#โรงแรมนี้มีเรื่องเล่า EP6 : la a natu
ถ้าตัดคำว่าสามร้อยยอดออกไป
ลาเอนาตูก็ #บาหลีเมืองไทย ดีๆ นี่เอ๊งงงงงง
_
เอาจริงกานต์ก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนักหรอกที่จะเปรียบสถานที่ท่องเที่ยวบ้านเราเป็นเหมือนเมืองนั้น ประเทศนี้ แต่สำหรับที่ la a natu มันดูเป็นฟีลแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เราว่า เป็นรีสอร์ตแบบไทยสไตล์ ผมให้ที่นี่ยืนหนึ่งในปราณบุรีเลยครับ la a natu ไม่ใช่รีสอร์ตหรูหรา Luxury แต่ที่นี่มีความเป็นบูทีค-ดีไซน์ในสไตล์ Bed Bakery และ Breakfast
la a natu อ่านว่า ลาเอนาตู เป็นการกร่อนคำมาจากมาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า L’art et Nature ซึ่งแปลว่า “ศิลปะกับธรรมชาติ” หลายคนชอบเรียกว่าเป็นบาหลี (พอเห็นต้นไม้เยอะๆ ครึ้มๆ ก็เรียกบาหลีไว้ก่อน) จริงๆ แล้วการตกแต่งของที่นี่จะมีความเป็นไทยอีสานโมเดิร์นในแบบ “ลาวโซ่ง” มากกว่า มีเรือน 2 ชั้นใต้ถุนสูงยกโล่ง ปลูกเรียงรายกัน ใช้ไม้ไผ่เป็นสัจจะวัสดุในการตกแต่ง ประดับประดาด้วยข้าวของอุปกรณ์ทำไรไถนาเครื่องมือทำมาหาเลี้ยงชีพ เพราะที่นี่มีนาข้าวจริงๆ อยู่กลางรีสอร์ต ใกล้กันมีเล้าไก่ มีบ่อน้ำ มีไซเอามาประยุกต์เป็นโคมไฟเก๋ๆ ติดไว้ที่หน้ากระท่อมริมทะเล
ผมชอบเรียกที่นี่ว่า “รีสอร์ตน้องควายแห่งสามร้อยยอด” รีสอร์ตไม่ใหญ่แต่บรรยากาศดี ผมชอบกระท่อมของที่นี่มากที่สุด เป็นห้อง Tropical Cottage กระท่อมแม่ชะม้อยติดทะเล คือดูสวยและรวยสุดในหมู่บ้านลาเอนาตู ปลูกบ้านอยู่ริมหาด ลมพัดเย็นสบายทั้งวัน เป็นธรรมชาติที่สดชื่นที่แท้ทรู
ให้แสงแดดสาดเข้ามาปลุกเราในทุกเช้า ให้ตื่นแต่มาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นก็ไปแช่ออนเซ็นอุ่นๆ ให้สบายตัว ก่อนไปทานข้าว ทีแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามาทะเลทำไมต้องมีออนเซ็น พอสัมผัสกับลมเย็นๆ จนหนาวเลยเข้าใจเลยว่า ออนเซ็นอุ่นๆ เป็นอะไรที่ช่วยได้ดีจริงๆ
มีเพียงรีสอร์ตไม่กี่แห่งที่ไปแล้วก็อยากกลับไปอีก ก็ไม่รู้ติดใจอะไรเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่พูดยาก แต่สัมผัสได้ ผมยกให้ la a natu เป็นหนึ่งในนั้น แม้จะไม่ได้สวยหรูมากเท่าไร แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ถูกใจผมเหลือเกินครับ
—
ไม่ได้มาเที่ยวเขาสามร้อยยอดนานมาก ทั้งๆ ที่ขับรถเลยหัวหินมาอีกราว 30 นาที ก็ถึงที่ la a natu bed & bakery ที่นี่เป็นทั้งรีสอร์ตและเปิดให้เข้ามาทานอาหารและเบเกอรี่อร่อยๆ ในบรรยากาศริมทะเล ฟีลดี๊ดี
อยากเอาเวลาในช่วงส่งท้ายปีไปนั่งทอดเวลาที่ริมทะเลชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าให้สบายใจ
ผมชอบ กระท่อม ของที่นี่ที่สุดคือ Tropical Cottage จะมี 3 หลังเรียงกันไปมีชื่อว่า ต้นหอม ตะไคร้ ใบมะกรูด วิวหน้าห้องก็จะได้ประมาณนี้
ภาพรวมที่กานต์ถ่ายมาฝากจะเห็นว่า มีความเป็นธรรมชาติสูงและครบครันทั้ง ทะเล น้ำ ฟ้า ป่าเขา และบ้านเรือนเรียงรายอยู่ริมทะเล
เกร๋วๆ
จะพาบินโดรนไปดูภาพมุมสูงกัน
ดูผังรีสอร์ตกันก่อน มีห้องไม่เยอะนะครับ แค่ 12 ห้องเท่านั้น type แตกต่างกันไป
จริงๆ แล้วลาเอนาตู อยู่อำเภอสามร้อยยอดนะครับ ไม่ใช่ปราณบุรี แต่เรียกแบบนี้เพราะคนทั่วไปเข้าใจง่ายกว่า เอาเป็นว่าขับรถเลยมาจากหัวหินอีกเล็กน้อยก็ถึงครับ
บรรยากาศจะคนละเรื่องกับหัวหินเลย ที่นี่จะมีแต่ความเงียบสงบ ธรรมชาติแวดล้อม ไม่พลุกพล่าน เหมาะแก่การมาปลีกวิเวก พักผ่อนสบายๆ ริมทะเล
เช็คอินกันที่ล็อบบี้เป็นใต้ถุนโล่งๆ ลมพัดเย็นสบายทั้งวัน
พอได้กุญแจห้องมาก็จะเดินไปที่กระท่อมซึ่งหันหน้าเข้าหาทะเล
ผมสังเกตว่าการตกแต่งของที่นี่จะเน้นความเป็นธรรมชาติ ใช้สัจจะวัสดุที่เรียบง่ายและหาได้ทั่วไปสไตล์บ้านเรือนไทยอีสานแบบลาวโซ่ง ผสมบ้านดิน มี “เฉลว” หรือ ฉลิว คือ เส้นตอกไม้ไผ่หรือหวายเส้น หักขัดกันเป็นมุม นำมาทำเป็นโลโก้ น่ารักมากครับ
ให้สัมผัสที่อบอุ่น เป็นมิตร เป็นกันเอง เหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อนมากกว่า
ห้องแบบกระท่อมจะมีทางเข้าประตูหลังบ้าน (จริงๆ คือประตูหลัก) แต่อยู่ด้านหลัง เพราะหันหน้าเข้าหาทะเล เป็นมุมทางเดินที่ร่มรื่นมาก ต้นไม้เยอะ
หลังใหญ่ด้านซ้ายจะเป็น ส่วนต้อนรับและร้านอาหาร ถัดไปจะเป็นพูลวิลล่า ส่วนกระท่อม 3 หลังจะอยู่ฝั่งขวา ส่วนด้านหลังกระท่อมจะเป็น Tropical Village วิวทุ่งนา ตั้งชื่อน่ารักว่า ข้าวเหนียว, ข้าวฟ่าง, ข้าวตอก, ข้าวเม่า
ทางเข้าหลักด้านหลัง ฟีลลิ่งดีมาก มีความธรรมชาติสูง เข้ามาจะเจอบ่อน้ำร้อนออนเซ็นก่อนเลย
ด้านในแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือด้านขวาเป็นห้องน้ำ ตรงกลางเป็นโถงนั่งเล่น มีเก้าอี้ที่นั่งจัดวางไว้เยอะมาก ส่วนด้านซ้ายเป็นห้องนอน
วิวจากห้องนอนจะเห็นแบบนี้เลย ใกล้ชิดทะเลสุดๆ แล้ว
ที่นี่มีน้องควาย คอยอยู่เป็นเพื่อนเราในทุกห้อง ห้องนอนที่มีหน้าต่างเปิดออกไปรับลมได้
ด้านนอกเป็น Onsen เซ็ตอุณหภูมิน้ำอุ่นไว้ที่ 37 องศา สามารถปรับได้ ตอนแรกก็แปลกใจว่ามาทะเลร้อนจะตายทำไมให้มาแช่น้ำอุ่น
ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ เพราะว่าลมทะเลพัดเราทั้งวัน อากาศที่นี่เหมือนจะร้อนแต่เย็นจากลม จึงเหมาะกับการแช่น้ำอุ่นๆ ปรับอุณหภูมิในร่างกาย และยังช่วยคลายความเมื่อยล้า เหมาะแก่การมาทิ้งตัวพักผ่อนแบบไม่ต้องคิดอะไรมากครับ
ถ้าจะอาบน้ำจริงๆ จะอยู่ด้านในเป็นแบบเปิดโล่ง Outdoor Shower ผมชอบมากครับ ดูเก๋ดี มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
แสงแดดตอนเช้าคือสวยมาก เวลานอนริมทะเลแบบนี้ผมไม่ค่อยปิดม่าน เพราะอยากได้ฟีลแบบปลุกให้เราตื่นด้วยแสงแรกของวัน
หน้าบ้านมีชิงช้า ทำจากไม้แบบคราฟท์มากๆ นั่งรับลมเย็นๆ ริมทะเลได้สบายใจ บาหลีมั้ยล่ะแกรรรรรร
ถัดจากชิงช้าจะเป็นหินก้อนใหญ่เอามาเป็นพนังกั้นไว้ นั่งรับลมตรงนี้ได้ แต่อาจจะต้องระวังนิดนึงครับ
หรือจะไปนั่งรับวิตามิน D ตอนเช้าๆ ริมทะเลก็ได้ครับ
วิวพระอาทิตย์ตกก็สวยไม่แพ้กัน
เดินสำรวจรอบๆ ดีกว่า รีสอร์ตมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ใช้เวลาถ่ายรูปได้ทั้งวันเพราะมุมเยอะมาก
มีงานศิลปะจัดวางแบบประปราย ให้ความรู้สึกถึงบูทีครีสอร์ตมากๆ
ขึ้นมาทานอาฟเตอร์นูนที เป็นอภินันทนาการ สำหรับทุกห้องครับ ถ้าชอบเค้กมะพร้าว อย่าลืมสั่งมาทานเพิ่มได้ครับ
ใกล้ๆ กับที่นั่งทานข้าว ทานขนม จะเป็นสระว่ายน้ำที่มียุ้งฉางขนาดใหญ่ตั้งไว้
วิวจากชั้นบนที่เรามานั่งทานขนมกัน บรรยากาศคือดี มีต้นตาลด้วย ลมพัดเย็นสบายทั้งวัน
ยอมรับว่า ลาเอนาตู เป็นรีสอร์ตที่ไม่ใหญ่ แต่ให้ความรู้สึกที่ดีมากในการเข้าพัก ทั้งความเป็นกันเองของพนักงาน เหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อน แล้วดูแลอย่างดี
ผมชอบงานออกแบบตกแต่งของที่นี่ ไม่เน้นหรูหราแต่ว่ามีดีไซน์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติที่กลมกลืนกันไปหมดไม่ว่าจะเป็น นาเอย ฟ้าเอย ทรายเอย ทะเลเอย
เป็นรีสอร์ตที่น่าจะถูกใจคนชอบสีเขียวของต้นไม้ และสีฟ้าของน้ำทะเล ผมว่าถ่ายรูปออกมายังไงก็สวย
บ้านอีกแบบที่ยอดฮิตของที่นี่คือ Tropical Village ถ้าช่วงที่ข้าวกำลังขึ้นต้นคงสวยมาก
ลาเอนาตู เป็นรีสอร์ตเพียงไม่กี่ที่ ที่คุณกานต์ยอมตื่นเช้าเพื่อมารับแสงแรกของวัน ในบรรยากาศของธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาก พูดแล้วก็อยากไปอีกละ
รอบๆ มีจุดถ่ายรูปเยอะอยู่นะ เดินไปทางซ้ายจะมีเขาเล็กๆ มีดงกระบองเพชรอยู่
อ่ะ สักหน่อย!!
ยืนหนึ่ง ริมเลปราณ
la a natu bed & bakery เป็นรีสอร์ตริมทะเลที่เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากแนะนำให้ออกไปไหน อยากให้ใช้เวลาอยู่ในบ้านน้องควายให้เต็มที่ หยิบนิยายเล่มโปรดมานั่งอ่านริมทะเล ให้เสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นซาวน์เปิดคลอเบาๆ กับคนที่เรารัก เพียงเท่านี้ ผมว่าก็มีความสุขมากแล้วครับ