Kintsugi

รู้มั้ย “โอมากาเสะ” #ไม่ใช่แค่การเสิร์ฟข้าวปั้นหน้าปลาดิบญี่ปุ่น🍣

กานต์ไปทาน Signature Omakase สุดหรู 6,500++ บาท/ท่าน

ตอนนี้ยังไปญี่ปุ่นไม่ได้ ก็ไปกิน Kintsugi แทนก่อน #อ่านรีวิวไปหิวไ

อันที่จริง Omakase (โอมากาเสะ) แปลง่ายๆว่า ตามใจเชฟ เป็นความหมายของการปรุงอาหารญี่ปุ่นในแบบที่เชฟต้องการให้เราได้ทาน เราวางใจให้เชฟเป็นผู้ปรุงอาหารมื้อนั้น แต่อันที่จริงมันเป็นมากกว่าการเสิร์ฟข้าวปั้นหน้าปลาดิบ 8 คำ 12 คำ 16 คำนะ

อย่างคอร์สที่ผมมาทานค่ำนี้ที่ห้องอาหาร Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey บนชั้น 3 The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok ถนนวิทยุ ก็มีทั้งเมนูแบบ A La Carte และ Set Menu แบบ Omakase ให้เลือก

เชฟเจฟ แรมซีย์นำเสนออาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ (Kaiseki) ซึ่งเป็นวัตนธรรมอาหารชั้นสูงและเก่าแก่ แต่เชฟแรมซีย์ (ซึ่งก็เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่น) นำมาตีความใหม่ ให้ร่วมสมัย สร้างสรรค์ ไม่ยึดติดขนบเดิมแต่กลับเสริมเทคนิคการปรุงให้รสชาติซับซ้อนยิ่งขึ้น กอปรกับวัตถุดิบเลิศหรูที่นำเข้ามา ทว่า ยังไม่ละทิ้งจิตวิญญาณของอาหารแดนอาทิตย์อุทัยลงไปเลยแม้แต่น้อย

ส่วนเมนูที่เป็นจานไฮไลท์ คือ #KinKat ผมชอบมาก เสิร์ฟมาหน้าตาคล้ายกับกล่องขนมยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเมื่อลองแล้วถึงได้รู้เลยว่าไม่ใช่แต่เป็นอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ที่ดีไซน์การพรีเซนต์ได้อย่างน่าสนใจ

ผมชื่นชมการตั้งชื่อร้านที่สะท้อนการนำเสนออาหารทุกจานผ่านการตีความหมายของคำว่า Kintsugi (คินซึงิ) ไว้อย่างน่าสนใจ

ลองดูรูป #หัวใจลายทอง ที่ผมกำลังยืนมองอยู่นี้สิครับนี่คือ Kintsugi ของแท้

#หัวใจหลักของKintsugi คือการซ่อมใจที่ร้าวสลายให้คืนกลับมาใหม่ เป็นงานศิลปะสไตล์ญี่ปุ่นที่มีมาตั้งแต่ปี 1972 เป็นการสอนให้เรารู้จักคุณค่าในสิ่งของที่แม้จะพังแต่ยังไม่ควรจะทอดทิ้งให้ไร้คุณค่า ทว่า นำมาซ่อมแซมได้โดยใช้ยางไม้เชื่อมประสานก่อนจะลงสีทองไว้ ให้เห็นร่องรอยแตกของชิ้นส่วน

เป็นวิถีวะบิ-ซาบิ ที่ว่า “ถึงแม้จะดูไม่สมบูรณ์ Perfect เหมือนเดิม แต่ก็กลับมาเป็นภาชนะชิ้นเดิมและอาจงดงามกว่าเดิมได้ด้วยลวดลายของรอยร้าวที่มีขึ้นมาหลังจากการซ่อมแซมใหม่”

ผมชอบที่ Candice Kumai นักเขียนสาวชาวอเมริกันเคยเขียนไว้ว่า “Kintsugi is life’s way of saying, ‘nobody’s perfect.’ The path is not straight, In fact, your hardest challenges, deepest wounds, and greatest fears are actually among the most beautiful, precious, and admirable parts of you.”

ก็เหมือนมนุษย์เราอ่ะเนอะ ชีวิตคนเราเมื่อแตกสลายลงไปก็ใช่ว่าจะต้องเลิกใช้ชีวิตนั้นเสียเมื่อไร รอยแตกไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบังซุกซ่อนเอาไว้ แต่ในทางกลับกัน การยอมรับว่ามีเรื่องเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้ว หันกลับมาซ่อมใจของเราที่ร้าวให้กลับคืนมาเป็นใจดวงใหม่ ที่เต็มไปด้วยความฝัน ความหวัง และกำลังใจ เพื่อให้ชีวิตใหม่ได้คืนกลับมาอีกครั้งอย่างสวยงาม

อ่อ!! รอยแตกร้าวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ควรเอาตัวเราเป็นไม้บรรทัดไปวัดและตัดสินคนอื่น แต่ละคนจะมี Kintsugi ในแบบฉบับของตัวเอง

ง่อววววววว ช่างเป็น #ปรัชญาญี่ปุ่นที่คมยิ่งกว่าดาบของซามูไร

ผมไล่เรียงเรื่องราวของ Tasting Menu ที่มาจะเป็นจานคาวหวานเล็กๆ ทั้งสิ้น 16 เมนู แต่เชื่อไหมว่า มีซูชิอยู่แค่ 1 จาน เท่านั้น ผมเขียนเล่าไว้ในแคปชั่นของแต่ละรูปให้ได้ตามไปอ่านกันจะน่าทานขนาดไหน เอาเป็นว่า ผมชวนมาร่วมโต๊ะดินเนอร์อาหารญี่ปุ่นด้วยกันในค่ำคืนนี้ครับ

Kintsugi มีที่มาจากแนวคิดปรัชญาแนวเซ็นเป็นแบบวิถีวะบิ-ซาบิ ที่เน้นให้เราทำความเข้าใจและยอมรับในความจริงของธรรมชาติ

ชีวิตคนเราเมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับสูญ แต่ยังมีคงความงดงามในความไม่สมบูรณ์ของชีวิตอยู่นะ การที่ข้าวของหรือหัวใจเราแตกสลายไม่ได้หมายความถึงจุดจบ ตรงกันข้าม กลับเป็นความจริงของโลกที่บอกเราว่า ถึงเวลาแห่งการเริ่มต้นบนหนทางใหม่ภายใต้ร่องรอยแห่งความบอบช้ำ เราจะทำให้หัวใจดวงใหม่งดงามขึ้นได้อย่างไร

เป็นปรัชญาที่คมคายและเชฟเจฟ แรมซีย์ ก็นำแนวคิดนี้มาตั้งเป็นชื่อร้านและนำเสนอผ่านอาหารทุกจานครับ

Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey ชั้น 3 โรงแรม The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel, Bangkok ถนนวิทยุ

เมนูมีทั้ง A la carte และ Set Couses
*ITO 9 คอร์ส ราคา 2,500++ บาท/ท่าน
*KIN 12 คอร์ส ราคา 3,500++ บาท/ท่าน
*SIGNATURE OMAKASE 6,500++ บาท/ท่าน

เปิดให้บริการทุกวัน 11.30 – 21.00 น.

สำรองที่นั่ง โทร 02-650-8800

มื้อนี้กานต์เลือกเป็นเซ็ต 16 คอร์ส ราคา 6,500++ บาทต่อหัวครับ ดูเหมือนจะเป็นราคาที่สูง แต่ด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ความซับซ้อนของการปรุงที่ดึงเอาศักยภาพของอาหารญี่ปุ่นแบบ Modern Kaiseki ออกมาได้อย่างเต็มที่ แถมมีจำนวนมากถึง 16 จาน จึงถือว่าสมมงมากๆ ครับ

The Signature #KINKAT

แม้เชฟเจฟ แรมซีย์ ช่วงนี้จะไม่อยู่เมืองไทย แต่ก็ได้มอบดาบที่ลับมาอย่างคมกริบ ใส่ในมือของเชฟภาณุ วิริยพงษ์สุกิจ Sous Chef หรือจะเรียกว่าเป็นมือขวาของเชฟแรมซีย์เลยก็ว่าได้ ให้มาเป็นผู้ดูแลอาหารทุกจานก่อนส่งต่อไปยังโต๊ะของเรา

บรรยากาศร้านตกแต่งแบบเซ็น เน้นความเรียบง่าย ครัวเป็นแบบ Open ที่ให้เห็นแต่ละขั้นตอนของเชฟในการปรุงอาหาร ผ่านการเลือกใช้สัจจะวัสดุอย่างไม้ในการตกแต่ง ที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น กลมกลืนกับความเป็นธรรมชาติของเรื่องราว จะเลือกนั่งหน้าบาร์ เพื่อให้อินมากขึ้นก็ได้

ช่วงนี้ร้านจะมีพาติชั่นพลาสติกใสกั้นเอาไว้อยู่ครับ ตามมาตรฐานความปลอดภัยช่วงโควิด-19 แต่ตรงหน้าเชฟผมขอให้เอาออกแผ่นนึงตอนถ่ายรูปครับ

หากมากันหลายๆ ท่าน สามารถนั่งโต๊ะที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ ดีไซน์สวยแบบรัสติค สะท้อนที่ถึงความเป็นโมเดิร์นไคเซกิได้ดี

แต่ที่ผมชอบคือโคมไฟแขวนเรียงรายคล้ายๆ หม้อขนาดเล็กดูสร้างสรรค์และเก๋มาก

หรือใครอยากนั่งในห้องส่วนตัวก็แจ้งพนักงานได้ครับ

เมื่อถามถึงเชฟแรมซีย์ ก็ได้ความจากปากของเชฟภาณุว่า เจฟอยู่ต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องโควิด แต่อีกส่วนคือเจฟยังมีร้านอาหารที่มาเลเซียที่ต้องดูแลด้วย

“ปกติเชฟแรมซีย์จะมาที่นี่เดือนละครั้ง เพราะเชฟจะประจำที่ร้าน Babe ของเขาที่มาเลย์ ที่ Kinsugi จะเน้นเสิร์ฟอาหารแบบ Kaiseki คล้ายเป็น Tasting Menu เป็นคอร์ส มีให้เลือกทั้งแบบคอร์สเล็ก 9 จาน กลาง 12 ใหญ่ 16 จาน อาจมีซูชิโอมากาเสะสัก 1 คำ หรือจานอื่นอาจจะมีกิมมิคในการนำเสนอให้ลูกค้ารู้สึกสนุกกับการทาน” เชฟภาณุเล่าให้ฟัง

จานแรก Hokkigai and Chirimen Jako Sunomono เป็นยำหรือจะเรียกว่าสลัดสไตล์ญี่ปุ่นก็ได้ ใช้หอยปีกนกไปคลุกกับซอสพอนซึของญี่ปุ่น รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ทอนรสให้เบาหน่อยด้วยแตงกวาญี่ปุ่น เมียวงะหรือขิงญี่ปุ่น และสาหร่าย

Honjitsu no Tsukuri ซาชิมิปลา 3 ชนิด คือโอโทโร่ เป็นส่วนท้องของปลาทูน่า รสชาติดีและมีราคาแพงมาก แน่นอนว่าผมชอบมากกกกก

ในจานยังมีปลากะพงและปลาชิมะ-อาจิ ด้วยครับ เชฟบอกว่า เวลาทานให้เด็ดดอกของใบโอบะใส่ลงในโชยุ จะช่วยเพิ่มรสชาติ กลิ่นและมีความเผ็ดติดปลายลิ้นเล็กน้อย เสริมรสด้วยวาซาบิสดที่เคียงมาข้างๆ จาน

จานที่ 3 เป็น Chilled Japanese Eggplant Nibitashi เชฟนำมะเขือม่วงญี่ปุ่นลูกเล็กไปย่างไฟอ่อนๆ ทั้งเปลือกให้ข้างในสุก แล้วนำไปแช่ในน้ำสต๊อกปลาดาชิ ที่ปรุงรสเพิ่มด้วยสาเก ซอสถั่วเหลือง มิริน ทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้ดูดซับรสชาติของซอสเข้าไป

จากนั้น จัดใส่จานออนท็อบด้วยเจลลี่มะเขือเทศสีใส ที่ยังคงให้รสชาติของมะเขือเทศอยู่ ประดับด้วยกระเจี๊ยบแช่น้ำตาลที่นำไปต้ม ทานพร้อมกันแล้วได้รสชาติหวาน หอม สดชื่นดีครับ คนไม่ชอบมะเขือม่วงอย่างผม ก็ทานได้สบายเลย

ระหว่างที่เราทานคอร์สที่ 3 เชฟภาณุก็จัดการทอชเบิร์นอาหารจานต่อไป

ผมเห็นไฟสีสวยดีเลยแอบเก็บภาพมาฝากกัน

“สาเหตุที่ต้องทอร์ช เพราะต้องการให้น้ำตาลไหม้กลายเป็นคาราเมล” – เชฟภาณุบอก

คอร์สที่ 4 คือ Caramelized Ankimo เชฟนำตับปลาอังโกะล้างด้วยสาเกและเกลือ จากนั้นนำไปนึ่งด้วยอุณหภูมิที่ต่ำเพื่อไม่ให้ตับปลาสุกจนเกินไป จะได้ดึงเอารสชาติของตับปลาให้ออกมามากที่สุด

จากนั้น นำมาเคลือบน้ำตาลแล้วทอร์ชให้น้ำตาลไหม้ ราดด้วยซอสพอนซึ ปรุงรสด้วยน้ำเสาวรส ตกแต่งให้สวยงามด้วยดอกเก๊กฮวยสีม่วงดอง

จานนี้เมื่อทานแล้วให้ความสดชื่น รสชาติจะออกหวานๆ ไม่คาวครับ คนไม่เคยทานตับปลาก็สามารถทานได้สบายๆ

Engawa no Tsukudani เชฟนำครีบปลาตาเดียวไปเคี่ยวกับซอสหวานญี่ปุ่น ส่วนคาเวียร์เชฟทำจากเม็ดมัสตาร์ดที่นำไปต้ม 7-8 รอบเพื่อให้สีและกลิ่นมัสตาร์ดหายไป แล้วนำไปเคี่ยวกับซอสหวานญี่ปุ่น เวลาทานให้ทานพร้อมกันกับเอนกาวะ จะได้รสชาติที่เข้ากันดี

Ikura with Uni Butter Rice ใช้ข้าวญี่ปุ่นไปคลุกกับอูนิหรือไข่หอยเม่น ด้านบนเป็นอิคุระสด หรือไข่ปลาแซลมอนนำไปแช่สาเกเพื่อเสริมรสชาติ จากนั้น เชฟขูดเอาผิวส้มยูซุออนท๊อปเพื่อให้มีกลิ่นหอมสดชื่น

ชามนี้ทานอร่อยมาก ดูเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา

คอร์สที่ 7 เป็นไฮไลท์อีกจาน คือ Alaskan King Crab and Truffle Chawanmushi เมนูไข่ตุ๋นญี่ปุ่นที่อร่อยที่สุดในโลกตั้งแต่เคยทานมาแถมยังมีราคาสูงด้วย เพราะวัตถุดิบก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นปูอลาสก้า และแบล็คทรัฟเฟิลที่ขูดโรยหน้ามา

เชฟบอกว่า เทคนิคคือการตุ๋นไข่ด้วยอุณภูมิ 85 องศาเป็นเวลา 14 นาที เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสเนียนนุ่มดุจคัสตาร์ด ด้านในเป็นปูอลาสก้า ราดด้วยซอสอันคาเคะ ซึ่งเป็นน้ำสต๊อกจากปลาดาชิผสมแป้งญี่ปุ่นคุซุ เคี่ยวจนข้น แต่งกลิ่นทรัฟเฟิลออยผสมขิง และขูดทรัฟเฟิลดำใส่เข้าไปแบบจุใจมาก

เชฟแนะนำให้ตักทานตั้งแต่ด้านล่างขึ้นมา ทานพร้อมกันในคำเดียว เพื่อที่จะได้สัมผัสความหอม กลมกล่อม และรสชาติที่หลากหลายจากวัตถุดิบชั้นเลิศ

ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินกับไข่ตุ๋น เชฟและผู้ช่วยกำลังเตรียมคอร์สต่อไป ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโซบะธรรมดา แต่รับรองว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดแน่นอนครับ 555

จานนี้คือ Nagano Walnut Soba เกิดจากการที่แรมซีย์ไปเที่ยวที่เมืองนากาโนะ (Nagano) แล้วได้ทานโซบะเย็นใส่วอลนัท เชฟจึงเอามาดัดแปลงแล้วแต่งเติมให้จานนี้ดูไม่ธรรมดาเข้าไปอีก

เริ่มจากการนำโซบะไปลวกแล้วน็อคน้ำเย็น จากนั้นคลุกกับวอลนัทบดที่เชฟนำไปอบที่อุณภูมิ 150 องศาเซลเซียลเป็นเวลา 20 นาทีจนเหลืองกรอบ แล้วนำไปปั่นจนกลายเป็นซอสวอลนัทเนื้อข้น คลุกเคล้าให้เข้ากันกับเส้น

ผสมด้วยผักสมุนไพรญี่ปุ่นอีก 7 ชนิด คือต้นหอม เมียวงะหรือขิงญี่ปุ่น ใบโอบะ ขิงอ่อนขูดฝอย สาหร่าย งาขาว และไควาเระ

ส่วนซอสโซบะจะใส่วอลนัทที่เชฟนำไปคั่วกับน้ำมัน ให้รสชาติหอมหวานมันเค็มปะแล่มๆ ดี ก่อนเสิร์ฟจะโรยด้วยกรานิต้าน้ำมันวอลนัทอีก เป็นจานที่ซับซ้อนมาก แต่อร่อยดี เหมือนทานขนม

คอร์สที่ 9 เป็น Uni with Prawn and Pumpkin Bisque ผมชอบล็อปสเตอร์บิสก์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอนำมาเข้าคู่กับฟักทองผัดกับคอนยัคและเครื่องเทศก็ยิ่งเข้ากันไปใหญ่ ราดบนไข่หอยเม่นและเนื้อกุ้งหวานๆ

จานนี้โดนใจมากครับ

Torched Shimesaba เชฟใช้ปลาซาบะสดดองด้วยน้ำส้มสายชูและเกลือเป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้น นำไปน็อคกับน้ำแข็งก่อนจะทอร์ชเพื่อให้สุกและหอม ยิ่งนำไปแช่กับอูมามิซอยซอส หรือซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่น ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่

แต่สมุนไพรเครื่องเคียงข้างๆ ไม่ค่อยถูกปากเท่าไร

Zuke Maguro เชฟนำปลามากุโระ หรือทูน่าญี่ปุ่นนำไปแช่กับซอสมิรินโชยุ วางไว้บนข้าวปั้น ที่รองด้วยสาหร่ายญี่ปุ่นอีกที ท๊อปด้วยวาซาบิสด ทานคำเดียวหมดเลยครับ

เป็นข้าวปั้นเพียงจานเดียวในคอร์ส Signature Omakase นี้

คอร์สที่ 12 ยังไม่ถึงของหวานนะครับ อย่าเข้าใจผิด เป็น Signature ของทางร้าน คือ Kin Kat จะสั่งเซ็ทไหนก็มีให้ทานครับ

เป็นจานที่เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากขนมสองชนิดคือ “Kit Kat” และ “Monaka” คล้ายๆ กับเวเฟอร์ที่เป็นแป้งประกบไส้

เชฟนำเอาฟัวกราส์ไปปั่นกับนม คอนยัคและมิริน ก่อนจะนำไปเคลือบด้วยช็อคโกแล็ต แล้วประกบด้วยเวเฟอร์กรอบ เสิร์ฟในกล่องอย่างสวยงามและสร้างสรรค์ เวลาทานต้องแกะกล่องออกมาเหมือนแกะกล่องขนมเลยครับ เป็นกิมมิคที่น่ารักมาก

อยากสั่งกลับบ้าน แต่เชฟบอกว่า แต่ละวันของมีน้อยมาก ถ้าอยากทานแบบไม่ให้พลาดต้องโทรมาจองไว้

Unagi Kabayaki เชฟนำปลาไหลญี่ปุ่นไปย่าง เสิร์ฟคู่กับแก่นตะวันพูเร ออนท๊อปด้วยใบไทม์แต่งกลิ่นวานิลลา จะให้ความรู้สึกเหมือนทานของคาวกึ่งหวาน เพื่อเป็นการเคลียร์ก่อนจะทานจานต่อไป ซึ่งจะเรียกว่าจานหลักก็ไม่เชิง

เดินทางมาถึงคอร์สที่ 14 กันแล้วครับ กับ Roasted A4 Wagyu เนื้อวากิวเกรด A4 เสิร์ฟแบบมีเดียมแรร์ ถูกใจสายเนื้อแบบผมมากครับ

เนื้อว่าดีมากแล้ว ซอสและเครื่องเคียงยิ่งอร่อย ประกอบด้วยพูเรย์วางด้านล่าง เชฟนำเอาสาหร่ายญี่ปุ่นหมักเกลือตากแห้งผสมเนยปั่นจนเนียน ส่วนผักย่างมีพริกแดงเหลืองเขียวย่าง หน่อไม้ฝรั่งย่าง เนื้อออนท๊อปอีกด้วยใบหมาล่า

ซอสมี 2 อย่าง คือยูซุโคโชะ นำชิชิโตะเป็นพริกญี่ปุ่น เม็ดเล็กๆ ให้ความเผ็ดกำลังดี เชฟนำไปดองกับน้ำส้มยูซุแล้วปรุงรส ส่วนซอสสีดำเล็กๆ คือ พริกไทยญี่ปุ่นดองหวานจะให้ความชาบนปลายลิ้น เวลาทานให้ทาเนยที่เนื้อ แล้วทานคู่กับซอส ถ้าชอบซอสตัวไหนก็ขอเพิ่มได้ครับ

ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อ สามารถแจ้งก่อนได้ เพราะเชฟจะเปลี่ยนเป็นปลาให้ แทนครับ รับรองว่าอร่อยเหมือนกัน

ก่อนคอร์สของหวาน เชฟจะให้ทานซุปก่อนครับ Tori Chintan with Yuzu เป็นซุปไก่ที่เชฟใช้ไก่ทั้งตัว ตุ๋นเป็นเวลา 20 ชั่วโมง

ด้านในใส่ลูกชิ้นไก่ปรุงรสเข้าไปแบบพอดีคำ และยังได้กลิ่นหอมของยูซุเข้ามาด้วย กลมกล่อมดี เป็นการล้างปากก่อนจะถึงคอร์สสุดท้ายซึ่งเป็นของหวานครับ

คอร์สสุดท้ายเป็นของหวาน Persimmon and Cream เชฟใช้ลูกพลับสด เสิร์ฟมาทั้งลูก และมีแบบดรายใส่เข้ามาด้วย ด้านล่างเป็นมาสคาโปนชีส ออนท๊อปด้วยวานิลลาครีม เวลาทานให้คลุกทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วทาน ในหนึ่งคำจะมีความหอม หวาน มัน อร่อยมากครับ

ส่วนคำสุดท้ายให้เป็นลูกฟิกซ์ที่เชฟนำไป Caramelized ซึ่งหวานมาก จึงต้องทานหลังสุดจะได้ไม่ไปกลบรสชาติของลูกพลับครับ

สงสัยเชฟจะเห็นว่าชอบของหวาน เลยแถมมาให้อีกจานเป็น Berry Cheese Cake รสเปรี้ยวหวานสดชื่นดีครับ ประกอบไปด้วยชีสมูสลูกกลมๆ น่ารักสีสันสดใสและด้านบนเป็นเบอร์รี่ซอร์เบท์ ทานเข้ากันในคำเดียวคืออร่อยมากกกกกกก

ถูกใจสายหวานมากครับจานนี้

คุยกับเชฟภาณุ ก็สนุกมากครับ ได้เทคนิคการทำอาหารญี่ปุ่นเยอะเลย ใครติดตามผมมาตั้งแต่แรกจะเห็นว่า ผมเคยไปลงคอร์สเรียนทำอาหารญี่ปุ่นที่ Le Cordon Bleu มาด้วย เพราะชอบในวัฒนธรรมญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่น

และแน่นอนว่า ตอนนี้ อยากไปญี่ปุ่นมาก 5555

คิดถึงญี่ปุ่น ก็มาทานอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิร่วมสมัย ผ่านคอร์ส Signature Omakase ทั้ง 16 จาน+1 คลายความคิดถึงแดนอาทิตย์อุทัยไปได้บ้างครับ

มาที่ด้านหน้า ก่อนปิดร้าน เห็นป้ายเป็นสัญลักษณ์ใบแปะก๊วย น่ารักดี ถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย เพราะมีความหมายถึงความทนทานและประวัติศาสตร์อันยาวนานจากการถูกโจมตีของญี่ปุ่นที่ฮิโรมิม่า แต่ทว่า ยังมีต้นแปะก๊วยที่อายุยืนที่สุดในโลกคงกระพันมาจนถึงตอนนี้

ถ้าเปรียบเป็นหลัก Kintsugi ก็คือ ชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อไปแม้จะมีร่องรอยเพียงใดก็ตาม แต่ยังต้องดำเนินไปด้วยความฝัน ความหวัง กำลังใจ เพื่อสะท้อนความงามในตัวและจิตใจของเราออกมา

อ่ะ!! จบได้ดี

โทรจองโต๊ะเลยดีกว่า Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey โทร 02-650-8800 ครับ 

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน