LUXURY TRAT
ช่วงนี้โดนปล่อยเกาะ
_______________________
กานต์มาอยู่เกาะกูด ที่ตราดหลายวันแล้วครับ
นั่งคุยกับทะเล นอนฟังเสียงคลื่น เดินเล่นบนชายหาดท๊างงงวัน
ฤดูนี้เป็น Green Season ที่พักราคาดีงาม
เหมาะแก่การใช้ชีวิตสไตล์ Leisure Travel
ท่องเที่ยวพักผ่อนมากๆ
.
Wherever you go, bring your own sunshine.
ผมว่าเป็นอะไรที่ลงตัวมาก หากเราสามารถจัดสมดุล ให้ลงตัว
ระหว่างชีวิตประจำวันกับการกลับคืนสู่ธรรมชาติของการใช้ชีวิตที่แท้จริง
.
เกาะกูด = Good เกาะ
เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมหลากหลาย
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ทริปนี้กานต์พักที่ High Season Pool Villa & Spa
แนะนำให้ซื้อเป็นแพคเกจมาก็คุ้มค่า คุ้มราคามากๆ ครับ
.
ไม่เพียงแค่ใช้ชีวิตบนเกาะกูดเท่านั้น
บางวันผมนั่งเรือออกไปราวชั่วโมงนิดๆ ที่เกาะรัง เกาะยักเล็ก
ไปดำน้ำ ดูปะการัง ไปนั่งคุยปลาสวยงาม
แล้วแอบไปนอนกลางวันเล่นๆ บนหาดศาลเจ้า
ลมพัดเย็นๆ เบาๆ ทำเอาหลับเพลินเลยครับ
…หรือเมาเรือก็ไม่รู้ 555
.
ว่างๆ ก็ไปนั่งคุยกับชาวบ้านเรื่องการทำธนาคารปู
นั่งเรือออกไปดูว่าการอนุบาลปูไข่ทำอย่างไร
สัมผัสได้เลยครับว่าชาวเกาะกูด รักบ้านเกิดของเขามากขนาดไหน
และมีหลักในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติที่น่าสนใจ
.
จากนั้นก็ย้ายไปนอนที่เกาะหมากซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
เกาะหมากก็เป็นอีกสไตล์เน้นการใช้พืชผักธรรมชาติ
ปลูกข้าว ทำการเกษตรกันริมทะเล
เก๋ไหมล่ะ
.
ที่เกาะกูด เกาะหมากต่างชาติเยอะดีครับ
แต่เท่าที่ดูก็น่าคนละแบบกับเกาะช้าง
ฝรั่งที่นี่จะเป็นสไตล์ Leisure
คือพักผ่อนยาวๆ เช่ามอเตอร์ไซค์ขับ
จับหนังสือมาอ่าน นั่งๆ นอนๆ ริมทะเลวนไป
สไตล์เดียวกันกับผมเลย
.
อยากชวนใครที่ชอบท่องเที่ยวสไตล์พักผ่อน
ชอบนอนโรงแรมสวยๆ ริมชายทะเล ใช้ชีวิตเก๋ๆ
น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้
.
ลองหยิบหนังสือติดมือมาสักเล่ม
แล้วมา “ติดเกาะ” ด้วยกันสิครับ
/ the journalist / LEISURE TRAVEL x HOTEL LIFESTYLE
#KANT#KΔNT#leisuretravel#hotellifestyle
#luxurytravel#journalisttravel#hotelsblogger
—
“ตราด” จังหวัดสุดท้ายของไทยในฝั่งตะวันออก
มีความเก๋ตรงที่เป็นภูเขาลาดลงสู่ชายฝั่งทะเล
มีความกู๊ดตรงที่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่ราว 60 เกาะ
เป็นจังหวัดที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ล้ำค่า
เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยเฉพาะเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนนี้ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
เมื่อสงครามสงบ แต่ผู้คนที่นี่กลับนิ่งยิ่งกว่า
คนตราดใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย รักในธรรมชาติและรักในบ้านเกิด
ทริปนี้อยากชวนไปติดเกาะ ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านต่างๆ
เราไปนั่งๆ นอนๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติของหมู่เกาะจังหวัดตราดกันครับ
ถ้ามาเที่ยวตราด ไม่ว่าจะพักที่เกาะช้าง เกาะหมาก เกาะกูด นักท่องเที่ยวก็มักจะนิยมมาล่องเรือเพื่อดำน้ำตื้นสนอร์เกิล เพื่อชมโลกทะเลสีครามที่หมู่เกาะรังกันครับ ประกอบด้วย 12 เกาะ อาทิ เกาะรัง เกาะยักษ์เล็ก เกาะยักษ์ใหญ่ เกาะมะปลิง และเกาะหวาย
เป็นโลกใต้ทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เต็มไปด้วยปลาหลากหลายสายพันธุ์ มีหาดทรายที่ขาวนวลตา น่ามานอนกลางวันเล่นๆ ที่นี่ พักเหนื่อยจากการดำน้ำครับ
รูปนี้กานต์ถ่ายที่รีสอร์ท High Season Pool Villa & Spa บนเกาะกูดครับ ซึ่งมี Signature Shot คือต้นมะพร้าวคู่และชิงช้าที่หันหน้าสู่ทะเลครับ
ตอนที่นั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอยู่บนชิงช้านั้น
ทำให้ผมคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง
ชิงช้า – ชีวิต
_________________
ใช้ชีวิตก็เหมือนนั่งชิงช้า
มีไกวไปข้างหน้า มีถอยกลับมาด้านหลัง
ในบางเวลาที่ไม่มีคนไกวให้
เราต้องรู้จักที่จะไกวมันด้วยตัวเอง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า
คือการจดจำ “โมเมนต์”
ระหว่างที่นั่งอยู่บนชิงช้านั้น
เรามีความสุข – สนุกกับมันอย่างไร
ทริปนี้เดินทางโดยสายการบิน Bangkok Airways บินตรงไปลงตราดวันละ 2 ไฟล์ท หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าตราดนั่งเครื่องมาลงได้ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็ถึงครับ
เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกสบาย นอกเหนือไปจากการขับรถจากกรุงเทพฯ มา ซึ่งใช้เวลาราวๆ 5 ชั่วโมง
Bangkok Airways เอาเครื่องใบพัด ATR 72-600. ตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาบินลงตราดครับ เครื่องใหม่เอี่ยมเลย
มองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนที่เครื่องกำลังจะแลนด์ วันนี้มีเมฆมากเล็กน้อย แต่พอมองลอดปุยเมฆไป เห็นผืนดิน ผืนน้ำของทะเลตราด ปะทะสายตามา
งดงามราวกับว่าอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย
ตราดเป็น เมืองในฝัน สวรรค์บนดินของนักท่องเที่ยวที่แท้ทรูครับ
สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวตราดเพิ่มเติมได้ที่ >> @การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตราด
ไฟล์ทเราติดเที่ยง แต่บนเครื่องไม่เสิร์ฟอาหารร้อน เสิร์ฟขนมปังมาหนึ่งชิ้น เราจึงต้องตรงดิ่งมาหาข้าวกินก่อนเลย แนะนำร้าน ทิวธารา ตราด
พูดได้คำเดียวว่า ดั้นด้นไปทานซีฟู๊ดมาทั่วประเทศ ยังไม่เจอร้านไหนทำอาหารทะเลได้จัดจ้านถึงเครื่อง และของทะเลสดจริงอะไรจริง เมนูขึ้นชื่อคือ ปู และปูนิ่ม เพราะมีฟาร์มปูนิ่มเป็นของตัวเอง การันตีความนิ่ม หนึบ
อดีตเจ๊เภา เจ้าของร้าน เคยทำอาชีพค้าปูมาก่อน ซึ่งแน่นอนเรื่องปูต้องยกให้ร้านนี้ มีหลายแบบให้เลือก ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นร้านอาหารริมคลองน้ำเชี่ยว ด้วยทำเลก็ดี รสชาติก็ยอดเยี่ยม แม้จะอยู่ลึกมาก แต่ก็มีลูกค้าตามมาทานจากทั่วประเทศ
ถึงขั้นมีลูกค้านั่งเครื่องบิน บินมากินกลางวันที่ร้านนี้แล้วบินกลับ …. ก็มีมาแล้ว
ช่วงบ่ายเราลงสปีดโบ๊ทส่วนตัวไปยังเกาะกูดครับ ใช้เหมาลำของเกาะกูดชลธี สปีดโบ๊ท
ถ้ากรีนซีซั่นแบบนี้ เรือจะมีรอบน้อย และเป็นเรือใหญ่ ต้องเช็ครอบให้ดีนะครับ ถ้าตกเรือล่ะ เรื่องใหญ่เลย สำหรับเกาะกูด
ระยะทางจากฝั่งมายังเกาะกูด ใช้เวลาราว 60 นาที วันนี้อากาศดี ฟ้าสวย คลื่นลมสงบครับ เป็นการเริ่มต้นชีวิตบนเกาะได้ดีเยี่ยม
มีพระอาทิตย์ทอสีเหลืองทองอ่อนๆ เป็นการต้อนรับ เราลงเรือกันที่ท่าเรือบ้านอ่าวสลัดครับ
นั่งรถของทางรีสอร์ตที่มารอรับ ต่อมาอีกสักพัก ก็ถึงที่ High Season Pool Villa & Spa บรรยากาศก็แบบที่เห็นในรูปครับ
“ทุกหลังคือพูลวิลล่า” เป็นคือจุดขายที่โดดเด่นมากของที่นี่ ดีไซน์ของวิลล่าที่หรูหราแต่ละหลัง ท่ามกลางทำเลติดชายหาดกว้าง ของหาดคลองเจ้า ลงเล่นน้ำได้สบายๆ มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะกูด และความสดชื่นของทิวพร้าวและพรรณไม้สีเขียวที่ปลูกไว้ทั่วทั้งรีสอร์ต
นี่ยังไม่นับว่า มาตรฐานการให้บริการของที่นี่ คือระดับ luxury เท่านั้น จึงรับประกันได้ว่า ตลอดเวลาที่เข้าพัก เราจะเจอกับการให้บริการในทุกระดับที่ประทับใจแน่นอน
ผมนำสองรูปนี้มาเชื่อมต่อกัน ด้วยความรู้สึกคู่ขนานกันไป ของสายน้ำ ที่พริ้วไหว และแสงสีทองที่ส่องอำไพ เข้ามารอต้อนรับ แขกพิเศษของทางรีสอร์ตทุกคนที่มาเข้าพัก
เดินทางมาเหนื่อยๆ เช็คอินเสร็จปั๊บ เจอสายน้ำเย็นๆ แค่เห็นก็ชื่นใจ
ผมพักวิลล่าห้อง 302 ครับ
การออกแบบและตกแต่งทั้งภายในและภายนอก จะเน้นตามคอนเซปต์ Green, Health and Culture เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์
welcome drinks ของที่นี่จะเป็นมะพร้าวจากสวนในรีสอร์ทที่ปลูกเอง
ผมชอบมานั่งมุมหน้าห้องตรงนี้บ่อยๆ เพราะเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุด มองเห็นทะเลลิบๆ และมีสระว่ายน้ำส่วนตัวอยู่หน้าวิลล่า
เบื่อๆ ก็กระโดดลงเล่นน้ำได้ สบายๆ และมีความเป็นส่วนตัว สามารถแช่น้ำแล้วเทควิวทะเลได้เต็มตา
ผมว่าห้องนี้โอเคเลยครับ
ห้องกว้างมากกกกก ขนาดห้อง 95 ตรม. พร้อม Facilitie ครบครัน นี่เป็น type เริ่มต้นนะ คือ Deluxe Pool Villa แถมยังแบ่งสัดส่วนเรียบร้อย ทั้ง living, mini bar และ bed จัดผังห้องได้ลงตัว ดีไซน์ก็เก๋ครับ มีความเป็น tropical สูง ทั้งหลังคาที่เสริมหญ้าคาลงไป คานและเฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่และผ้าฝ้าย ให้สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติ ที่แท้ทรู
อีกอย่างที่เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” คือ “ยุงเยอะ” ครับ ที่วิลล่าจะเผลอเปิดประตูไว้ไม่ได้นะ ต้องเปิดแล้วปิดประตูทันทีครับ มิเช่นนั้น มียุงเป็นเพื่อนแน่นอน
แต่อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติตามสไตล์จังเกิ้ลรีสอร์ตทั่วไป
Signature Shot คือมุมนี้
ถ่ายยังไงก็สวย ด้วยชิงช้าต้นมะพร้าวคู่
ไฮไลท์อีกอย่างของ High Season Pool Villa & Spa คือ Dining at Bird’s Nest สามารถดื่มด่ำกับเครื่องดื่ม วิวพระอาทิตย์ตกได้อย่างโรแมนติก เป็น Gastronomy Experience ที่น่าสนใจ
Dining at Bird’s Nest, the romance moment
สระว่ายน้ำที่นี่เป็นสระเกลือ ยาวประมาณ 30 เมตร น่าจะใหญ่ที่สุดในเกาะกูดละ ตกแต่งด้วยพื้นไม้ พร้อมร่มสีดำ แซมด้วยต้นมะพร้าว ที่มีลูกดก จนบางทีก็แอบเสียวๆ ว่าจะร่วงลงมาใส่หัวรึเปล่า
แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพราะถ้ามะพร้าวลูกไหน ได้เวลาที่เหมาะสม รับรองพี่ๆ ทีมงานเค้าจะสอยลงมารับแขกอย่างแน่นอนครับ
วิวจากสระน้ำ ถ้ามองออกไปจะเห็นทะเลแบบพาโนราม่า มีสีเขียวของต้นไม้ สีเทอควอยซ์ของสระว่ายน้ำ สีน้ำตาลอ่อนของชายหาด และสีฟ้าของน้ำทะเล
เป็นการผสมผสานสีสันของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างงดงาม
ทะเลบางครั้งก็มีคลื่น
บางคราวก็ดูสงบนิ่ง จริงจัง
เปรียบดั่งจิตใจของคนเรา
มีทั้งเต้นระรัว ร้อนแรง
และบางครั้งใจกลับเยือกเย็น ไม่พริ้วไหว
อาหารเช้า ในช่วงกรีนซีซั่นที่ไป จะเป็นสไตล์ a la cart ครับ คือจะมีเมนูให้สั่ง ไม่ว่าจะเป็น ไข่คน แฮม ไส้กรอก ไข่กะทะ ข้าวต้มเครื่อง ข้าวต้มขาว ฯลฯ สั่งได้หลากหลาย
และมีจะไลน์บุฟเฟ่ต์เล็กๆ ให้ตักเองจำพวกขนมปัง น้ำผลไม้ ทำกันแค่พอทาน ทานกันแค่พอดี จะได้ไม่มีเหลือทิ้งครับ
สายๆ นัดสปีดโบ๊ทไว้ จะไปดำน้ำครับ โชคดีวันนี้ฟ้าเปิด
ต้องดำลงไปลึกเท่าไร
จึงจะถึงก้นบึ้งของหัวใจเธอ
ฮิ้ววววววว
น้องไอซ์ เด็กเรือ พาผมมาถึงหมู่เกาะรังแล้วครับ
เกาะรังเป็นกลุ่มเกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะหมาก มีเกาะบริวารทั้งสิ้น 12 เกาะ ได้แก่ เกาะรังใหญ่ เกาะรังเล็ก เกาะโล้น เกาะกลาง เกาะกระ เกาะมะปริง เกาะทองหลาง เกาะตุ้น เกาะเทียน เกาะกำปั่น เกาะยักษ์เล็ก และเกาะยักษ์ใหญ่
ทริปนี้เราไปกันอยู่ 2-3 จุดครับ ไม่อยากรีบมาก และต้องการความสงบ หลีกหนีจากจุดที่กรุ๊ปทัวร์ใหญ่ๆ ลง เพราะเราอยากดื่มด่ำกับธรรมชาติด้วยความสงบภายนอก แต่ภายในใจ ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่า เพราะจะว่าไปทุกเกาะของท้องทะเลตราด ล้วนแล้วแต่คงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยดงปะการัง และสัตว์น้ำหลากหลายชนิด
น้ำใสชนิดที่ว่า อยู่บนเรือก็เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยครับ
เรือพามาจอดแถวๆ หาดศาลเจ้าครับ เป็นชายหาดที่มีความสวยงามบริสุทธิ์ ผืนทรายมีลักษณะสีขาวเนียนนุ่ม เหมือนพรมจากธรรมชาติ
นุ่มชนิดที่ว่า ผมนอนหลับไปอย่างสบายใจไม่รู้ตัวเลยครับ
นอนมองฟ้านั่งดูผืนทะเล ที่แต่งแต้มด้วยเรือนักท่องเที่ยวลำน้อยใหญ่ จอดเรียงราย แต่ไม่นานพวกเขาเหล่านั้นก็ไป เหลือไว้แต่เรากับทราย กลายเป็นจังหวะชีวิตที่ลงตัวและงดงามมากครับ
ขอโพสต์กับเรือบ้างเป็นที่ระลึก
สาเหตุที่ผมชื่นชอบการเที่ยวพักผ่อนแบบนี้ ก็ดูสิครับ เราไม่ต้องเร่งทำเวลา ไม่ต้องรีบมารีบไป เราอยู่ทอดอารมณ์ได้อย่างสบายใจ อยากกลับเมื่อไรก็แค่บอกน้องไอซ์ให้พากลับ
เป็นการเที่ยวแบบไม่ต้องแข่งขันกับใคร เอาแค่ว่าตัวเรารู้สึกอิ่มใจในแต่ละชั่วขณะ ก็เพียงพอแล้ว
กลับเข้าฝั่งได้!!
รีบเข้าฝั่งก่อนให้ถึงแสงเย็นในแต่ละวัน
เป็น golden time ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ กับการชมพระอาทิตย์ทอแสงสีทองกระทบกับผืนน้ำ
ว่าแล้วก็สั่งเครื่องดื่มจาก season bar มาจิบเบาๆ สักแก้วสองแก้ว
จากนั้น ก็ไปอาบน้ำอาบท่า มาทาน Dinner ที่ห้องอาหารของ High Season Pool Villa & Spa ที่นี่จะเน้นอาหารฟิวชั่นแบบ east meet west ผสมผสานกันอย่างลงตัว ไ่ว่าจะเป็น
ทูน่าแรร์ กริลล์แต่พอสะดุ้งบริเวณผิวด้านนอก ข้างในนิ่มๆ เพื่อคงความสดของวัตถุดิบ ทานคู่กับซอสวาซาบิ
ต่อมาเป็นซุปใสใส่หัวหอม ทานคู่กับขนมปังชีส ถ้าเป็นสไตล์ฝรั่งเศสคือนำขนมปังไปจิ้มแล้วทานเลยจะได้รสชาติที่ดีมากครับ หวานละมุน หอมชีสต์
ส่วนจานหลักผมเลือก พอร์คชอป เปเปอร์คอร์นซอส เนื้อนุ่มสุกกำลังดีครับ แต่ที่ชอบมากคือบัวลอยห้าสีมะพร้าวอ่อน สูตรของทางร้าน หวานหอมมันนุ่มกำลังดี
อร่อยจนอยากจะขอเบิ้ล
“An early-morning work out is a blessing for the whole day.”
สายๆ มาให้เวลากับ High Spa กันครับ คอนเซปต์ของที่นี่คือสวรรค์กลางน้ำ เพราะทุกอาคารของสปา จะถูกโอบล้อมด้วยน้ำทั้งหมด
ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็จะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอม จากธรรมชาติที่ทางโรงแรมได้นำมา เป็นน้ำมันหอมระเหย Signature คือกลิ่นตะไคร้หอม แต่ที่ผมชอบคือ ราตรี ครับ
ที่นี่จะมีการนวดหลายรูปแบบ มีห้องสตรีม ซาวน่า มีนวดด้วยน้ำ ก็น่าสนใจ สอบถามจากเทอราพีส ได้เลยครับ
กำลังคิดว่า ถ้ามาครั้งหน้าจะลองไปนวดริมทะเลดูบ้าง บรรยากาศดีๆ จะช่วยให้รีชาร์จได้เร็วขึ้น
ชิงช้า – ชีวิต
_________________
ใช้ชีวิตก็เหมือนนั่งชิงช้า
มีไกวไปข้างหน้า
มีถอยกลับมาด้านหลัง
ในบางเวลาที่ไม่มีคนไกวให้
เราต้องรู้จักที่จะไกวมันด้วยตัวเอง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่า
คือการจดจำ “โมเมนต์” ระหว่างที่นั่งอยู่บนชิงช้านั้น
เรามีความสุข – สนุกกับมันอย่างไร
เกาะกูด เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด อันดับ 4 ของไทย ถือเป็นเกาะใหญ่แต่ยังมีสภาพของธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีภูเขาและที่ราบสันเขาเป็นต้นน้ำ มีน้ำตกคลองเจ้า เป็นพระเอกของย่านนี้
คลองเจ้านอกจากจะมีผืนทรายที่ละเอียด ขาวนวล เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่งของเกาะกูดแล้ว ก็ยังเป็นจุดไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพายเรือคายัคเล่นกันยามเย็นครับ
ผมมาเดินเล่นถ่ายรูปพอดี เลยหยิบกล้องสแนปภาพน้องๆ มาฝากกัน
ชื่อของอ่าวคลองเจ้ามาจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 เกี่ยวกับองเชียงสือที่หนีกบฏม
าจากเวียดนาม และเกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน และมีการรวมไพร่พลกันที่คลองเจ้าแห่งนี้
Dale Carnegie เคยพูดว่า จงโค้งทักทายมิตรสหายของเราด้วยรอยยิ้ม
มาเกาะกูดคราวนี้ ผมเดินยิ้มทั้งวัน .. ไม่ได้บ้านะครับ แค่คนมีความสุข
ได้อยู่กับธรรมชาติ นั่งคุยกับชาวบ้าน ผ่านวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน อย่างที่ “อ่าวสลัด” อดีตหมู่บ้านที่เล่าลือกันว่าเคยมีโจรสลัดหลบหนีเข้ามาอาศัยอยู่ในย่านนี้ ภายหลังการปราบปรามจึงตั้งชื่อใหม่ว่า “หมู่บ้านอ่าวสลัด”
พร้อมกับคอนเซปต์ใหม่ คือสลัดทิ้งความทุกข์ เดินหน้าสร้างความสุข และคืนสมดุลให้ธรรมชาติ ด้วยการจัดตั้ง “ธนาคารปู”
และด้วยรอยยิ้มของเรานี่เอง ทำให้ได้มีโอกาสติดเรือไปปล่อยปูทีธนาคารกลางทะเลกับเค้าด้วย
ผู้ใหญ่บ้านอ่าวสลัดเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเวลาชาวบ้านจับปูได้ แม้เป็นปูไข่นอกกระดองก็จะเอาไปทำอาหารเลย ส่งผลให้ประชากรปูในทะเลลดจำนวนลง ชาวประมงหาปูได้ยากขึ้น จึงต้องมีการเปลี่ยนความคิดใหม่ หากเป็นปูไข่ ห้ามเอาไปทำอาหารเด็ดขาด จะต้องเอามาฝากในกระชังธนาคารปู เพื่อให้ปูสลัดไข่ก่อน เมื่อปูโตเต็มวัยแล้วค่อยเอาไปทำอาหาร
ชาวบ้านที่นี่จริงจังมาก ถึงขั้นทำเป็นข้อตกลงของทุกหมู่บ้านบนอำเภอเกาะกูด กันเลยทีเดียว
ผลดีก็คือทำให้จำนวนปูกลับคืนสู่ธรรมชาติได้มากขึ้น เพราะปูหนึ่งตัวมีไข่อยู่ราว 2 แสนใบ รอดมาได้แค่ 10% ก็ทำให้มีปูเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ตัวแล้ว
ถือโอกาสนี้ ตั้งปฎิญาณเลยว่า จะไม่กินปูไข่เด็ดขาด (แต่ปกติก็ไม่กินอยู่แล้วนะ) เราในฐานะผู้บริโภคเอง ก็ต้องช่วยกันไม่บริโภคปูไข่ เน้นทานเนื้อปู ก้ามปูอันใหญ่ๆ กินง่ายๆ กันดีกว่า
ใช้เวลาอยู่ที่อ่าวสลัดราวๆ ครึ่งวัน มีความสุขกันมากครับ ได้คุยกับผู้ใหญ่บ้าน มีเรื่องราวให้ฟังมากมาย โดยเฉพาะไฮไลท์ของชุมชน คือเทศกาล “กินปู ดูปลาดาว สาวปลาหมึก” จะจัดขึ้นหลังหน้ามรสุม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีประสบการณ์และทำกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้นบนเกาะกูด
รักษ์ธรรมชาติแล้วยังส่งเสริมการท่องเที่ยวไปอี๊กกกกก
“เพชร” กำลัง อธิษฐาน เกิดมาชาติหน้า ขอให้มีก้ามปู 555
อำลาเกาะกูด ไปนอนเล่นที่เกาะหมาก กันบ้างดีกว่า นั่งเรือจากเกาะกูดไปราวๆ 45 นาที ก็ถึงที่เกาะหมาก
เกาะหมากเป็นเกาะสงบเล็กๆ เหมาะแก่การพักผ่อน เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เป็นเกาะที่อากาศดี สามารถทำกิจกรรม ขี่จักรยาน พายเรือ เล่นน้ำทะเลได้อย่างสบายใจ
ความน่ารักของเกาะหมากก็คือ เราสามารถเดินเล่นได้ทุกชายหาด ไม่ว่าจะผ่านหน้ารีสอร์ตใดก็ตาม อ่าวใดก็ตาม ทุกสถานที่เปิดต้อนรับด้วยความยินดีให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแขกของโรงแรมเท่านั้น
จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน และพัฒนามาเป็นน้ำใจร่วมกันในที่สุด
การเลือกที่พักก็ยังเน้นคอนเซปต์เดิม คือ ท่องเที่ยวพักผ่อน แนะนำว่าที่ Mira Montra, The Beachfront Resort Koh Mak ก็ถือว่าดีย์เลย ที่พักติดหน้าหาดทุกหลัง
ที่สำคัญ Mira Montra, The Beachfront Resort Koh Mak อาหารอร่อยมาก
บรรยากาศก็อย่างที่เห็น นั่งเล่น นอนเล่นใต้ต้นไม้ ริมชายทะเลทั้งวัน
ที่นี่จะมีลักษณะเป็นบ้านเป็นหลัง ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เพื่อความเป็นส่วนตัวครับ แขกส่วนใหญ่ที่เห็นคือ “ต่างชาติ” แทบไม่เจอคนไทยเลย
ส่วนตัวชอบบ้านพักหลังนี้ มีระเบียงนอนดูดาวด้านบน คงโรแมนติกน่าดู
ในอดีตที่เกาะนี้มีต้นหมากลิงจำนวนมาก เป็นพืชเศรษฐกิจ ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว กลายเป็นที่มาของชื่อเกาะหมาก แต่บ้างก็ว่า มีจุดเริ่มต้นจากการที่มีต้น “มะพร้าว” หรือ “หมากพร้าว” เยอะ จึงเรียกว่าเกาะหมาก
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือการทำนาริมทะเล โดยมี “พี่โอ๋” เป็นผู้ริเริ่มครับ
เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่เกาะหมาก ชูจุดเด่นเรื่อง Low Carbon Destination เพราะก่อนหน้านั้น คนบนเกาะเห็นว่า การท่องเที่ยวเป็นตัวแปรหลักในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก่อให้เกิดมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นเรือรับส่งนักท่องเที่ยว โรงแรมที่ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ประเภทใช้แล้วทิ้งนี่แหละตัวดี ต้องซักบ่อย ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรละ รวมถึงการนำขยะมาใช้แล้วทิ้งในเกาะ ก็นำไปสู่ภาวะโลกร้อนในที่สุด
จึงต้องมี “ธรรมนูญเกาะหมาก” ขึ้นมา เพื่อเป็นข้อตกลงทั้งกับในชุมชนด้วยกันเอง และนักท่องเที่ยวด้วย
อีกเรื่องที่ชอบคือกฎ 80:20 คือการแบ่งพื้นที่ 80% ของเกาะเป็นพื้นที่การเกษตร ส่วนอีก 20% ที่เหลือคือการท่องเที่ยว
เราจึงได้เห็นสวนเกษตรมากมายกระจายกันไปทั่วเกาะหมาก
มาเดินเล่น คุยกับพี่โอ๋ ผดุงศักดิ์ ผู้ดูแลสวน เน้นการพึ่งพาตนเองและทำการเกษตรอินทรีย์ ที่ทำให้เราทึ่งได้ว่า บนเกาะแห่งนี้ปลูกพืชผักได้เกือบทุกชนิด โดยไม่ต้องอาศัยเคมีด้วย
“ตอนนี้กำลังเริ่มทำนา” พี่โอ๋บอก
วัตถุดิบทางการเกษตรที่ได้ ก็จัดส่งให้กินกันในรีสอร์ตต่างๆ ของเกาะหมากแห่งนี้
ผลลัพท์ที่ได้ก็คือ นอกจากแขกผู้เข้าพักจะได้ทานอาหารปลอดสารพิษแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับชาวบ้นในชุมชนอีกทาง นอกเหนือไปจากเรื่องของการทำประมงด้วย
เกาะหมากน่าจะเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเศรษฐกิจ ชุมชน และธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว
ส่วนสำคัญคือความสามัคคีกันเหมือนคนในครอบครัวของชาวบ้านเกาะหมาก ต่างคนต่างคิดถึงส่วนรวมก่อนส่วนตัว จึงทำให้เป็นดินแดนในฝันของผมและอีกหลายคน ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวดีๆ เหล่านี้
คิดดูสิ ขนาดวันกลับจากเกาะหมาก พี่โอ๋ยังอาสาขับรถมาส่งถึงท่าเรือและยืนโบกมือบ๊าย บาย จนลับสายตา
น้ำใจเป็นสิ่งล้ำค่า และไม่ต้องรอให้สร้างปฎิญา ก็สามารถมอบให้กันได้ทันที