้ในห้องนอนที่เรียกเปิดได้บ่อยกว่าห้องเก็บของด้านหน้า
ความชาญฉลาดในการออกแบบก็คือเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างส่วนตัวกว่า เพราะแขกหรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ จะไม่สามารถมองเห็นโซนพักผ่อนของเราที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในได้ ซึ่งต้องผ่านบริเวณห้องเก็บของเข้าไปก่อน Master Bedroom จะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน ทำให้เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากยิ่งขึ้น ห้องดูกว้างขวางและโปร่งสบาย ผ่านผนังกระจกใสแบบ Full-height สามารถเปิดช่องแสงธรรมชาติจากภายนอกเข้ามาในห้องออกแบบให้มีบานกระทุ้งเปิดได้
ภายในห้องตัวอย่างตกแต่งอย่างเรียบง่ายทว่าหรูหรา จัดแบ่งฟังก์ชันการใช้งานได้อย่างเป็นสัดส่วน ตรงกลางห้องค่อนไปทางด้านในชิดผนังจัดวางเตียงนอน King Size ขนาดใหญ่ พร้อมหัวเตียงบุนวม ทั้งยังมีพื้นที่ข้างเตียงเหลือมากพอที่จะจัดวางโต๊ะหัวเตียงพร้อมโคมไฟทั้ง 2 ฝั่ง ตกแต่งในสไตล์ที่เป็นลายเซ็นต์ของ Thomas ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ของโครงการ ที่มีความอาร์ต ความละมุน ความเรียบนิ่ง เลือกใช้สีเอิร์ธโทนเพื่อให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ด้วยความที่ห้องนอนจัดวางเตียงไว้ด้านในทำให้เปิดรับช่องแสงผ่านหน้าต่างได้สบาย ส่งผลต่อบรรยากาศภายในห้องค่อนข้างโฟลว์ครับ
ส่วนช่วงปลายเตียงดีไซน์เป็นเคาน์เตอร์ยาวขนานไปกับผนัง สำหรับติดตั้งทีวีขนาดใหญ่ มีระยะรับชมจากเตียงนอนได้สบายเลยครับ หรืออาจจะหาเก้าอี้มาวางสักตัว สำหรับปรับเป็นมุมนั่งทำงาน ขยับเข้าไปด้านนอกบริเวณทางเข้าห้องจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่ก็ปรับเป็นโต๊ะนั่งทำงานได้เช่นกัน โดดเด่นด้วยกระจกเงาฟรีฟอร์ม 2 ชิ้น มีมุมแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ที่เชื่อมต่อกับห้องน้ำในตัวได้อย่างพอดีพอเหมาะ
ภายในห้องน้ำมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ครบไม่ว่าจะเป็น อ่างล้างหน้าขนาดใหญ่ที่ติดตั้งขนานเป็นแนวยาว มาพร้อมกับอ่างล้างหน้าแบบ His & Her พร้อมกระจกเงาเต็มบาน ก๊อกน้ำเป็นของแบรนด์ AXOR
ด้านในติดตั้งสุขภัณฑ์แบบ Washless ภายในห้องแบบส่วนตัว
ห้องอาบน้ำแบ่งเป็นโซน Shower ทั้ง Rain Shower และ Hand Shower ทั้ง 2 ฝั่งสามารถอาบน้ำพร้อมกันได้ ห้องน้ำกั้นด้วยประตูปิดเพื่อแยกส่วนเปียกแห้ง ติดกันจะเป็นอ่างอาบน้ำของ TOTO ดีไซน์โค้งมนอยู่ติดกับกระจกแบบ Sexy Bath ถ้าอยู่คนเดียวอาจจะไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้าอยู่กันสองคนก็สามารถเลื่อนมาลงมาปิดได้ จะได้ไม่รู้สึกเขินกันมาก
มาดูในส่วนของห้องนอนรองกันบ้าง ส่วนตัวผมว่า Room Type นี้เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีลูก เพราะจะได้ฟีลแบบอยู่บ้านแบบไทย แต่แท้จริงแล้วคือการใช้ชีวิตอยู่บนอาคารสูงใจกลางหลังสวน ถือว่าเป็นไลฟ์สไตล์สำหรับคนเมืองที่ลงตัวมาก
ภายในห้องนอนรองถือว่าค่อนข้างกว้าง แบ่งเป็นมุมพักผ่อนกับมุมแต่งตัว ด้านในสุดเป็นหน้าต่างบานกระทุ้งที่สามารถเปิดออกเพื่อระบายอากาศได้
สถาปนิกออกแบบให้เป็นมุมพักผ่อนแบบคู่ เราสามารถวางเตียงนอนเดี่ยวแบบ 2 เตียงได้สบายเลยครับ รอบเตียงมีพื้นที่เดินได้ ทางโครงการติดตั้งฐานและพนักพิงหัวเตียงมาให้เรียบร้อยแล้ว ปลายเตียงเป็นตู้เก็บของและโต๊ะไปในตัว
ส่วนห้องน้ำและมุมแต่งตัวจะอยู่ถัดเข้าไปด้านใน ทางโครงการติดตั้งชุดสุขภัณฑ์อัตโนมัติจาก TOTO และมีอ่างล้างหน้า ที่ Built-in เป็นตู้เก็บของในตัว ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามครับ
พามาชมห้องแบบ 1 ห้องนอนกันบ้างครับ ด้านหน้าห้องจะมีฟังก์ชันคล้ายกัน คือมีโถง Foyer ตู้เก็บของเก็บรองเท้า
ติดกันด้านหน้าเป็นครัวแบบเปิด ติดตั้งอุปกรณ์ครัวครบไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างจานใช้เป็นของ Blanco แบรนด์จากเยอรมัน ส่วนด้านหลังเป็นเคาน์เตอร์สำหรับทำอาหาร ท็อปเป็นหิน Quartz ซึ่งทนต่อการขีดข่วนได้ดีและยังทำความสะอาดง่าย มาพร้อมกับ Hob&Hood และเตาอบจาก Gaggenau Design ยอมรับเลยว่าสวยมาก พื้นที่ด้านข้างสำหรับติดตั้งตู้เย็นแบบ 1 ประตูจาก Sub-Zero
กั้นพื้นที่ด้วยเคาน์เตอร์ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ ซึ่งเชื่อมต่อกับโต๊ะรับประทานอาหารได้ทันที เช้าๆ เราอาจจะชงกาแฟสักแก้วแล้วมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อัพเดทข่าวสารที่บนโซฟาเก้าอี้ หรือว่าตอนเย็นหลังเลิกงานเปลี่ยนจังหวะมาเป็นเพลงคลาสสิคเบาๆ พร้อมกับจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดเป็นการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวันได้เป็นอย่างดี
บริเวณนี้มีห้องน้ำแบบ Powder Room 1 ห้อง สำหรับรองรับการใช้งานของแขกและสมาชิกในบ้าน จะอยู่ติดกับเคาน์เตอร์ครัวเลยครับ
จริงๆ พื้นที่ Common Area ออกแบบให้เป็น Open Plan เพื่อให้เราได้ดีไซน์ฟังก์ชันต่างๆ ภายในห้องได้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัว สามารถปรับเองได้เลยครับ ด้านในออกแบบเป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ดูทีวี
ส่วนภายในห้องนอนจะกั้นด้วยประตูปิดทึบเพื่อความเป็นส่วนตัว อย่างที่บอกไปว่าห้องนอนมีขนาดใหญ่มาก สามารถวางเตียง King Size ได้สบายแถมยังมีพื้นที่รอบเตียงเดินได้เหลือๆ
ปลายเตียงสามารถติดตั้งทีวีแบบแขวนผนัง ให้เรานอนดูหนังจาก Netflix ได้เลย ภายในห้องถือว่าค่อนข้างกว้าง แบ่งเป็นมุมพักผ่อนกับมุมแต่งตัวและห้องน้ำ
โต๊ะเครื่องแป้งและมุมแต่งตัวแบบ Walk-In Open closet จากแบรนด์ Lema ดีไซน์เป็นห้องปิดที่ไม่จำเป็นต้องมีหน้าบานตู้เสื้อผ้า ผมว่าออกแบบได้เป็นสัดส่วนดี
ด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำประดับด้วยหินอ่อนนำเข้้าจากอิตาลีทั้งห้อง ภายในติดตั้งอ่างอาบน้ำมาให้ด้วยครับที่มาพร้อมกับอ่างอาบน้ำแบบฝัง ส่วนพื้นที่ของ Shower ออกแบบให้มีที่นั่งอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นไว้รองรับด้วยครับ
กานต์อยากยกให้ SCOPE Langsuan เป็นผู้ออกแบบนิยามใหม่ของคำว่าหรูหราได้ Beyond ที่สุด เพราะจริงๆ แล้วความหมายของ New Luxury 2024 จะไม่ได้เป็นการประโคมเฟอร์นิเจอร์ลวดลายเยอะๆ สีสันจัดๆ อีกต่อไป แต่เป็นความหมายของการออกแบบที่เข้าใจและเข้าถึงรสนิยมในการพักอาศัยของผู้ที่จะมาเป็นลูกบ้าน ผ่านงานดีไซน์ที่เรียบง่าย คำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานจริง มีความสวยงาม ควบคู่ไปกับรู้สึกสัมผัสได้ถึงสงบเงียบความเรียบง่ายในการใช้ชีวิต
เหมือนกับที่คุณ Thomas ดีไซเนอร์ของโครงการนี้เคยพูดเอาไว้ว่า “𝐋𝐮𝐱𝐮𝐫𝐲 𝐢𝐬 𝐚 𝐟𝐞𝐞𝐥𝐢𝐧𝐠, 𝐧𝐨𝐭 𝐚 𝐩𝐫𝐢𝐜𝐞 𝐭𝐚𝐠.”
ใครสนใจสามารถนัดหมายเข้าชมโครงการได้ที่โทร 02 821 5624
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://m.scasset.com/Jpd1