#ชีวิตคนเราก็เหมือนกับลอนดอนอาย
เมื่อขึ้นสูงพอเราก็สามารถสัมผัสกับดวงอาทิตย์ได้!!
เมื่อตกต่ำก็แค่รอโอกาสขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
.
มันก็จริงดั่งคำเขาว่า ตอนที่ลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจ ยังคิดไม่ตกว่าจะรอดหรือร่วง แต่ตอนนี้กลับดีขึ้นมากในหลายๆ อย่าง #ก็คงมีแต่ลิฟต์ที่เอาผมลงได้
.
ตอนนี้กานต์ยังอยู่ที่ลันดั้นนนนน ต่อเนื่องมาจาก EP 1 อ่านได้ที่นี่ >> bit.ly/kant_london_ep1
.
LONDON The Series EP2 through LEICA Q2
.
วันนี้มาลองเดินสำรวจเมืองดูบ้าง พบว่าลอนดอนเป็นเมืองที่สวยคลาสสิค และมีอิทธิพลต่อชีวิต ความคิดของเราพอสมควร
.
ลอนดอนเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่เรามักติดเรียกกันขำๆ ว่า สไตล์ผู้ดีอังกฤษ นั่นแหละ
.
แต่เอาจริงทั่วโลกล้วนปะปนด้วยคนดีและไม่ดี แต่อังกฤษมีภาพจำของความเป็นคนสุภาพ พูดจาดี ขอบคุณตลอดเวลา ตรงเวลาเป็นนิสัย แต่งกายสวยงาม วัฒนธรรมหรูหรา มีมาตั้งแต่ยุครีเจนซี่ นี่แหละที่ทำให้เราหลงรักอังกฤษ
.
วันที่ 2 ของทริปลอนดอน เราวางโปรแกรมไว้ประมาณนี้
.
DAY 2
TATE MODERN
ST.PAUL CATHEDRAL
THAMES RIVER
LONDON EYES
BIGBEN
COVENT GARDEN
.
เริ่มจากนั่ง Tube มาที่ Tate Modern พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ใจกลางลอนดอน ติดกับแม่น้ำ Thames แต่เดิมเป็นโรงไฟฟ้า Bankside Power Station ก่อนจะปิดตัวและพัฒนามาจนกลายเป็นสถานที่ที่มีความร่วมสมัย รวมเอางานศิลปะจากศิลปินทั่วโลกมาไว้ที่นี่เปิดให้เข้าชมกันฟรี ยกเว้นบางนิทรรศการที่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วเข้า
.
ด้านหน้าเป็น Turbine Hall ขนาดใหญ่ แขวนงานศิลปะสูงประมาณตึก 5 ชั้น ผมยืนมองอยู่นานเข้าใจว่าเป็นงานที่ได้อิทธิพลมาจากทางเหนือของไทยเพราะด้วยการจัดวาง Material ของผ้าดิบ ผ้าลูกไม้ รวมถึงซาวด์ประกอบก็คือเหนือแบบประยุกต์ ฝั่งตรงข้ามเป็น Switch House อาคาร10 ชั้นหลังใหม่ สร้างบน พื้นที่คลังน้ำมัน ปัจจุบันเรียกว่า The Tank สามารถเดินข้ามไปมาได้ ด้านในทิ้งโครงสร้างเดิมแบบ Industrial Design เหมาะแก่การใช้เวลาอยู่ประมาณครึ่งวัน
.
Tate Modern ตรงข้ามกับโบสถ์ St.Paul’s เราเดินข้ามสะพาน Millenium ไปจะมองเห็น Canary Wharf ศูนย์รวมธุรกิจการเงินโลก และตึกรูปทรงสามเหลี่ยม The Shard 95 ชั้น ซึ่งสูงที่สุดใน London
.
เดินสักพักก็ถึงโบสถ์ St.Paul’s มหาวิหารที่เก่าแก่และสวยงามมากแห่งหนึ่ง เป็นผลงานชิ้นที่โดดเด่นของสถาปนิกชื่อดังที่ชื่อ “Sir Christopher Wren” สร้างขึ้นเพื่อเป็นอาสนวิหารอุทิศแด่นักบุญเปาโล ใช้เป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสำคัญในประเทศอังกฤษ และใช้จัดพระราชพิธีต่างๆ ที่สำคัญ
.
ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Baroque ที่สวยงาม เราจ่ายค่าตํ๋วเพื่อเข้าไปชมด้านใน ต้องใช้คำว่าวิจิตรตระการตา ด้วยศิลปะแบบ Renaissance และ English Baroque โดดเด่นด้วยแชนเดอร์เลียขนาดใหญ่ แขวนลงมาจากโถงสูง ฝ้าเพดานหรูหราสวยงาม มีแท่นบูชาหินอ่อนแกะสลัก ภาพโมเสก รูปปั้น งานแกะสลัก ที่นี่ถ่ายรูปได้แต่ห้ามถ่ายวีดีโอ แต่ตอนที่มีพิธีห้ามถ่ายทุกอย่าง เราใช้กล้อง Leica Q2 เก็บภาพไปได้เรื่อยๆ เสียดายที่ lens เป็น 28 mm ทำให้เก็บภาพกว้างไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นคงจะอลังการกว่านี้
.
ตอนบ่ายไปนั่งหาอะไรกินที่ Covent Garden เป็นแหล่งแฮงค์เอ้าท์ที่คนอังกฤษเขาชอบกัน นัดใครก็ชวนมานั่งแถวนี้กันหมด อาจจะเพราะบรรยากาศดี มีความ Cozy เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินต่างๆ ได้มาโชว์ผลงานของตัวเอง ในหลายรูปแบบมาก เล่นดนตรี วาดภาพ เดี่ยวไมโครโฟน มายากล ฯลฯ ใที่นี่เป็นตลาดเก่าอายุกว่า 300 ปี แต่เดิมเป็น Apple Market มองดูอาคารต่างๆ แล้วคลาสสิคมาก แบรนด์เนมก็เพียบ มีช้อปของ Apple Store ด้วยนะ
.
ใกล้ๆ สามารถเดินไปชม London Eyes เดินเล่นริมแม่น้ำถ่ายรูปกันได้ เราใช้เวลาช่วงเย็นกับบรรยากาศสบายๆ ก่อนที่ช่วงค่ำจะกลับไปดินเนอร์ที่ร้าน Clos Maggiore ร้านนี้ต้องจองเพราะคนแน่น ได้ชื่อว่าเป็นร้านโรแมนติกที่สุดในโลกโดย Architectural Digest ทำให้คนลอนดอนนิยมมาสวีทกัน ร้านบรรยากาศดี แต่ตกแต่งด้วยดอกไม้ปลอมนี่สิ ให้ 2 คะแนน
.
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง Wine List เราให้ Sommelier เลือกไวน์มาให้จับคู่กับจานเนื้อ ก่อนจะลงมือปาดเนยลงบนขนมปังที่ฉีกเป็นคำเล็กๆ รีบเอาเข้าปากทันทีเพราะหิว!! อาหารไม่ได้จึ้งอย่างที่คิด แต่ติดใจในบรรยากาศร้านแบบอังกฤษ เดี๋ยวจะลองหาดูร้านอื่นๆ อีก แต่ปัญหาก็คือจองยาก จองล่วงหน้ากันนานพอสมควร
.
ขากลับจาก Covent Market นั่งรถผ่าน Westminster มองเห็น Big Ben ยามค่ำคืน ตอนเปิดไฟก็สวยงามไปอีกแบบ สักพักผ่าน Design Museum แถวสวน Kensington ที่จะมากันวันพรุ่งนี้ ก่อนที่รถ Taxi จะพาเรามายังหน้า Stamford Bridge สนามฟุตบอลเชลซี ตรงข้ามบ้านเราที่ Fulham Boardway พอดี
.
LONDONE
#london#londonuk#londonart#tatemodern#ลอนดอน#coventmarket#stpaul
—
“The best thing about the Eye is the journey. It’s not like the Eiffel tower, where you get in a dark lift and come out on to a platform at the top. The trip round is as important as the view.”
– Julia Barfield
ติดตาม LONDON The Series EP2 through LEICA Q2
ย้อนกลับไปอ่าน EP1 ได้ที่นี่ >> bit.ly/kant_london_ep1
คอนเซปต์เที่ยววันนี้เน้นความอาร์ต ความวัด ความสวยเก๋สไตล์อังกฤษ
งานนี้ชื่อว่า “Is it possible to discover a new colour?” ของ Yves Klein ศิลปินที่เน้นสร้างงานศิลปะโดยใช้สีออกน้ำเงิน
ชอบภาพนี้ ดูเป็นการ empathy เพื่อนมนุษย์แม้ว่าเขาจะไม่สมบูรณ์แบบหรืออายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงรักในงานศิลปะ
มาที่ลอนดอน สอนให้รู้เลยว่า ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน ทุกวัย เราควรได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงงานศิลปะในทุกแขนงได้อย่างง่ายที่สุด
งานศิลปะมีหลากหลาย ไม่ใช่แต่เพียงรูปปั้น ภาพวาดเท่านั้น งานนี้ชื่อ BLUE PURPLE TILT ของ Joseph Beuys กับ Jenny Holzer เป็นศิลปินและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่กังวลเกี่ยวกับสังคมสมัยใหม่ที่มีแนวโน้มที่จะเกิดภัยพิบัติทางระบบนิเวศ
อีกชิ้นเป็นงานประติมากรรมสำริดขนาดใหญ่ที่หล่อจากภูเขาดินห้อยลงมาจากคานโลหะเหนือศีรษะของเรา มันหมายถึงสายฟ้าฟาดลงบนพื้น ประติมากรรมขนาดเล็กเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ที่อยู่รายรอบ
จุดเด่นของชื่อคือโต๊ะรีดผ้าที่วางอยู่บนท่อนซุง หล่อด้วยอะลูมิเนียมแวววาว นี่คือสภาพแวดล้อมที่กลายเป็นหินโดยสิ้นเชิง
ส่วนหนึ่งของนิทรรศการ Artist and Society: A View from Sao Paulo: Abstraction and Society
ส่วนงานประติมากรรมนี้เป็นแบบจำลองขนาดของอาคาร Burj El Murr ในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน หอคอยแห่งนี้เป็นเจ้าของโดยสมาชิกของตระกูล el-Murr ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่โดดเด่น การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2517 แต่ยังคงสร้างไม่เสร็จหลังจากเกิดสงครามกลางเมือง
เดิมทีเป็นตึกสำนักงาน แต่เคยใช้เป็นด่านซุ่มยิงเท่านั้น หอคอยสูงเกินกว่าจะถล่มลงมาได้ และหนาแน่นเกินกว่าจะระเบิด และยังคงครองเส้นขอบฟ้าต่อไป
ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความขัดแย้งภายในที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง
ที่ Tate Modern คนมาชมงานศิลปะกันเยอะมาก เราได้เห็นความหลากหลายในการชื่นชอบและสนใจในงานศิลปะที่แตกต่างกัน
ส่วนตัวเราชอบงานของ Edwin Parker “Cy” Twombly Jr. เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นใหม่ๆ เยอะมาก
เดินข้ามมาฝั่ง The Tank กันบ้าง ชอบบันได้วนเป็นคอนกรีตดูสวยดี
อย่างที่บอกไปว่าที่นี่มี 2 อาคารคือโรงไฟฟ้า Bankside Power Station ที่ปิดตัวลงไปและสร้าง Switch House บนพื้นที่คลังน้ำมัน ที่อยู่ติดกัน เรียกว่า The Tank ออกแบบให้งานสถาปัตยกรรมสอดรับกันได้ดี
บนชั้น 4 มีสะพานเชื่อมถึงกันโชว์โครงสร้างเหล็กแบบ Industrial Design สไตล์ที่ผมชอบ
มองลงไปด้านล่างเป็นลานกว้างจัดแสดงงานอยู่ เป็นงานของ Cecilia Vicuña
ใช้วัสดุจากธรรมชาติ รวมถึงพวกขนสัตว์ที่ยังไม่ปั่น เส้นใยพืช เชือก และกระดาษแข็ง เพื่อสร้างรูปลักษณ์ของต้นไม้ที่ฟอกขาวและรูปร่างคล้ายผี เปิดซาวด์แบบที่มิกซ์เสียงดนตนีพื้นเมืองจากทั่วโลกดูหลอนๆ นิดนึง เหมือนผีปู่ย่าทางภาคเหนือของเรา
งานนี้โดย Bloomberg Philanthropies เป็นงานวีดีโอที่สะท้อนเรื่องการแสดงออกของศิลปินต่อเรื่องทางการเมือง
งานนี้เก๋ดี ของ Yasmin Jahan Nupur และ Bharti Kher ศิลปินชาวบังกลาเทศที่แซะเรื่องการล่าจักรวรรดิอังกฤษ
งานของ Haegue Yang ศิลปินชาวเกาหลี
บางงานก็จะดู “อะหยั่งอ่ะ” ต้องอ่านรายละเอียด เช่นงานนี้เป็นการตั้งคำถามเรื่อง Palm Sign การนำสัญลักษณ์ของต้นปาล์มมาใช้ในแคมเปญการตลาดของโมร็อกโกว่าดูแล้วมันรู้สึก”ร่วมสมัย” ยังไง
งานห้องนี้เน้นโชว์พวก Material
ห้องนี้เน้นตอบคำถามว่างานประติมากรที่ทำงานในญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1970 เป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อกันและกันอย่างไร งานจะหลากหลายมาก
พักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่ มองออกไปเห็น ตึกรูปทรงสามเหลี่ยม The Shard 95 ชั้น ซึ่งสูงที่สุดใน London
ข้ามสะพาน Millennium ตึกสีน้ำตาลเป็น The City of London School
อีกฝั่งเป็นเมือง ที่เต็มไปด้วยตึกสูงสวยงาม
เดินตามสะพานมาจะถึงโบสถ์ St.Paul’s
มาตอนบ่ายคนไม่ค่อยเยอะดี นี่คือภาพแรกที่เห็น อลังการมาก
ชอบภาพนี้ดูคลาสสิคดี นึกไปถึงตอนที่คนเต็มด้านในกำลังทำพิธีคงดูคลังมาก
ลานตรงกลาง จัดวางเก้าอี้รายรอบ
ด้านข้างประดับรูปปั้นงานประติมากรรมสะท้อนเรื่องราวในอดีต
ชอบภาพนี้ การจัดแสงให้ตกกระทบมายังรูปปั้นดีมาก
เข้ามาด้านในอย่าลืมเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานที่วิจิตรงดงาม
ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยศิลปะแบบ Renaissance และ English Baroque
มุมนี้ต้องเดินอ้อมมาด้านหลัง จะถ่ายได้ในช่วงที่ไม่มีพิธีกรรมเท่านั้น
เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ส่วนใหญ่เป็น สว. สูงวัย ประดับสายสะพายราวกับแอมบาสเดอร์ ทำหน้าที่คอยให้ข้อมูลและนำชม
ส่วนผม ตอนกลับดันหลังหาทางออกไม่เจอ ได้คุณป้าท่านนี้ชี้ทางให้พร้อมนำเดินลงมาส่ง ไกลอยู่นะ แต่บริการจากใจกลัวว่าจะไปไม่ถูกเพราะทางออกค่อนข้างซับซ้อน ประทับใจมาก
โผล่จากใต้ดินขึ้นมาทางนี้
อีกฝั่งของโบสถ์ มีร้านอาหาร คาเฟ่ จัดเก้าอี้ให้นั่งดื่มกิน พร้อมชมวิวไปด้วย สวยงามมาก
เดินทางในลอนดอนใช้รถไฟใต้ดินก็สะดวกดีนะครับ เดินไปตรงไหนก็เจอ
เดี๋ยวเราจะนั่งรถไฟไปที่ Covent Garden กัน
ถึงละ สถานที่ของคนเก๋ในลอนดอน
พักแปบ เมื่อยมาก เช้านี้เดินทั้งวัน สั่งเครื่องดื่มมาจิบเบาๆ ไล่หนาวกันหน่อย
Covent Garden ร้านนั่งเยอะมาก หน้าหนาวอาจจะเย็นเกินไปต้องหาอะไรอุ่นๆ ร้อนๆ มาช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย บรรยากาศดี แต่ที่ไม่ชอบคือคนสูบบุหรี่เยอะมากกกกก
ตลาดเก่าอายุกว่า 300 ปี เดิมเป็น Apple Market ขายแอปเปิ้ลและผลไม้ ต่อมาพัฒนาเป็นตลาดขายงานศิลปะ ของที่ระลึก ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านแบรนด์เนมเยอะมาก
ศิลปินมาโชว์ของก็เยอะ หมุนเวียนกันไปตลอดเวลา สามารถนั่งชมจากร้านได้เพลินๆ
เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มุมสวยๆ เยอะมาก
ที่นี่คึกคักทั้งวัน เหมาะสำหรับการมานั่งจิบไวน์ดื่มเบียร์คุยกันเพลินๆ วันนี้มีบอลเตะ ทำให้คนเยอะเป็นพิเศษ
เราเดินเล่นเก็บบรรยากาศกันไปเรื่อยๆ
จนมาถึงริมแม่น้ำ Thames มีสัญลักษณ์หนึ่งของลอนดอนตั้งอยู่
บรรยากาศริมแม่น้ำ Thames ช่วงเย็นๆ คือ Vibes ดีมาก ไม่แปลกใจทำไมคนชอบออกมานอกบ้านกัน อากาศก็เย็น เดินสบายไม่เหนื่อยมาก
กลับไปที่ Covent Market อีกรอบเย็นนี้จองโต๊ะไว้ที่ร้าน Clos Maggiore หนึ่งในร้านที่ได้รับการจัดอันดับว่าโรแมนติกที่สุดในโลกโดย Architectural Digest
ด้านในเป็นที่นั่งประดับไฟสีแดงสด
มองออกไปเห็นผู้คนเดินไปมาในย่าน Covent Garden
ร้านตกแต่งแบบเรียบหรูสไตล์อังกฤษ จานคือดี และมีราคามาก น่าจะสักใบละ 2,000 ได้
ได้นั่งโต๊ะด้านในติดเตาผิง บรรยากาศจิงกาเบลล์มาก ขัดใจต้นไม้ปลอมนิสนุง
ทำไมต้องมาปลอมแข่งกับหน้าฉันด้วย
สังเกตว่าร้านอาหารหรูในลอนดอนชอบเสิร์ฟน้ำเปล่า Kingsdown เป็นน้ำแร่จากหมู่บ้าน Kingsdown ห่างจากเมือง Canterbury เคลมว่าเป็นน้ำแร่บริสุทธิ์ที่ไม่ทำให้เสียรสชาติอาหาร
ขนมปังมาก่อนเลยครับ เสิร์ฟพร้อมเนย
Roasted Monkfish, Shaved Fennel, Orange, Saffron & Calamansi Sauce
ผมสั่งเนื้อ Hereford Beef Fillet, Cep Mushroom Purée, Shallot, Hazelnut, Bone Marrow Jus เนื้อรสชาติดีทำมาได้สุกกำลังดี แต่ซอสอ่อนไปนิด
ของหวานดีงาม สั่งชีสมาทานปิดท้ายมื้อเอาให้อ้วนกันไปเลย
กินเสร็จำได้เวลาเรียกรถกลับบ้าน คนอังกฤษยังสังสรรค์กันอยู่เพราะดูบอลเพิ่งจบ
นั่งรถผ่าน BigBen สวยดีแถวนี้มีไฮไลท์ของลอนดอนเยอะมาก
ชอบบรรยากาศของการนั่งรถชมเมืองไปด้วยในตอนกลางคืนได้เห็นมุมมองใหม่ๆ
พรุ่งนี้จะมา The Design Museum
ถึงที่หมายสบายผิดกัน แต่ค่ารถนั้นก็แพงโขอยู่
Good Night!!