บน “กานต์เดินทาง” ทริปเส้นทางสายไหม มีไฮไลต์อย่างหนึ่งที่ต้อง “ไม่พลาด” คือการขี่อูฐ ย่ำไปในรอยทราย ที่ “หมิงซาซาน” (鸣沙山) ครับ
นั่งรถออกมาจากเมืองตุนหวงไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเนินทรายหรือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของจีน และไม่ไดลกันนั้นมีโอเอซิสอย่าง “ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว”
ตามตำนานในอดีตสมัยราชวงศ์ฮั่นสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า เนินซาเจี่ยว (沙角山) และ เนินทรายเทพ (神沙山) เป็นกลุ่มของเนินทรายที่มีความยาวราว 40 กิโลเมตร จากทิศตะวันตก ณ หุบเขาตั่งเหอไปจรดยังตะวันออกที่ถ้ำหินสลักม่อเกา และมีความกว้างจากทิศเหนือจรดทิศใต้ราว 20 กิโลเมตร โดยยอดที่สูงที่สุดของเนินทรายครวญแห่งนี้นั้นมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,715 เมตร
กิจกรรมของที่นี่คือการขี่อูฐขึ้นไปบนสันทราย ซึ่งเป็นการจำลองชีวิตในสมัยที่มีการค้าขายบนเส้นทางสายนี้ นั่งไปได้สัก 15 นาที เริ่มรู้สึกว่า … แดดร้อนมาก!!
นึกย้อนกลับไปสิว่า คนในสมัยก่อนเค้าจะต้องอดทน ขนาดไหน กับเปลวแดดที่แผดเผา กับระยะทางหลายร้อนหลายพันกิโล
นั่งอูฐไปด้วยความทรมาน สลับกับการถ่ายภาพผู้คนบนทะเลทราย อารมณ์ติสต์แทบแตกตามปรอท นี่ขนาดไม่ใช่หน้าร้อนนะ (ลงรถมายังหนาวๆ)
นั่งไปก็เหลือบดูนาฬิกาไป ผมใส่ CASIO G-SHOCK รุ่น MUDMASTER รุ่นนี้ดีอย่างนึงคือ มีเข็มทิศ เอาไว้ดูเส้นทางได้ (เผื่อคนขี่อูฐพาไปหลง) บอกอุณหภูมิได้ว่าตอนนี้กี่องศา อย่างที่มีหลายคนถามว่าร้อนมั้ย ดูเหมือนจะร้อน แต่จริงๆแล้วแค่ประมาณ 20 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ที่ชอบคือซีลแน่น กันจนฝุ่นไม่เข้า เหมาะกับการซื้อมาใส่ขึ้นเขาลงห้วย ขี่อูฐขี่ม้า เพราะว่า … นาฬิกาอึดกว่าเราเยอะ!!
ส่วนใครที่เอากล้องมาก็ต้องระมัดระวัง เพราะฝุ่นทรายที่นี่เม็ดเล็กมาก อาจจะปลิวเข้ากล้องแล้วทำให้เสียหายได้ … เพราะเคยมีประสบการณ์จากทะเลทรายซะฮาร่ามาแล้ว
โชคดีวันนี้ไม่ค่อยเจอลม ทำให้ทรายไม่ค่อยปลิวมาก จากที่อ่านหนังสือมาเขาบอกว่า เมื่อเราขึ้นไปอยู่ด้านบนสันทราย หรือเล่นสไลด์เดอร์ไถลตัวจากยอดเขาลงสู่เบื้องล่างแล้ว จะได้ยินเสียงประหลาดราวกับเสียงลั่นกลองของนักรบที่กำลังขบขันขณะที่เราไถลยักแย่ยักยันลงจากสันทราย
อันที่จริงน่าจะเป็นการเสียดสีและส่งเสียงของเม็ดทรายน้อยใหญ่ ณ ทะเลทรายแห่งนี้มากกว่า
ชอบวลีหนึ่งจากหนังสือที่เคยอ่าน … รู้สึกว่ามันใช่กับความเป็นไปในชีวิตกลางทะเลทราย … เขาบอกว่า
” … บางครั้งในชีวิตที่เราเลือกเดินไปตามแนวทรายเรียบ โดยหวังว่าเส้นทางนั้นจะนำไปสู่การค้นพบครั้งใหม่ของมวลมนุษย์ แต่เอาเข้าจริงแล้วเราก็มักจะย่ำอยู่บนอดีตรอยเท้าของใครสักคน เพราะรอยเท้าของผู้มาก่อนนั้นมักจะถูกสายลมและเม็ดทรายกลบฝังไปก่อนหน้าที่เราจะมาถึงแล้ว … “