សួស្តី ซัวซไดย – สวัสดี … ทักทายจากกัมพูชา
พามาพักผ่อน #โรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในเสียมเรียบ
คุณอยู่กับกานต์ และนี่คือ “ไม่ไกลบ้าน” ครับ
เอาจริงนะ กัมพูชานี่คือไม่ไกลจากบ้านเราเลยครับ ผมใช้เวลานั่งเครื่องบิน Bangkok Airways ประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงครับ อารมณ์เหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัด แปบเดียวเอง
ทริปนี้เรามาเที่ยวกันที่เสียมราฐ แต่เราชอบเรียกกันว่าเสียมเรียบ อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาครับ
กานต์พักที่ Raffles Grand Hotel d’Angkor ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในเสียมเรียบ เป็นระดับตำนานอายุเกือบ 100 ปี ทำเลดีมากตั้งอยู่ตรงข้ามพระราชวังหลวงเลยครับ
เราคงจะต้องแบ่งพาร์ทเล่าเรื่องการเดินทาง Luxury Journey ของเราออกเป็นหลายตอน เนื่องจากเรื่องราวมีเยอะมาก ทั้งเชิงแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม อาหารการกิน เราไปเที่ยว Pub Street มาด้วยครับ อารมณ์เหมือนถนนข้าวสารบ้าน ที่สำคัญเปิดยันหว่างเลย
เสียมเรียบ ดูเหมือนจะเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมากครับ มีโรงแรม รีสอร์ตหรูมากมายตั้งอยู่ที่นี่ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวระดับแม่เหล็กที่ดึงดูดผู้คนให้มาเยือนนั่นก็คือ ปราสาทนครวัด หรือ Angkor Wat ตามชื่อโรงแรมที่เราพักเลยครับ
Raffles เป็นแบรนด์โรงแรมระดับโลกจากสิงคโปร์ บริหารโดย Accor เชน Hospitality เบอร์ต้นๆ ของโลก เอกลักษณ์ของ Raffles คือความเรียบหรู ตั้งอยู่บนอาคารสถานที่ทางประวัติศาสตร์ (เมืองไทยยังไม่มีโรงแรม Raffles นะครับ)
ที่กัมพูชามีโรงแรม Raffles 2 แห่ง คือที่พนมเปญ (กานต์ก็ได้มีโอกาสไป) และที่ เสียมเรียบ ที่ผมพามาเที่ยวกันในครั้งนี้
โรงแรมเปิดให้บริการในปี 1932 ซึ่งก่อนหน้านั้นยังเป็นชื่อ Grand Hotel d’Angkor เพราะฝรั่งเศศ (ผู้ปกครองในตอนนั้น) ต้องการให้มีโรงแรมหรู 5 แห่งทั่วอินโดจีน ซึ่งที่เสียมเรียบจะตกแต่งในสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส-โคโลเนียลโดยได้รับอิทธิพลจากงานอาร์ตเดคโคที่มาแรงมากในยุคนั้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาชมนครวัด
ดังนั้น สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของโรงแรมนี้คือมีลิฟต์ให้บริการเป็นโรงแรมแรกๆ ของเอเชียและยังคงใช้งานได้ดีจนถึงทุกวันนี้ เป็นลิฟต์กรงเหล็กฉลุลาย ได้ฟีลเหมือนท่ีเราดูหนังฝรั่งย้อนยุคเลยครับ แต่เอาเข้าจริงโรงแรมมีเพียง 4 ชั้น สามารถเดินขึ้นลงทางบันไดจะไวกว่า
Raffles Grand Hotel d’Angkor เป็นโรงแรมที่เคยแขกคนสำคัญระดับโลกมาพักมากมาย ทั้งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ดาราฮอลลีวูด และแขกคนสำคัญมากมายจากทั่วโลก เพราะได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในเสียมเรียบ ยิ่งปัจจุบันใช้เชน Raffles ยิ่งตอกย้ำมาตรฐานแห่งการบริการที่หรูหราน่าประทับใจมากขึ้นไปอีก
พาร์ทนี้จะเล่าในส่วนของการ Stay ที่โรงแรมนี้ก่อนนะครับ อยากพาเดินสำรวจทุกซอกทุกมุม เล่าเรื่องราวที่เป็นไฮไลท์ของโรงแรมให้ฟัง ยังไม่พาออกไป explore ตัวเมืองเสียมเรียบนะครับ เพราะว่าแค่พักผ่อนในโรงแรมก็น่าสนุกตื่นเต้นมากแล้วครับ
ทั้งพักผ่อนริมสระว่ายน้ำใหญ่ที่ได้ต้นแบบมาจากสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ในนครวัด ได้ทานอาหารกัมพูชาที่เสิร์ฟมาแบบ fine dining ดื่ม Cocktail ชื่อ Grand D’Angkor Sling ซึ่งเป็น Signature ของ Raffles ทั่วโลกด้วยครับ รสชาตดีมาก แตกต่างจาก Singapore Sling เพราะถือเป็นเอกลักษณ์ของ Raffles แต่ละแห่ง
อยากชวนไปนั่ง Lobby แล้วดูรูปถ่าย อ่านเรื่องราวของโรงแรมนี้ด้วยกันนะครับ
#RafflesHotels#RafflesGrandHoteldAngkor
#BangkokAirways#BoutiqueJourney
—
ถ้าจะเรียกว่า Raffles Grand Hotel d’Angkor เป็น Iconic ของโรงแรมในเสียมเรียบเลยก็ว่าได้ครับ เพราะที่นี่ตั้งใจสร้างเป็นโรงแรมระดับหรูที่สุดตั้งแต่เมื่อเกือบ 100 ปีมาแล้ว มีการวางแผนก่อสร้างมาอย่างดี ร่วมกันทั้งนักโบราณคดี วิศวกร สถาปนิก เพื่อให้เป็น 1 ใน 5 โรงแรมที่ฝรั่งเศสต้องการสร้างไว้ทั่วอินโดจีน
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน โรงแรมดูไม่เก่าเลยครับ มีความคลาสสิค ร่วมสมัย มีมนต์เสน่ห์น่าสนใจ ยืนหนึ่งในความเป็นตำนานของเสียมเรียบ
เสียมราฐ หรือเสียมเรียบ แม้ไม่ได้เป็นเมืองหลวงแต่กลับเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนเข้ามานานนับร้อยปี เพราะมีกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ในอดีตของอารยธรรมกัมพูชายุครุ่งเรืองรอให้เรามาสัมผัส
ทริปนี้เราก็ได้ไปเที่ยวกันหลายที่เลยครับ ขอเก็บไว้เล่าในพาร์ท 2 นะ
เป็นการมากัมพูชาครั้งแรก ที่แตกต่างไปจากที่คิดมากเลยครับ อยากให้หลายคนเปิดใจ ลองเที่ยวที่เสียมเรียบดู เพราะเชื่อว่าหลายคนไม่ค่อยรู้หมือนผมนี่แหละ ว่าเมืองได้รับการพัฒนาจนทันสมัย นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรมโบราณแล้ว เมืองยังเต็มไปด้วยโรงแรมระดับ 6 ดาว หรูหรา ร้านอาหารดีๆ ร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหารแบรนด์ไทยก็มีเยอะมากเลยครับ ผับบาร์เปิดกันสนั่นเมือง
พอตัดสินใจมาก็ได้เที่ยวเสียมเรียบ ก็ได้เวลาหาโรงแรมที่พัก เล็งไว้หลายแห่งเลยครับ แต่สุดท้ายเลือกเป็น Raffles Grand Hotel d’Angkor เพราะว่าที่นี่เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในเสียมเรียบอายุเกือบ 100 ปีที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ในตอนนี้ (FYI : เป็นโรงแรมแห่งที่ 2 ในเมืองนี้แต่โรงแรมแห่งแรกนั้นปิดบริการไปแล้วครับ)
ในตอนนั้นสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อดัง Ernest Hébrard ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับโรงแรมหรูในเสียมเรียบเพื่อทดแทนบังกะโลที่ไม่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกต่อไป
ชื่อ Grand Hotel d’Angkor ได้มาจากเมืองหลวงของอาณาจักรเขมรโบราณ ซึ่งปกครองส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 802 ถึงปี 1431
ทริปนี้บินกับ Bangkok Airways ครับ เที่ยวบินกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – เสียมเรียบ เปิดบินทุกวัน ไป-กลับ วันละ 1 เที่ยวครับ จองผ่านเวปไซต์ได้เลย
จากนั้น เราจองรถรับส่งของโรงแรม ไฟล์มาถึงที่นี่เกือบเที่ยง ทางโรงแรมจึงเตรียมของว่างไว้ให้บนรถเพื่อรองท้องก่อนจะไปทานมื้อกลางวันกัน
ที่นี่ไม่ต้องมีวีซ่าครับ ผ่านตม. แปบเดียว แวะซื้อซิมที่สนามบินได้เลย สัญญาณดีมาก ใช้เวลานั่งรถไม่นานก็มาถึงโรงแรม
โรงแรมวางตัวอยู่เงียบๆ ติดถนนใหญ่ ตรงข้ามเป็นสวนสไตล์ฝรั่งเศสและพระราชวังหลวงครับ อาคารเป็นสไตล์เฟรนช์-โคโลเนียลสีขาว ที่มีเรื่องราวมายาวนานกว่า 100 ปี
นับจากที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณานิยมในสมัยนั้น ต้องการสร้างโรงแรมขึ้นมา 5 แห่งทั่วอินโดจีนเพื่อรองรับข้าราชการ นักปกครองและนักท่องเที่ยว ซึ่ง Grand Hotel d’Angkor เป็น 1 ใน 5 โรงแรมนั้นครับ
Raffles Grand Hotel d’Angkor เป็นเพียงโรงแรมเดียวในกัมพูชาที่ได้รับพระบรมราชานุญาติให้ใช้ตราพระราชลัญจกร ประจำราชวงค์ มาประดับพร้อมกับชื่อโรงแรม ติดไว้อยู่ด้านหน้าอาคารเลยครับ
เมื่อเดินเเข้ามาด้านในจะพบกับเคาน์เตอร์เช็คอินที่ออกไปได้สวยเก๋มีความวินเทจเหมือนโรงแรมยุโรปที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ ด้านหลังออกแบบให้เป็นช่องใส่กุญแจ (ซึ่งพวงใหญ่และหนักมาก แขกจึงนิยมฝากกุญแจไว้มากกว่า) โดยรวมของความประทับใจแรกในงานออกแบบคือชอบมากเลยครับ ดูคลาสสิคดี
พนักงานต้อนรับคล้องผ้าพันคอเพื่อแสดงไมตรี จากนั้นจึงมอบพวงมาลัยและเชิญเราไปนั่งรอที่ Lobby พร้อมกับเสิร์ฟ Welcome Drink เป็นน้ำสมุนไพร
ทางเข้าอาคารอีกด้านจะประดับภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเสียมเรียบและโรงแรม Grand Hotel d’Angkor ในอดีตตั้งแต่ยุคอาณานิคม โดยตามแผนฝรั่งเศสจะสร้างโรงแรมห้าแห่งทั่วอินโดจีน โดย Grand Hotel d’Angkor สร้างขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมนครวัด กลุ่มศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ต่อมาในยุคเขมรแดง บ้านเรือนอาคารในเสียบเรียบถูกทำลายได้รับความเสียหาก เช่นเดียวกับ Grand Hotel d’Angkor และถูกปล่อยทิ้งรกร้าง จนกระทั่งเกิดข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 1991 ซึ่งทำให้สงครามกลางเมืองในกัมพูชายุติลง หลังจากการประหัตประหารยืดเยื้อกันมาเป็นเวลา 13 ปี คือปี 1978-1991
ต่อมาโรงแรมจึงได้บูรณะครั้งใหญ่ใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และกษัตริย์สีหนุได้เชิญ Fairmont Raffles Hotels International มาบริหารจนกลายมาเป็นโรงแรม Raffles Grand Hotel d’Angkor ในปัจจุบัน มีห้องพักรวม 119 ห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย รวมทั้งร้านอาหาร สระว่ายน้ำ และร้านขายของที่ระลึก ให้บริการนำเที่ยว
Lobby ตกแต่งสไตล์เฟรนช์-โคโลเนียลอย่างสวยงามที่ผสานกลิ่นอายของงานอาร์ตเดโคเข้ากับศิลปะแบบเขมร จนกลายเป็นความโมเดิร์นที่คลาสสิคมาก โถงกลางจึงเป็นเสมือนห้องรับแขกที่จัดไว้สำหรับพักผ่อนราวกับเป็นอาคันตุกะผู้มาเยือน
โดยรอบจัดวางหนังสือและประดับภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กัมพูชาที่หาชมได้ยาก พร้อมทั้งจัดวางที่นั่งสำหรับพักผ่อนและศึกษาประวัติศาสต์ไปพร้อมๆ กัน เป็นมุมที่ผมชอบมากเลยครับ
Lobby ของโรงแรมสวยงามจริงๆ ผมสังเกตว่าส่วนใหญ่แขกที่มาพัก Raffles Grand Hotel d’Angkor จะเป็นต่างชาติ ยุโรป เป็นหลัก เพราะอยากจะซึบซับร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เสียบเรียบ ไปพร้อมๆ กับการมาเยือนแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างนครวัด
เพราะแรกเริ่มคือการเป็นจุดแวะพักสำหรับนักโบราณคดีและนักผจญภัยที่ต้องการสำรวจอาณาจักรโบราณของนครวัด แหละที่สำคัญโรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจากนครวัดเลยครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ของโรงแรมคือลิฟต์โบราณอายุเกือบ 100 ปีเท่ากับโรงแรม เป็นลิฟต์ไม้ในกรงเหล็กที่ใช้ระบบชักรอกแบบเปลือย โชว์โครงสร้างทั้งหมด มีเหล็กดัดเป็นลวดลายดูเก๋ไก๋ดี ทีแรกเราก็ตื่นเต้นขึ้นลงกันด้วยลิฟต์ แต่เข้าพร้อมกันได้ทีละ 2-3 คนเท่านั้น
แต่พออยู่ไปหลายๆ วัน เดินขึ้นลงทางบันไดน่าจะไวกว่า และอยากช่วยกันทะนุถนอมลิฟต์โบราณล้ำค่านี้เอาไว้
ข้างๆ โถงลิฟต์จัดวางโทรศัพท์เอาไว้แบบเดียวกับในห้องพัก ดีไซน์วินเทจสร้างจากทองเหลืองและไม้ ใช้งานได้ปกติเลยครับ
ชั้นบนโซนห้องพัก จะมีโถงกลางที่บริเวณลิฟต์ ปูพื้นด้วยลายตารางหมากรุกสไตล์อาร์ตเดโค ประดับตกแต่งเฟอร์นิเจอร์โต๊ะ ตู้ ตั่งแบบเขมรโบราณ พร้อมภาพอดีตที่หาชมได้ยาก ดูคลาสสิคดีครับ
เข้ามาภายในห้องพัก ผมได้เป็นห้องมุมซึ่งข้อดีคือมีความกว้างขวางมากกว่า และมีเลย์เอ้าท์ที่ดูแปลกตากว่าห้องตรงกลางที่เป็นทรงสี่เหลี่ยม หน้าห้องจะเป็นห้องน้ำ พร้อมกับพื้นที่แต่งตัว ส่วนห้องนอนจะอยู่ด้านใน จัดวางเตียงขนาดใหญ่ไว้ตรงกลาง มีโต๊ะทำงานอยู่ริมระเบียง พร้อมมินิบาร์
ห้องนี้ถือว่ากว้างขวางดีและตกแต่งสวยมาก ประดับด้วยพรมเปอร์เซียผืนใหญ่ลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์
ส่วนตัวผมชอบการเลือกใช้สีโทนเบจ น้ำตาลไม้ที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู ดูแพง
ห้องน้ำมีขนาดใหญ่ ประดับด้วยหินอ่อนตกแต่งภายในดูคลาสสิคสวยงามพร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ แช่ตัวได้สบายเลยครับ
Amenities ใช้เป็นของแบรนด์ Sodashi จากออสเตรเลียซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความบริสุทธิ์ของสารสกัดจากทะเลและดิน เป็นครั้งแรกที่ผมเคยใช้ครับ
มินิบาร์ถูกจัดไว้มุมห้องมาพร้อมกับผลไม้และขนมต้อนรับ มีเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลจาก Segafredo คอยให้บริการ ตรงกลางเป็นประตูเปิดออกไปสู่ระเบียง
อีกด้านเป็นโต๊ะทำงานที่จัดเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไว้ครบครัน
ห้องนี้กว้างขวางดีแต่วิวไม่ค่อยสวยเท่าไร เพราะมองออกไปจะเห็นหลังคาของอาคารอีกหลังมากกว่าจะเป็นวิวสระว่ายน้ำ ซึ่งอาจจะต้องมองเฉียงออกไปเล็กน้อย ปลายสระจะเป็นพูลบาร์
โดยรอบสระว่ายน้ำจัดวาง Sunbed ไว้พร้อมกางร่มสีเขียวเข้มดูกลมกลืนกับธรรมชาติ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดีเหมาะแก่การเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ปีกซ้ายของโรงแรมจะมีโถงทางเดิน ซึ่งเรียงรายไปด้วยร้านขายของที่ระลึกทั้งงานคราฟท์ ภาพถ่าย ภาพวาด เครื่องดื่ม ผ้า อัญมณีและอีกมากมาย
อยากแนะนำว่าให้เดินมาจนสุดอาคารแล้วเปิดประตูออกจะพบกับงานแสดงศิลปะที่จัดวางพระพุทธศิลป์แบบเขมรเอาไว้ให้เราได้ชมกันท่ามกลางบรรยากาศของสวนสีเขียวร่มรื่นและแทบไม่ค่อยมีแขกเดินมาเลยครับ เป็นมุมที่เงียบดีมาก
ตรงกลางของโรงแรมเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นครวัด สีเขียวมรกตทางโรงแรมจำลองมาแบบสเกลเป๊ะมาก
มีบันไดลงสระตรงมุมทั้ง 4 ด้าน มองเห็นอาคารที่พักอีกหลังที่ตั้งตระหง่าน อีกด้านเป็นพูลบาร์ที่ประดับด้วยสิงโตคู่ สัญลักษณ์ของผู้ปกปักรักษาพื้นที่
ตรงข้ามเป็นอาคารฟิตเนสมีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้ร่วมงานกับ Raffles Spa แน่นอนว่าสปาของที่นี่ถูกจองเต็มเกือบทั้งวัน และตอนที่สปาว่างคือเราไม่สะดวกต้องออกไปด้านนอก เลยไม่ได้ลองใช้บริการ
ถัดจากอาคารสปาจะเป็นวิลล่าแบบ 2 ห้องนอนตั้งอยู่ 1 หลัง ทางเข้าร่มรื่นดีมาก เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว บรรยากาศคือเงียบสงบดีครับ เหมาะสำหรับมาพักผ่อนในบ้านพักส่วนตัวที่เสียมเรียบ
เปิดประตูเข้าไปภายในจะพบกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่มากจัดวางชุดที่นั่งไว้รองรับการใช้งานที่หลากหลายตกแต่งในสไตล์เฟรนช์-โคโลเนียล ดูสวยงามหรูหรา
อีกด้านเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่ จัดวางเก้าอี้ไว้ 8 ที่นั่ง
ห้องนอนหลักจะอยู่ปีกซ้ายของบ้าน ตรงกลางจัดวางเป็นเตียงคิงส์ไซซ์ ตกแต่งภายในอย่างหรูหรา มาพร้อมกับเก้าอี้ที่นั่งสำหรับชมวิวสวนด้านนอกภายในพื้นที่ส่วนตัว ส่วนห้องน้ำจะอยู่ด้านในสุด
ส่วนปีกขวาจะเป็นห้องนอนรองซึ่งจัดวางเตียงควีนส์ไซส์เอาไว้ 2 เตียง พร้อมมุมทำงานและที่นั่งสำหรับพักผ่อนชมวิวสวนเช่นกัน
ด้านในสุดของห้องนอนทั้ง 2 เป็นห้องน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่มาก จัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่ที่โดดเด่นคืออ่างอาบน้ำดีไซน์วินเทจดูเข้ากันดีมาก
ภายในอาคารที่พักตกแต่งในสไตล์อาร์ตเดโคที่โดดเด่นด้วยพื้นกระเบื้องลายตารางหมากรุก สีน้ำตาลก็ดูเก๋ดีครับ พร้อมกับส่วนจัดแสดงงานศิลปะเขมรโบราณ เป็น Installation Art ทั่วโรงแรม
ห้องสวีทของโรงแรมทั้ง 4 ห้องจะตั้งชื่อผู้คนที่ส่งต่อแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวเสียมเรียบ
อย่างห้องนี้เป็นชื่อของ Henri Mouhot นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่สิบเก้า เป็นผู้ค้นพบมรดกของอารยธรรมเขมรโบราณและนำเสนอผ่านงานเขียนของเขาซึ่งได้แนะนำนครวัดให้กับชาวโลกได้รู้จัก
เรามาชมกันต่อในส่วนของ Living ที่ผมชอบมากครับ ด้วยการตกแต่งในสไตล์นักเดินทางสำรวจโลก ผนังเป็นครึ่งกระจกแบบเปิดโล่งมองเห็นวิวสีเขียวด้านนนอก เหมาะสำหรับมานั่งพักผ่อน พูดคุยหรือจิบชา กาแฟยามบ่าย
ส่วนช่วงเย็นสามารถมาเอนจอยกับเครื่องดื่มจากบาร์ ในบรรยากาศสบายๆ แบบนี้ได้นะครับ ช่วงที่เราไปมีโปร Happy Hour ด้วยนะ
ติดกันเป็นห้องอาหาร 1932 Khmer Cuisine ที่ผสมผสานความเป็นอาหารท้องถิ่นพรีเซนต์ในแบบ Fine Dining ซึ่งเป็นเรื่องที่ Amazing มาก สำหรับเรา
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าห้องอาหารตกแต่งได้สวยมาก ผสมผสานงานศิลปะแบบฝรั่งเศสและเขมรเข้าไว้ด้วยกัน จานชามและผ้ารองปักตราสัญลักษณ์พระราชลัญจกร ให้ความรู้สึกหรูหราราวกับนั่งรับประทานอาหารอยู่ในพระราชวัง ผ้าบุเบาะที่นั่งทำจากไหมสีส้มและเหลืองทอง ผ้าม่านจีบเป็นลวดลายศิลปะเขมร แต่ภายในตกแต่งสไตล์อาร์ตเดโค ดูเหมือนขัดแย้งแต่กลมกลืนกันอย่างน่าประหลาดใจ
อาหารที่เสิร์ฟภายในห้องอาหาร 1932 Khmer Cuisine จะเน้นความเป็นออริจินัลแบบดั้งเดิมของอาหารชาววังกัมพูชา นำเสนอออกมาในรูปแบบ Fine Dining พร้อม wine pairing ทั้งอาหารเรียกน้ำย่อย คล้ายกับเมี่ยงโบราณ
คอร์สอาหารจานแรกเป็นยำส้มโอที่ค่อนข้างละมุนลิ้นไม่จัดจ้านเหมือนบ้านเรา อาหารจานหลักเป็นสตูวเนื้อแก้มวัว นุ่มละลายมาในครีมซอสฟักทองและมะเขือเทศ ส่วนของหวานเป็นทาร์ตฟักทอง ทานคู่กับซัลว่ามะม่วงสุก
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ได้เวลามาสัมผัส Elephant Bar ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเสียมเรียบ ตกแต่งในสไตล์เขมรโบราณที่ดูเคร่งขรึม จัดวางที่นั่งกระจายกันไปในหลายมุมเพื่อความเป็นส่วนตัว
เสียงเพลงแจ๊สจากหลุยส์ อาร์มสตรองเปิดคลอเบาๆ ราวกับรู้ใจว่าเป็นศิลปินคนโปรดของผม
Mixologist กำลังรังสรรค์เครื่องดื่มที่เป็น Signature ให้เราได้ลองสัมผัสนั่นคือ Grand D’Angkor Sling ซึ่งมีความโดดเด่นในการใช้สมุนไพรเข้ามาเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม
นี่คือเสน่ห์ของ Raffles ที่ชวนให้นักเดินทางจากทั่วโลกตามล่าหาเครื่องดื่ม ที่เป็น Signature อันมีต้นแบบมาจาก Singapore Sling มาดื่ม เพื่อให้เข้าถึงความเป็นแก่นของสถานที่นั้นๆ ที่โรงแรมตั้งอยู่
ก็รอดูอยู่ว่าเมื่อไรจะได้ดื่ม Bangkok Sling เสียที
คืนนี้เราย้ายมานั่งยาวที่ Elephant Bar เพราะว่า Pool Bar ด้านนอก ฝนตกเล็กน้อย แต่บรรยากาศดีมาก อยากให้ลองถ้ามีโอกาสครับ
ในส่วนของอาหารเช้าถือว่าดีงามมาก ห้องอาหารมีขนาดใหญ่แต่ไลน์อาหารไม่มาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคืออร่อยทุกจานเลยครับ
เราเลือกได้เลยว่าเช้านี้อยากนั่งสัมผัสกับธรรมชาติด้านนอก หรือในห้องปรับอากาศด้านใน
เช้าวันแรกฝนปรอยๆ เลยมานั่งด้านในกัน ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องอาหารฝรั่งเศสที่มีความเรียบหรู
มื้อเช้าของที่นี่พิเศษกว่าใครเพราะเสิร์ฟพร้อม Champagne Breakfast ดื่มคู่กันกับกาแฟ สามารถบริการตัวเองได้เลยครับ
อาหารสามารถสั่งจากบริกรหรือเดินไปสำรวจในไลน์ก็ได้ครับ แยกออกเป็นหลาย Station ทั้งของคาวและของหวาน
Signature Dish ของที่นี่คือ Eggs Benedict สไตล์ฝรั่งเศส โดยเลือกใช้ไข่ไก่จากฟาร์มออร์แกนิค เสิร์ฟอาหารคุณภาพดีทุกเช้าให้เราได้ทานกัน
ส่วนอีกมง เรายกให้เบค่อนย่าง ซึ่งอร่อยกว่าแบบทอดมาก มันนุ่มกว่า หอมกว่า แต่ทานเสร็จอาจจะไม่ได้นั่งรถไปนครวัดนะครับ ต้องวิ่งแทนเพราะเบิร์นแคลเยอะหน่อย
มื้อกลางวันได้มีโอกาสลองทานอาหารสไตล์ Vegetarian ซึ่งเสิร์ฟพิเศษที่ Raffles Grand Hotel d’Angkor เป็นการสร้างสรรค์อาหารจากพืชผักในรูปลักษณ์ของอาหารทั่วไป เช่นสลัดที่ให้ฟีลเหมือนทาร์ท่าร์เนื้อ แต่จริงๆ แล้วทำจากบีทรูธผสมกับผลไม้ท้องถิ่นหลายชนิด หรือจะเป็นราวิโอลี่สอดไส้ผัก
ของหวานเป็น จานที่ผมชอบมาก ทีรามิสุ
ปิดท้ายพาร์ทแรกของเราด้วยความอร่อยสดชื่นแบบธรรมชาติที่ได้มาสัมผัสกับ Raffles Grand Hotel d’Angkor แต่ว่าการเดินทางของเราเพิ่มเริ่มต้นครับ ยังมีไฮไลท์ให้ได้ติดตามกันต่อในพาร์ทที่ 2 นะ