Mandarin Oriental, Bangkok

#โอเรียลเต็ล ไม่ใช่โรงแรมแห่งแรกของไทย

แต่เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจมาจนถึงทุกวันนี้

_

เอาจริง ประวัติของโรงแรมโอเรียลเต็ล กรุงเทพฯ (Mandarin Oriental, Bangkok) ถือว่าหาได้น้อยมากครับ แต่จาก Bangkok Calendar ของหมอบรัดเลย์ พบว่าก่อนหน้านั้นมีการจดแจ้งโรงแรมแห่งแรกคือ Union Hotel

ในหนังสือ “The Oriental Bangkok” โดย Andreas Augustin และ Andrew Williamson ระบุไว้ว่า ซี ซาลเจ กะลาสีเรือชาวเดนมาร์ก เป็นผู้ซื้อกิจการโอเรียนเต็ลในช่วงทศวรรษ 1870 เป็นโรงแรมที่มีพัฒนาการก้าวล้ำ ทั้งการเป็นโรงแรมแห่งแรกในไทยที่มีไฟฟ้าและมีลิฟต์ใช้ มีการลงโฆษณาโรงแรมในสยาม ไดเร็คตอรี่ เป็นโรงแรมที่ริเริ่มนำน้ำแร่บรรจุขวดมาให้บริการแขก จากนั้น ได้จ้างสถาปนิกอิตาเลียนให้ออกแบบอาคารใหม่ ซึ่งก็คือ “Author’s Wing” ในปัจจุบัน จึงถือได้ว่า โอเรียนเต็ลเป็นโรงแรมหรูแห่งแรกของไทยก็ว่าได้

ก่อนจะมีการเปลี่ยนมืออย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น แมนดาริน โอเรียลเต็ล ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาได้สิบกว่าปีมานี้จากการเข้าถือหุ้นของ Mandarin Oriental Holdings B.V. มาพร้อมกับสัญลักษณ์รูปพัด เพื่อบ่งบอกความเป็น Fan ทำให้เป็นโรงแรมท่ีเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ครับ ปีนี้อายุครบ 145 ปี จะเรียกว่าเป็นตำนานเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ระดับประเทศไทยเท่านั้น แต่เคยขึ้นชั้นโรงแรมที่ดีที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน

ทริป Staycation ใกล้บ้านของกานต์ เลือกพักที่ แมนดาริน โอเรียลเต็ล แม้จะดูเป็นโรงแรมเก่าแก่ แต่ว่าเพิ่งมีการรีโนเวทใหญ่ไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 2,500 ล้านบาท ปรับปรุงอาคาร “River Wing” โดยเน้นผสานความเป็นไทยร่วมสมัยเข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ ห้องพักทุกห้องจะเห็นแม่น้ำหมด

กานต์พักห้อง State Room เป็นห้องที่ล้อมาจากการที่มีนักการเมืองจากทั่วโลกชอบมาพักที่ห้องนี้ ห้องจะเป็น Facing วิวกรอบหน้าต่างที่มองออกไปเห็นความมีชีวิตของแม่น้ำเจ้าพระยา ในมุมมองแบบพาโนรามิค ภายในห้องตกแต่งในสไตล์ไทยโมเดิร์นสวยงาม ผมชอบการตกแต่งที่ให้ฟีลลิ่งเหมือนบ้านเรือนไทย หัวเตียงตกแต่งด้วยเรือเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันกับสายน้ำ พื้นในห้องปูด้วยไม้สัก ใช้บุผนังด้วยไม้สักและผ้าไหมจิมทอมป์สัน สีตัดกันกับโซฟาที่หันหน้าชมวิวแม่น้ำ และมีระเบียงอยู่หัวมุมด้านนอกอาคาร มองเห็นทั้งสะพานตากสินและไอคอนสยาม เป็นห้องพักที่ดูดีมีสไตล์และมีเสน่ห์แบบสยามมาก ผสานเข้ากับการต้อนรับดูแลที่อบอุ่นด้วยวัฒนธรรมประเพณีแบบไทยๆ คือจุดขายสำคัญของโรงแรมแห่งนี้

ตำนานเรื่องจิตวิญญาณการให้บริการอันน่าทึ่ง เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมอยากหยิบยกมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นอัตราการให้บริการของพนักงานต่อแขกประมาณ 4 ต่อ 1 การมีบัทเลอร์ประจำชั้น ของสังเกตความเป็นไปของแขกในลักษณะอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ภายในห้องพักมีระบบ Motion Sensor Room Control และยังอาศัยการสังเกตบริบท เช่น การนำก้านไม้ขนาดเล็กกั้นประตูเอาไว้ เมื่อแขกก้าวออกจากห้องไป เป็นอันรู้กันว่า จะมีการเช็ค เก็บกวาด ทำความสะอาด จัดวางข้าวของ เตียงนอนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยทุกครั้ง และเมื่อเรากลับเข้าห้องมา ก็มักจะพบกับความประทับใจเสมอครับ

อย่างตอนที่ผมขึ้นห้องหลังทานมื้อค่ำเสร็จ ห้องนอนถูกปรับบรรยากาศให้สลัว ดูผ่อนคลายด้วยแสงเทียนและดอกไม้จัดเรียงชื่อ บนโต๊ะมีมาการองที่เพิ่มดีเทลด้วยการใส่ชื่อ KANT เข้าไป เป็นความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูมีมูลค่ามากครับ

ผมเคยอ่านบทความถึงเรื่อง การฝึกฝนความเป็นมิตรเป็นกันเองของพนักงานโรงแรมแมนดาริน โอเรียลเต็ล แล้วต้องบอกว่าทึ่งมากครับ สอนเรื่องการยิ้มให้ดูจริงใจ สอนเรื่องการแสดงสีหน้าว่าไม่ควรประจบประแจง สอนเรื่องการไหว้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม แขกแต่ละคนย่อมต้องการ treatment ที่ต่างกัน ดังนั้นพนักงานต้องหมั่นสังเกตรายละเอียด อ่านแล้วผมรู้สึกทึ่งมากครับ แม้วันที่เข้าพักอาจจะมีพนักงานหลุดๆ มาบ้าง แต่ก็อยู่ในระดับที่พอเข้าใจได้

เสียดายที่ไม่ได้ดื่มชาที่ Author Lounge เพราะวันที่ไปไม่ได้เปิดให้บริการ ส่วนห้องอาหาร Lord Jim’s ก็ถูกจองเต็มไปหมดแล้ว เลยไปทานกลางว้นที่ ห้องอาหาร The Verandah แทน ส่วนช่วงค่ำผมไม่พลาดที่จะจองโต๊ะริมน้ำที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน Ciao Terrazza ผมชอบ Taglolini Con L’astice สปาเก็ตตี้ล็อบสเตอร์ เส้นสูตรพิเศษของ Ciao ซอสรสชาติดีมากครับ

จากนั้น นั่งเรือไปทำสปาที่ The Oriental Spa อยู่ฝั่งตรงข้าม บรรยากาศดี ห้องนวด Oriental Suite สวยงามหรูหรามีอ่าง Jacuzzi ในห้อง ส่วนเทอราพิสของที่นี่ต้องยกนิ้วให้ นวดกันแบบหนักหน่วงได้ใจ ฟาดทุกกระบวนท่า สมกับที่ได้ 5 ดาวจาก Forbes Traveller เอาซะหายเมื่อยเลยครับ

ระหว่างเข้าพักผมหยิบหนังสือชื่อ “ORIGINALS” มาอ่านด้วย MO คือความออริจินัล เช่นนั้นเลยครับ ไปชมภาพ Mandarin Oriental, Bangkok Collection ที่กานต์เก็บมาฝากกันดีกว่าครับ

📸✨ติดตาม KANT ในเวอร์ชั่น IG ได้ที่ https://www.instagram.com/kantjournal

ภาพนี้ถ่ายจากกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนั่งเรือของ MO ไปทำสปาที่ฝั่งตรงข้าม โรงแรมในยามค่ำคืนสวยงามมากเลยครับ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นกันสักเท่าไรนัก

ผมหยิบหนังสือ “ORIGINALS” เพราะความเหมือนไม่เคยเปลี่ยนโลก อ่านในระหว่างที่เข้าพักพอดี๊พอดีเลยครับ ทำให้เรียนรู้คู่ของจริงไปด้วยเลยว่าตลอด 140 กว่าปีที่ผ่านของ MO ดูจะไม่ธรรมดาและเปลี่ยนโลกของวงการ Hospitality ไปโดยสิ้นเชิง

คืนนี้พักกันที่ห้อง State Room หนึ่งในห้องที่วิวสวยสุดของ MO เพราะอยู่ด้านหน้ามองเห็นมุมโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาพอดิบพอดี ได้ชั้น 7 ทำให้เป็นมุมที่สวยงามสมจริงมากครับ ภาพนี้ถ่ายผ่านกระจกภายในห้องสะท้อนไฟครับ

คบเพลิงที่ไม่เคยดับตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการมา อยู่หน้า Author’s Wing เป็นอาคารสไตล์โคโรเนียลสีขาวปนเขียวไข่กาอันเป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านหน้าประดับประดาเป็นสวนสไตล์อังกฤษ เพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ว่าเป็นโรงแรมแห่งแรกในสยามที่มีไฟฟ้าใช้และทำให้คนเดินเรือรู้ว่าโลเคชั่นตรงนี้เป็นที่ตั้งของโรงแรมโอเรียลเต็ล

ผมเริ่มพาเดินชมโรงแรมจาก Author’s Wing เลยก็แล้วกันนะครับ เข้ามาด้านในจะเป็นโถงขนาดใหญ่ตกแต่งและออกแบบในสไตล์ยุคปี 1900 ใครนึกภาพตามไม่ออก จะบอกว่าก็คือมุมของโรงแรมที่คู่บ่าวสาวนิยมมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่แหละครับ

ภายในตกแต่งอย่างเรียบหรูดูเป็นโอเรียลทัลสไตล์ เป็นอาคารไม้สีขาวประดับกรอบรูปบุคคลสำคัญแห่งประวัติศาสตร์โอเรียลเต็ลไว้เต็มห้องเลยครับ ถ้าไม่มีงานเลี้ยง เราสามารถเดินเข้ามาถ่ายรูปนั่งเล่นพักผ่อนได้ที่นี่

พอเห็นโถงกลางตรงนี้ หลายคนจะนึกออกทันที ว่าเป็น Author’s Wing ที่มีภาพคู่บ่าวสาวเดินลงมาจาก Author’s Suite ด้านบน ปกติจะทาน Afternoon Tea กันที่นี่ครับ แต่ช่วงที่เข้าพักก่อนหน้านี้ วันธรรมดาจะไม่มีให้บริการครับ สามารถเดินเข้ามาเก็บภาพได้

จากนั้น เมื่อเลี้ยวซ้ายจะตรงเข้ามาสู่ Lobby อาคาร ซึ่งเราจะขับรถมาจอดกันที่นี่เพื่อดรอปกระเป๋าลงครับ เป็นการตกแต่ง Lobby ที่เรียบหรูดูอลังการสะท้อนภาพความเป็นไทยสไตล์โมเดิร์นได้ดี

ปกติ Lobby ที่ MO จะมีแขกเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงบ่าย อาจจะต้องหาจังหวะในการถ่ายรูปกันนานหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดการไปรบกวนแขกท่านอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างให้ความสำคัญและโรงแรมก็เช่นกันครับ ดังนั้นจะมีเวลาเพียงเสี้ยวนาทีที่ Lobby จะดูโล่งๆ ผมชอบฟีลลิ่งที่ดูโปร่งสบายจากหน้าต่างกระจกบานสูงจากพื้นจรดเพดาน

มีที่นั่งด้านนอกรับลมเย็นๆ ด้วยครับ

ถัดจากที่นั่งบริเวณ Lobby จะเป็นสระว่ายน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องหาจังหวะถ่ายภาพในช่วงที่ไม่มีแขกท่านอื่นมาใช้บริการ ซึ่งโชคดีมาก ที่ได้ภาพนี้มา เพราะว่าไม่ค่อยได้เห็นสระว่ายน้ำของ MO กันเท่าไรนัก

ผมชอบมุม Cabana นี้มากกว่า เป็นสระตื้นๆ สำหรับเด็กๆ พร้อมที่นั่งสำหรับผู้ปกครอง พักผ่อนกันวันสบายๆ ผมมาเก็บตอนเช้าตรู่พอดี เลยยังไม่มีแขกมาใช้บริการ

บริเวณเคาน์เตอร์เช็คอินในตำนาน เจ้าหน้าที่สามารถทักชื่อเราได้ทันทีที่เห็นเดินมา พร้อมกับอาสาดำเนินการเรื่องเข้าพักให้ทันทีโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย และเท่าที่ผมคอยสังเกต กับแขกท่านอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน พนักงานที่นี่สามารถอนุมานในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและหามุมในการชวนสนทนาได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ทำให้เราอยากคุยด้วยได้ตลอดเวลา

พนักงานถามว่าอยากให้ขึ้นไปส่งที่ห้องไหม หรือว่าถ้ากังวลเรื่องความใกล้ชิดจะขออนุญาตส่งแค่หน้าลิฟต์ ผมเลยว่า ส่งแค่นี้ก็ได้ จะได้ไม่รบกวนจนเกินไป เพราะเมื่อกดลิฟต์มาหน้าชั้นก็จะมีบัทเลอร์ประจำรอคอยให้บริการอยู่แล้ว ผมพักที่ชั้น 7 ห้องอยู่ด้านหน้าสุดของอาคารเลยครับ

ผมพักห้อง State Room ห้องใหญ่เหมือนพักในบ้านเรือนไทย มีโถงทางเข้าประดับฝาบ้านด้วยไม้ เข้ามาด้านในเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ ปูเตียงได้เนี๊ยบไร้ที่ติ จัดวางข้าวของเป็นระเบียบเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านมาก

สัมผัสแรกคือกลิ่นหอมอ่อนๆ พนักงานต้อนรับรอให้การอธิบายการใช้งานอุปกรณ์ภายในห้อง ส่วนแอร์ ไฟทุกดวง ทีวี เปิดต้อนรับไว้อยู่แล้ว

บนโต๊ะจัดวางเวลคัมเป็นขนมและผลไม้ พร้อมการ์ดที่ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ เขียนข้อความต้อนรับด้วยลายมือ

ชอบความดีเทลในการต้อนรับ ดูขนมสิครับ ไม่กล้าทานเลย มีความคุมโทนรูปและสีจานเข้ากันได้ดีมาก

ตรงกลางห้องเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่จัดวางไว้เป็นรูปตัวแอล (L) มองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านหน้าต่างกระจกที่ยาวต่อเนื่องจนถึงอีกมุมของห้อง

ห้องน้ำดูคลาสสิคด้วยกระเบื้องดินเผาสีเขียวใบตองประดับคู่กับหินอ่อนจากอิตาลี ประดับด้วยกล้วยไม้คุมโทนสีขาวเขียว ส่วน Amenities มีกลิ่นหอมตะไคร้และสมุนไพรอ่อนๆ ละมุนยิ่งนักมาในบรรจุภัณฑ์สีเขียวนวลน่าใช้มาก

ส่วนชุดคลุมอาบน้ำเป็นผ้าไหมสีแดงเลือดนกของจิม ทอมป์สัน

ผมลองทำโทนภาพนี้ให้ดูย้อนไปยุค 70s จะได้เข้ากับการตกแต่งในห้องน้ำที่มีความวินเทจนิดๆ ดูเป็นนักธุรกิจที่ยุ่งหน่อยๆ

มุมจากเตียงนอนเพื่อให้มองเห็น Facing View แม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ จะสังเกตว่าภายในห้องจัดวางผังการใช้สอยไว้เป็นสัดส่วนดีมาก เราสามารถเปิดประตูออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงด้านนอกที่อยู่มุมห้องได้ด้วยเพื่อชมวิวแม่น้ำแบบพาโนราม่าได้สบายๆ

มองจากระเบียงห้องฝั่งขวาจะเห็นวิว Icon Siam สีทองอร่ามสวยงามมากครับ

แต่ถ้ามองจากระเบียงมาทางซ้ายจะเป็นวิวอาคารน้อยใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาต่อเนื่องไปจนถึงสะพานตากสิน ถ่ายแสงช่วงทไวไลท์มา ผมว่าเย็นนี้กรุงเทพเราก็สวยดี

State Room เป็นห้องที่วิวสวยมากจริงๆ และมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาในมุมมองที่กว้างกว่า ผมว่าเหมาะกับวันพักผ่อนสบายๆ

มองลงไปจะเห็นห้องอาหาร The Verandah ครับ แขกส่วนใหญ่เลือกมานั่งในบรรยากาศ Outdoor รับลมเย็นๆ ชมวิวพระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำครับ

ค่ำนี้ผมเลือกทานที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน Ciao Terrazza อยู่ริมน้ำเช่นกันฝั่ง Author’s Wing

มีหลายจานที่น่าสนใจผมชอบโดยจะเป็นอาหารอิตาเลี่ยนสุดคลาสสิกที่ปรุงโดยใช้วัตถุดิบนำเข้าคุณภาพทั้งจากอิตาลี ยุโรป และมีจากในไทยด้วยเพื่อให้ได้ความสดใหม่ ผมชอบ POLPO เป็นจานปลาหมึกยักษ์มากที่สุด

Ciao Terrazza เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนในเมืองไทยที่ผมชอบร้านนึงเลยครับ ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะชอบรสมือของเชฟ Norbert Kostner ที่ดูแลร้านอาหารให้กับ MO มานานหลายสิบปี เป็นชาวอิตาลีที่ทำอาหารได้รสชาติสากลดีมากครับ

Taglolini Con L’astice สปาเก็ตตี้ล็อบสเตอร์ เส้นสูตรพิเศษของ Ciao ซอสล็อปสเตอร์รสชาติดีมากครับ

ของหวานมีให้เลือกหลากหลาย แนะนำว่าลองสั่งไอศครีมโฮมเมดมาทานด้วยนะครับพลาดไม่ได้เลย

หลังดินเนอร์ ผมกลับเข้าห้องมาพร้อมกับบรรยากาศที่เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์มาก ลงทุนจัดห้องหับใหม่ให้ดูสลัวด้วยแสงเทียนพร้อมดอกไม้สดจัดเรียงเป็นชื่อบนเตียงเกร๋ๆ

ส่วนบนโต๊ะจะมีมาการองวางไว้ ผมชอบตรงที่แต่งหน้าเลียนแบบลายเซ็นต์ของผมได้ดีงามมาก รักในความดีเทลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

Good Morning จาก State Room ครับ มองเห็นสถานฑูตฝรั่งเศสในซอยเจริญกรุง 36 สวยงามแปลกตาดีครับ

เตียงนอนดูดวิญญาณของจริง แทบไม่อยากตื่นเลยครับ

มื้อเช้าไปทานกันที่ห้องอาหาร The Verandah ครับ อากาศเย็นสบายในตอนเช้าเราจึงอยากในนั่งบรรยากาศ Outdoor ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยากันไป

จิบน้ำส้มคั้นสดเพิ่มความสดชื่นกันหน่อย ผมคนเดียวจัดไป 4 แก้ว ชอบมาก

อาหารมีให้เลือกสั่งแบบจานต่อจาน ผมชอบความแกะสลักผลไม้พร้อมทำป้ายชื่อมาให้น่ารักมาก

มื้อกลางวันก็ฝากท้องไว้ที่ The Verandah เช่นกัน แต่เปลี่ยนมานั่งด้านในห้องแอร์บ้าง สั่งข้าวซอยไก่มาทาน ส่วนตัวว่ารสชาติยังไม่จัดจ้านนัก

ตอนค่ำมีนัดทำสปา ที่ The Oriental Spa อยู่ฝั่งตรงข้ามต้องนั่งเรือของโรงแรมข้ามไป

The Oriental Spa เป็นสปาแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับรางวัล 5 ดาวจาก Forbes ปีล่าสุดและยังเคยได้รับรางวัล 1 ในสปาที่ดีที่สุดในโลกจากนิตยสาร Travel + Leisure อีกด้วยครับ มาตอนค่ำก็สวยไปอีกแบบ

มีความเป็นเรือนไทย ทราบว่าเป็นเรือนของพระยามไหสวรรย์ (กอ สมบัติศิริ) อยู่ฝั่งถนนเจริญกรุงนะครับ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่คนฝั่งธนแบบผมรู้จักคุ้นเคยนามของท่านดี

ผมนวดที่ห้องOriental Suite สวยงามหรูหรามีอ่าง Jacuzzi ในห้อง ตีฟองนมนุ่มๆ เอาไว้ให้แล้วด้วยครับ

ผมเลือกเป็นนวดไทย อยากจะมาประลองกระบวนท่ากับเทอราพิสที่ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในประเทศไทยดูสักตั้ง ปรากฎว่าคุณเธอจัดหนักมาก หายเมื่อยดีเลยครับ แก้ได้ทุกจุด

ผมชอบบรรยากาศของการนวดที่มีความเป็นไทยที่แท้ทรู ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมต่างชาติที่ชอบนวดและทำสปาที่ The Oriental Spa จังหวะจะโคนในการให้บริการคือดีมาก

ก่อนจะเช็คเอ้าท์ในช่วงค่ำ แวะซื้อขนมที่ The Mandarin Oriental Shop กันสักหน่อย มาการองสัก 3 กล่องต้องไม่ควรพลาด

ผมยกให้ MO เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ประทับใจครับ อยากจะไปพักห้องสวีทอื่นๆ ดูบ้าง

สอบถามรายละเอียดและจองห้องพัก https://www.mandarinoriental.com/…/chao…/luxury-hotel

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน