ช่วงเวลาน่าช้อน … Noble Around Sukhumvit 33 เริ่มต้น 4 ล้าน*
ลงทะเบียนวันนี้ฟรีทุกค่าใช้จ่าย
_
Noble มักจะเป็นแบรนด์แรกที่กานต์นึกถึงเสมอครับ เวลาที่มองหาคอนโดโลเคชั่นใจกลางเมืองที่มีเรื่องของงานดีไซน์มาเป็นตัวนำ หน้าตาแต่ละตึกสวยล้ำสมัย ตกแต่งภายในได้เก๋ หรูหรามีระดับและทำคอนเซ็ปต์ในการพักอาศัยในแต่ละโครงการได้มีสตอรี่ที่น่าสนใจ
อย่างโครงการล่าสุดที่ได้ไปถ่ายรูปทำรีวิวคือ Noble Around Sukhumvit 33 (โนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33) ที่มีจุดเด่นคือใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ในระยะประมาณ 350 เมตร เดินไปช้อปปิ้งที่ The EM District ได้สบาย เป็นซอยคึกคักไปด้วยร้านอาหาร ร้านกินดื่มและคาเฟ่ชั้นดี เป็นไลฟ์สไตล์ในแบบที่ผมชอบมากเลยครับ
ชื่อก็บอกอยู่ว่า Around Sukhumvit 33 ผมว่า Area นี้มีความเป็น Japanese Town อยู่สูงมาก ผมไปซื้อขนมที่ Custard Nakamura แล้วซื้อเนื้อมาทำชาบูอยู่บ่อยๆ ที่ UFM Fuji Super อยู่ซอยใกล้ ๆ โครงการ บางวันก็ไปหาราเมงอร่อย ๆ ทานในบรรยากาศแบบญี่ปุ่น เป็นฟีลลิ่งของการพักอาศัยในทำเลนี้ที่มีเสน่ห์มาก อยากย้ายมาอยู่ย่านนี้เป็นที่สุด
สิ่งที่ผมชอบที่สุดหลังจากได้ไปชมโครงการ Noble Around Sukhumvit 33 คืองานดีไซน์ที่มีคอนเซ็ปต์หลักคือ Contrast Is The New Exquisiteness เข้ากับวัยรุ่น (ตอนปลาย) แบบผมดี 555 ความที่สุขุมวิทเป็นย่าน Multiculture การที่ Developer จะพัฒนาคอนโดมาสักโครงการที่จะผสานความ Hi-Contrast ทุกอย่างเข้าด้วยกันมันมักจะเป็นเรื่องยาก แต่ Noble ทำได้ คือมีทั้งความโมเดิร์นแบบร่วมสมัย ใส่กลิ่นอายความเป็นไทยเข้ามา และไม่ลืมว่าลูกบ้านของที่นี่ต้องมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ จึงมีพื้นที่สีเขียวกระจายตัวอยู่ในหลาย ๆ ชั้น เหมือนกับได้ไฮค์กิ้งกลางป่าเขา พอคอนเซ็ปต์มันชัด ไอเดียสุดจัดก็กระโดดตามมา
รีวิวนี้ กานต์จะพาไปชมห้องตัวอย่าง 3 type และไม่ลืมที่จะเก็บภาพพื้นที่ส่วนกลาง เพราะมีหลายจุดที่เป็นไฮไลท์น่าสนใจ ผมแอบไปนอนงีบรับลมชมวิวที่ Napping Valley มาด้วยครับ พร้อมกับเก็บวิวมุมสูงจาก The Sky Pool มาให้ดูด้วย กรุงเทพฯ ตอน Sunset สวยมากจริงๆ แต่ที่ชอบที่สุดคือ Party Lounge ชั้น 14 เพราะนานทีเราจะเห็นการเลือกใช้สีเขียวใบตองมาในงานดีไซน์ ผมว่าทำให้ห้องดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยครับ
ไปชมภาพพร้อมกับอ่านคำบรรยายเรื่องราวที่ผมหยิบมาเล่าสู่กันฟัง หลังจากที่ได้ไปชมโครงการ Noble Around Sukhumvit 33 กันต่อด้านในดีกว่าครับ
#NobleDevelopment#Noble#AroundSukhumvit33#NobleAroundSukhumvit33
—
ผมชอบการตกแต่งล้อบบี้ที่โดดเด่นด้วยการนำโทนสีน้ำตาลแดงมาเป็นสีหลักในการ Represent ดูคลาสสิคแต่ชิคมาก หลงรักหินอ่อน Rosso Levanto ที่นำเข้ามาจากอิตาลี พื้นกระเบื้องสีแดงทำให้ดูแพงมากขึ้นไปอีก ดีไซน์เข้ากันดีกับเส้นโค้งบนผนังที่ไหลต่อเนื่องจรดเพดาน
พื้นที่ส่วนกลางที่เป็นไฮไลท์คือ ชั้นบนสุดของตัวอาคาร จะมี Sky Pool เป็นสระแบบ Infinity Edge Pool
ออกแบบพื้นที่สีเขียวเป็นสแตคสอดแทรกไว้ทั่วโครงการภายใต้คอนเซปต์ Forest on the Hill
โครงการ Noble Around Sukhumvit 33 มีไฮไลท์ที่กานต์อยากพาไปชมก่อนในหลายจุดครับ ทั้งพื้นที่ส่วนกลางและห้องตัวอย่าง
เริ่มจากชั้น 1 ด้านหน้าเมื่อขับรถเข้ามาจะเจอกับ Escape Garden พื้นที่สีเขียวจุดแรกที่คอยทำหน้าที่ต้อนรับ ผมขับรถเข้าไปจอดที่ช่อง EV Charger ระหว่างนี้ก็ให้ชาร์จไฟฟ้าเข้ารถยนต์ไปด้วยในตัว
จากนั้น เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณโถง Lobby ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ผมยกนิ้วให้ที่นี่ในเรื่องการตกแต่งออกมาสวยดูดี แค่กระเบื้องหินอ่อน Rosso Levanto สีแดงพิเศษนำเข้าจากอิตาลี ปูเป็นลายตารางสลับกับสีขาว เท่านี้ก็กินขาดในเรื่องความเก๋แล้วครับ สำทับด้วยดีไซน์ของเส้นโค้งสีขาวลงบนผนังสีเดียวกับพื้นกระเบื้องเป็นแนวยาวจากพื้นจรดเพดาน เป็นงาน Decoration ที่ช่วยลดทอนความเหลี่ยมมุมของอาคารได้ดี ดูครั้งแรกจะรู้สึกถึงความเป็น Hi-Contrast เหมือนจะไม่เข้ากัน แต่ก็พอดูนานๆ มันก็ลงตัวดี บอกไม่ถูก เป็น Lobby ที่ Abstact มากครับ
ภายในจัดวางชุดโซฟาและเก้าอี้แบบหลวม ๆ กระจายตัวกันไปในหลายจุดทั่วพื้นที่ แต่ไฮไลท์ที่อยากจะเขียนถึงคือโคมไฟ Vibia Flamingo 1530 ผลงานของดีไซน์เนอร์ Antoni Arola ที่นำเข้ามาจากสเปน ดูโดดเด่นมากครับ จากนั้นเมื่อจะเข้าไปภายในอาคารจะเป็นเทคโนโลยี Face Scan และวัดอุณหภูมิได้ด้วยครับ ส่วนลิฟท์โดยสารเป็นแบบ Touchless เหมาะกับการใช้ชีวิตยุคโควิดจริงๆ ครับ
เมื่อเข้ามาภายใน ผมค่อนข้างเซอร์ไพรส์กับการออกแบบพื้นที่สีเขียวเป็นสแตคสอดแทรกไว้ทั่วโครงการเลยครับ รวมทั้งชั้นพักอาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Forest on the Hill มองเมืองต่างมุมผ่านม่านธรรมชาติ เพื่อให้ลูกบ้านได้สัมผัสกับธรรมชาติเป็นฟีลแบบไฮค์กิ้งกลางป่า แม้ว่าความจริงแล้วจะอยู่ใจกลางเมืองก็ตาม
มี Forest Valley บริเวณชั้น 4 จัดให้เป็นพื้นที่พักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัวแต่ไม่โดดเดี่ยว และไม่รบกวนผู้อยู่อาศัยท่านอื่น โดยออกแบบให้สวนหันออกไปทางด้านหน้าอาคาร เราสามารถมานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ชั้นนี้ได้ รู้สึกถึงความเป็น Urban Hideway
ด้วยความที่มีจำนวนยูนิตไม่มาก เพียง 274 ยูนิตเท่านั้น จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยสูงกว่าหลายโครงการในทำเลใกล้ๆ กัน
ส่วนชั้น 14 จะเป็น Party Hill เป็นกรีนฮีลเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ยกระดับสูงแตะเส้นขอบฟ้าเพื่อให้เราได้มาดื่มด่ำอารมณ์แคมปิ้ง หรือจัดเป็นเอ้าท์ดอร์ปาร์ตี้ที่สวนด้านนอก
ส่วนภายในออกแบบให้เป็น Party Lounge เป็นพื้นที่สำหรับจัด Party ในอาคาร ตามคอนเซ็ปต์ Living-Dining-Library ที่มีทั้ง ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด และห้องรับประทานอาหาร
Work hard, but party harder.
ส่วนที่ผมชอบคือ Napping Valley ออกแบบให้เป็นสวนพักผ่อนสบาย ๆ ปล่อยตัวเอนกายบนเดย์เบดท่ามกลางสวนป่าขนาดใหญ่ ด้วยดีไซน์สโลปทอดยาวจากชั้น 21 ถึงชั้น 22 เพื่อที่เราจะได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติกลางใจเมืองได้อย่างเต็มที่
พื้นที่ส่วนกลางอีกจุดที่เป็นไฮไลท์และทำให้ผมประทับใจมากคือที่ชั้น 25 ชั้นบนสุดของตัวอาคาร จะมี Sky Pool เป็นสระแบบ Infinity Edge Pool ระบบเกลือ ขนาดยาว 21 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันตกพร้อมกับ Pool Deck เอาไว้นั่งชมวิวในสระ สามารถเปิดรับมุมมองได้ 180 องศา ขณะที่ใกล้ๆ กันจัดเป็นสวน (อีกแล้วครับทั่น) พร้อมกับ Day Bed ตัวใหญ่ อันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อจะหลบแดดในตอนบ่าย เอาไว้นั่งหรือนอนรับลมเย็นๆ ได้
ส่วนอีกฝั่งบนชั้นนี้จะเป็น Maroon Gym ออกแบบในแนว Neo-Classic ด้วยระแนงเพดานดีไซน์โค้ง และโทนสีมารูนดูแปลกตาดี มาพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครันทั้งฟรีเวทและแมชชีน ให้เราได้ฟิตพร้อมกับชมวิวกรุงเทพมุมสูงได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำ-อาบน้ำ แยกชาย-หญิง ภายในมีห้อง Steam Room แยกห้องชาย-หญิงเช่นกันจัดเตรียมไว้ให้ใช้บริการ
วิวจาก Noble Around Sukhumvit 33 ท่ามกลางตึกสูงต่างๆ สวยงามมากครับ
ผมมองว่าการจัดส่วนกลางที่เป็นไฮไลท์เอาไว้บนชั้นบนสุดของอาคารเช่นนี้ ก็จะทำให้ได้เปรียบในเรื่องของทัศนียภาพ วิวแบบมุมสูงโดยรอบ โดยเฉพาะใจกลางเมืองแบบนี้ ในช่วงเย็นของทุกวันผมถือว่ามันเป็นบรรยากาศที่ดีมากเลยครับ กับแสงสีทองที่จะสาดส่องสะท้อนผิวน้ำ
ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Vanilla Sky ส่วนช่วงเวลากลางคืน ยามที่อาคารต่างๆ เปิดไฟก็จะเป็น City View ที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน
มาดูห้องตัวอย่างกันบ้างครับ Room Type 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตร.ม. เป็นห้องตัวอย่างห้องแรกที่จะพามาชมกันครับ โดยมากแปลนของห้องจะเป็นห้องมุมมีอยู่เกือบทุกทิศของอาคาร ทำให้การเปิดรับช่องแสงจากธรรมชาติภายนอกเข้ามาทำได้ดีในแทบทุกห้อง
บริเวณประตู ทางโครงการได้ติดตั้ง Electronic Door Lock ของ Yale หรือเทียบเท่า เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปจะพบกับ Living Room จัดแบ่งฟังก์ชันตามไลฟ์สไตล์คนกรุง คือมีพื้นที่ Dining ขนาด 4 ที่นั่ง จัดวางไว้อยู่ริมระเบียงที่เปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกไปได้ ซึ่ง Full Height Window ก็เป็นไฮไลท์ในการออกแบบภายในห้องของโครงการนี้ครับ ความที่ได้กระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเปิดกว้างเต็มผนัง ก็จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหารหากเปิดม่านชมวิวไปด้วย
เช่นเดียวกับมุมนั่งเล่นพักผ่อนที่ขนานกับโต๊ะรับประทานอาหาร จึงเป็นการเชื่อมต่อวิถีชีวิตของสมาชิกภายในบ้าน สามารถทานข้าวไป ดูทีวีไป สลับกับการพูดคุยกันเพื่อเติมเต็มแต่ละวันของเราให้มีความหมายมากยิ่งขึ้นไป
ผมชอบคอนเซ็ปต์งานดีไซน์ในห้องนี้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบในยุค Mid Century ที่ผสานกับความโมเดิร์น ใช้สีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เพิ่มเส้นสายเรขาคณิตเข้าไป ในส่วนผนังตกแต่งในสไตล์ Art Deco ที่ยังคงความเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เพิ่มกิมมิคในการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และของลอยตัวในสไตล์ Mid Century ทำให้มีกลิ่นอายในยุค 1950s เป็นไอเดียที่ Classic Timeless มากครับ
ขณะที่อีกด้าน บริเวณฝั่งเดียวกับประตูทางเข้าห้อง ออกแบบให้เป็นครัวแนวยาว ด้วยความที่โครงการจะขายแบบ Fully Fitted จึงได้ Built – in ชุดเคาน์เตอร์ครัว อ่างล้างจาน Hob & Hood ซิงค์ ก๊อก จะเป็นของแบรนด์นำเข้ายี่ห้อ Franke หรือเทียบเท่า ส่วน Top ของเคาน์เตอร์จะเป็นหินสังเคราะห์ ซึ่งข้อดีก็คือมันไม่ค่อยจะเป็นรอยขีดข่วนสักเท่าไร ทนทานดีแต่เรื่องการทำความสะอาดคราบต่าง ๆ ทำได้ง่ายกว่าวัสดุทั่วไปพร้อมตู้เก็บของจะเป็นลามิเนตทั้งหมด ทั้งด้านบนและด้านล่างที่ติดตั้งบานปิดแบบ แบบ Soft Close เปิดง่าย ปิดสบายไม่เปลืองแรงมาให้แล้ว พร้อมเปิดช่องสำหรับจัดวางตู้เย็นขนาดใหญ่และเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นอกจากนี้ ภายในห้อง ทางโครงการได้ติดตั้งระบบ Home Automation ควบคุมการเปิด-ปิดไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากหน้าจอสัมผัสเพียงจุดเดียว (Touch Screen) หรือการควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ไอทีทางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รองรับความต้องการในยุคเทคโนโลยีให้กับลูกบ้าน ผมชอบเทคโนโลยีนี้เพราะช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายและสมาร์ทมากยิ่งขึ้นครับ
เมื่อเดินตรงเข้ามาจากทางครัวจะมีโถงทางเดินเล็ก ๆ พร้อมกับห้องน้ำที่แยกออกมาเพื่อให้สามารถปรับใช้เป็นห้องน้ำสำหรับแขกได้ด้วย
ช่วงสุดท้ายปลายทางเดินจะเป็นห้องนอนเล็กที่มีขนาด Compact แต่ก็จัดสัดส่วนภายในได้ค่อนข้างดี มีการตกแต่งภายในและจัดวางผังห้องให้ดูเป็นไอเดีย ผมชอบการเปิดรับแสงจากระเบียงกระจกข้างเตียง ซึ่งทางโครงการติดตั้งเป็นกระจก Low – E ที่ช่วยลดความร้อนจากแสงแดดแต่ยังให้แสงสว่างส่องเข้ามาได้เต็มที่ ประตูกระจกบานใหญ่นี้สามารถเปิดออกไปยืนเพื่อรับลมชมวิวได้ หรือใครสายรักษ์โลกอาจจะปลูกไม้กระถางเก๋ๆ ไว้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้เราได้รู้สึกสัมผัสกับธรรมชาติตลอดเวลา
ตู้เสื้อผ้าจะติดตั้งไว้บริเวณหัวเตียง ซึ่งจะตรงกับประตูทางเข้าห้องพอดี ส่วนปลายเตียงสามารถแขวนทีวีไว้กับผนังได้ ให้เรานอนชมซีรีส์เรื่องโปรดได้จากบนเตียงกันเลยทีเดียว ส่วนหัวเตียงกรุผนังเป็นลวดลาดกราฟฟิึสีขาวดำ ทำให้ห้องดูมีมิติมากขึ้น ห้องนี้วางเตียงขนาดควีนไซส์ 5 ฟุตได้อย่างลงตัว และยังมีช่องบริเวณหัวเตียงสำหรับเป็นชั้นใส่ของหรือวางโทรศัพท์ตอนก่อนนอนได้ มาพร้อมกับไอเดียโคมไฟสายห้อยมาจากเพดานดูมินิมอลดีครับ เรียกได้ว่าตกแต่งตามสไตล์ที่ถนัดของทาง Noble เขาล่ะครับ
Master Bedroom จะอยู่ถัดจาก Living Room เข้ามา ผมชอบการตกแต่งห้องตัวอย่างของห้องนี้ครับ ดูเรียบเท่ด้วยการเลือกใช้สีดำมากรุผนัง เสริมลูกเล่นให้ห้องมีมิติมากขึ้นด้วยคิวบัว พร้อมกับเบรคอารมณ์ด้วยสีส้มเพื่อให้ห้องไม่ดูทึบจนเกินไป และปรากฎว่ามันเป็นโทนที่เข้ากันได้ดีกับสีของแสงไฟ ซึ่งได้มีการติดโคมไฟห้อยลงมาดูมินิมอลมากครับ
เตียงนอนสามารถจัดวางเตียงขนาดใหญ่ได้ และยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือไว้เดินได้รอบเลยครับ ส่วนใครอยากติดตั้งทีวี ผมแนะนำว่าให้เป็นแบบแขวนผนังจะดูโมเดิร์นกว่าทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่ได้อีกด้วย ส่วนด้านข้างฝั่งซ้ายของประตูจะเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Build – in ถัดเข้าไปด้านในเป็นห้องน้ำในตัว พร้อมกับติดตั้งอ่างล้างหน้าและสุขภัณฑ์และ Shower ของ Kohler หรือเทียบเท่า ส่วนภายในห้องน้ำมีการแยกส่วนเปียกแห้งเอาไว้ให้เรียบร้อยครับ
ด้วยความที่ Master Bedroom เป็นห้องที่ได้ความมุมตึกพอดี มีการเปิดช่องแสงบริเวณด้านข้างซึ่งมีระเบียงเป็นแนวยาวเราสามารถเปิดออกไปได้เช่นกัน ด้วยความที่เป็นกระจกบานใหญ่ทำให้แสงเข้ามาได้มาก จนแทบไม่ต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน
มาชมห้องตัวอย่างแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 35 ตร.ม. กันบ้างครับ ซึ่งผมว่าเป็นอีก Room Type ที่ออกแบบจัดวางได้อย่างลงตัวตาม Urban Lifestyle โดยเริ่มจากโถงทางเข้าที่แบ่งฟังก์ชันภายในออกเป็นมุมรับประทานอาหารและครัวที่ทางโครงการจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อยไม่ว่าจะเป็น ชุดเคาน์เตอร์ครัว อ่างล้างจาน Hob & Hood ซิงค์ ก๊อก ตู้เก็บของพร้อมเปิดช่องสำหรับจัดวางตู้เย็นขนาดใหญ่และเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถัดมาด้านซ้ายมือของประตูทางเข้าจะเป็นมุมรับประทานอาหารที่เชื่อมต่อกับชั้นวางทีวีขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้เต็มผนัง โดยเลือกวัสดุเป็นกระจกเงาสีดำ เข้ามาทำหน้าที่ช่วยให้ห้องดูกว้างขวางมากขึ้น
ผมชอบไอเดียการตกแต่งนี้เพราะดูเรียบหรูลงตัวดี มีความ Classic Timeless เพราะการเลือกใช้ตู้กระจกสีดำตัดกับชุดโซฟาสีขาวก็บอกเล่าเรื่องราวตัวตนของคนที่อยู่อาศัยภายในห้องนี้ได้เช่นกัน ที่สำคัญเสริมความรักษ์โลกด้วยไม้กระถางสีเขียวที่ปลูกประดับไว้ทั้งภายในและภายนอกห้องอีกด้วย
ในส่วนของห้องนอนก็ออกแบบผังห้องได้ค่อนข้างดีเช่นกันครับ แม้ว่าจะเป็นห้องขนาด 35 ตร.ม. แต่กลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดเลย ภายในห้องนอนแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนง่ายๆ ไล่เรียงกันไป คือมุมพักผ่อนทางด้านซ้าย จะเป็นเตียงนอนที่จัดวางได้อย่างพอดี มีพื้นที่เหลือให้เดินรอบเตียงได้สบายๆ มีโต๊ะหัวเตียงขนาดเล็กให้เราเอาไว้วางของกระจุกระจิก ติดกันเป็นส่วนของประตูกระจกใสสูงจากพื้นจรดเพดาน ที่เราสามารถเปิดออกไปเดินออกไปรับลมชมวิวที่ระเบียงได้อีกด้วย ห้องตัวอย่างดรอปฝ้าลงมาเล็กน้อยเพื่อเปิดส่วนม่านและติดตั้งไฟ LED เพิ่ม เช่นเดียวกับส่วนของหัวเตียงที่กรุกระจกเงาสีดำ ทำให้ห้องดูกว้างและโอ่โถงขึ้น มีการเจาะช่องติดตั้งไฟเป็นเส้นแนวตั้งสไตล์มินิมอล ถูกใจผมมากเลยครับ
ขณะที่ด้านขวาจะเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้าแบบ Build – in และห้องน้ำที่ติดตั้งอ่างล้างหน้าและสุขภัณฑ์แบรนด์ Kohler ภายในมีการแยกส่วนเปียกแห้งกับโซน Shower เอาไว้ให้เรียบร้อย Rain Shower และฝักบัวอาบน้ำของ Kohler เช่นกัน นับว่าเป็นผังห้องที่ลงตัวมากที่สุดโครงการนึงเลยครับ
ห้องตัวอย่างห้องอีกแบบ จะเป็น 1 ห้องนอนเช่นกันมีขนาด 26.60 ตร.ม. เป็นอีก Room Type ที่ขายดีมากของทางโครงการเนื่องจากมีขนาด Compact แต่ออกแบบผังห้องได้ลงตัวดีมากสำหรับคอนโดใจกลางเมือง
ด้านหน้าทางโครงการได้ติดตั้ง Electronic Door Lock ของ Yale หรือเทียบเท่า เมื่อเปิดประตูเข้ามาเราจะพบกับ Dining Area ที่แยกส่วนออกมาชัดเจน โดยด้านขวามือจะเป็นครัวส่วนทางซ้ายจะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 2 – 3 ที่นั่ง จากนั้นจะเป็นประตูบานเลื่อนที่กั้นกับโซนพักผ่อนเอาไว้ ซึ่งก็ทำได้เป็นสัดส่วนดี ตัดปัญหาใหญ่โดยเฉพาะเรื่องกลิ่นออกไปได้เลย
เนื่องจากโครงการนี้ ขายแบบ Fully Fitted จึงได้ออกแบบฟังก์ชันของครัวเอาไว้ให้เรียบร้อย เริ่มจากด้านหน้าประตูเว้นช่องขนาดใหญ่เอาไว้สำหรับจัดวางตู้เย็น จากนั้นจะเป็นชุด Built – in ที่มีช่องใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า ด้านบนท๊อปด้วยเคาน์เตอร์ครัว ที่มีอ่างล้างจาน Hob & Hood ซิงค์ ก๊อก มาให้ พร้อมกับตู้เก็บของเป็นลามิเนตทั้งหมด ทั้งด้านบนและด้านล่างที่ติดตั้งบานปิดแบบ แบบ Soft Close เปิดง่าย ปิดสบายไม่เปลืองแรงมาให้แล้ว เมื่อทำอาหารเสร็จสามารถหันมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ทันที
ถัดจากส่วนของ Dining Area จะเป็นโซนพักผ่อนที่กั้นด้วยประตูบานเลื่อนเรียบร้อย ด้วยความที่เป็นประตูกระจกใสจึงทำให้ห้องแม้มีขนาด Compact แต่กลับไม่รู้สึกว่าอยู่แล้วอึดอัดแต่อย่างใด อีกทั้งผนังอีกด้านเป็นประตูกระจกเต็มบานแบบ Full Height Window เป็นกระจก Low – E จึงช่วยลดความร้อนจากแสงแดดแต่ยังให้แสงสว่างส่องเข้ามาได้เต็มที่ แม้จะเป็นแดดบ่ายก็ยังรู้สึกว่าแสงมันซอฟท์มาก เหมือนกับยามเช้าตลอดเวลา ด้านนอกออกแบบให้เป็นระเบียงแนวยาวขนานกับห้องนอน จึงถือว่าเป็นห้องที่มีพื้นที่ระเบียงค่อนข้างมากครับ
ส่วนอีกด้านของเตียงนอนจะเป็นมุมแต่งตัว ซึ่งทำเอาผมเซอร์ไพรส์มากว่าห้องขนาดไม่ใหญ่แต่ปรับให้เป็น Walk-in Closet ได้พร้อมตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่เต็มผนัง ส่วนด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำครับ
ห้องนอนจัดวางเตียงควีนไซส์ได้สบาย ๆ พร้อมมีพื้นที่หัวเตียงที่เหลือเยอะมาก สามารถจัดวางชั้นวางหนังสือทรงบันไดพาดได้เลยมีระยะเพียงพอ ช่วยเพิ่มความเก๋ให้กับห้องนอน
ปลายเตียงก็มีระยะเหลือมากเช่นกัน สามารถจัดวางโซฟายาวขนาดกับเตียงพร้อมโต๊ะกลาง เอาไว้นั่งอ่านหนังสือหรือดูทีวีได้ พร้อมกับสามารถติดตั้งตู้เก็บของแขวนลอยได้ ส่วนทีวีผมว่าแขวนกับผนังเอาไว้ก็ดูโมเดิร์นดีครับ
ผมชอบฟีลลิ่งของรูปที่ถ่ายจากในห้องนอนนี้นะ ดูหม่นๆ แต่พอมีแสงส่องเข้ามาก็ละมุนอบอุ่นดีครับ เหมาะกับชีวิตคนเมืองที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในคอนโด
#โดยสรุป โครงการ Noble Around Sukhumvit 33 มีความน่าสนใจใน 3 เรื่องหลักคือ
1. โลเคชั่นที่อยู่ใจกลางสุขุมวิท ย่าน Japanese Town เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินได้หรือจะไปช้อปปิ้งที่ The Em District ก็สะดวกมาก
2. การออกแบบอาคารภายนอกที่สวยและการตกแต่งภายในที่หรูหรามีระดับ ยังคงประทับใจการเลือกใช้สีแดงอมน้ำตาลที่ดูแปลกตาแต่ว่าเก๋มาก
3. Facilities ที่จัดเต็มมาก โดยเฉพาะการสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไว้ทั่วอาคาร ทำให้เกิดมุมพักผ่อนที่กระจายกันออกไปได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ขณะที่วิวจาก Sky Pool ในช่วงเย็นคือสวยสุดๆ เห็นแสงอาทิตย์ลอดผ่านตึกต่างๆ ใจกลางกรุงเทพ ต้องบอกว่าประทับใจครับ
ช่วงเวลาน่าช้อน …
โครงการ Noble Around Sukhumvit 33 ราคาเริ่มต้น 4 ล้าน*
ลงทะเบียนวันนี้ฟรีทุกค่าใช้จ่าย
https://nobleurl.com/3b5cS2P