#นี่คือโรงแรมที่ก่อนตายคุณต้องไปให้ได้สักครั้ง
ว่ากันว่า … เจ้าของตีเช็คเปล่าให้สถาปนิก
เอาไปสร้างโรงแรมได้ตามจินตนาการ
หายหน้าหายตาไปหลายวัน หนีไปติดเกาะที่เวียดนามมาครับ ตอนนี้เปิดประเทศแล้ว ถ้าใครอยากจะมาเที่ยวที่นี่ กานต์อยากแนะนำโรงแรมหนึ่งที่เกาะฟูกว๊วก (อารมณ์ประมาณสมุยบ้านเรา) เป็นโรงแรมที่ทำให้เก่า และใช้คำว่า “ต้องมา” เพราะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น ก่อนตายควรต้องมาพักสักครั้ง แต่เดี๋ยวก่อน!! ครั้งเดียวก็ยังถ่ายรูปไม่พอ เพราะสวยมากทุกมุม
JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa เป็นโรงแรมที่สร้างจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ Lamarck University ของเวียดนาม แต่รู้มั้ยว่า ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาใหม่ … มันไม่มีจริงหรอกนะ
อ่ะ!! ทุกอย่างคือทำขึ้นมาใหม่หมด ดูจากลายเซ็นต์ก็พอจะรู้ว่ามาจากฝีมือของ “พ่อมดโรงแรม” Bill Bensley (บิล เบนสลี่ย์) ไอดอลผมเอง แต่ความเจ๋งก็คือการทำของใหม่ให้ดูวินเทจ ดูคลาสสิค พรอพแน่นและเหมือนของเก่ามาก มีความเป็นมหาวิทยาลัยในตำนาน แยกเป็นอาคารคณะต่างๆ เหมือนกับการปัดฝุ่นมหาวิทยาลัยร้างให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
แค่ล็อบบี้ก็กว้างราวกับห้องสมุดขนาดใหญ่ แต่ที่ผมชอบคือห้องเกียรติยศของมหาวิทยาลัยซึ่งทำของตกแต่งได้เหมือนของเก่ามาก แทบทุกชิ้นเป็นของสั่งสร้าง เพื่อคุมตีมไม่ให้หลุด ลงดีเทลสุดๆ แถมยังมีสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยด้วย เย็นๆ คนมาวิ่งออกกำลังกายเหมือนเราไปที่สนามจุ๊บยังไงยังงั้น
ห้องพักจะแยกไปตามอาคารของคณะต่างๆ ผมได้เป็นห้อง Emerald Bay View อยู่คณะหอยศาสตร์ ส่วนอาคารอื่นจะเป็นปักษาวิทยา ดาราศาสตร์ มนุษยวิทยา และอื่นๆ กระจายกันไป ส่วนห้องอาหารหลักจะเป็นคณะสถาปัตยกรรม ตั้งอยู่ริมทะเล น่าจะเป็นเด็กถาปัตย์ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
ส่วนดินเนอร์แนะนำให้ทานที่ห้องอาหาร Pink Pearl ตึกสีชมพูดูหรูหราสวยงาม เดินลงบันไดจะเป็นห้องเก็บไวน์ชั้นใต้ดินถ่ายรูปสวยมาก เป็นอีกจุดที่น่าประทับใจ ส่วนสปาจะตกแต่งเป็นคณะเห็ดศึกษา นวดไม่เท่าไรแต่ออกแบบได้สวยสุด และต้องไม่ลืมที่จะไปว่ายน้ำและถ่ายรูปที่ Shell Pool สระรูปหอยเชลล์ริมทะเลเก๋มาก
ขอเล่าต่อด้วยภาพละกันครับ ผมว่าถ้ามีโอกาสควรมาลองสวมบท “นักศึกษา” มาพักที่นี่ให้ได้สักครั้งมันช่างเว่อร์วังอลังการสุดๆ จริงๆ
สระว่ายน้ำรูปหอยเชลล์ในตำนาน เว่อร์วังอลังการมาก โรงแรมนี้มีด้วยกัน 3 สระ เลือกได้ตามใจ
ทางเข้าด้านหน้ารีสอร์ต เหมือนกับทางเข้ามหาวิทยาลัย สร้างมาตั้งแต่ปี 1921 ก็ครบ 100 ปีพอดี เป็นตำนานที่เป็นตุเป็นตะมาก
เจ้าของคือ Sungroup มหาเศรษฐีเวียดนาม ทุ่มทุนสร้างเมการีสอร์ตนี้
รถนำเราเข้ามาถึงที่โถงต้อนรับด้านหน้าตกแต่งด้วยสีเหลืองไข่ตามสไตล์เวียดนามที่มีความผสมผสานศิลปวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศสเข้าไป
Lobby เป็นแบบ Open Air เก๋มาก ฟีลลิ่งของห้องนี้คือห้องสมุด ตกแต่งแบบปาริเชียงเก๋ๆ
ถ้าจะแพลนถ่ายรูป Lobby ควรมีเวลาสักหนึ่งวันเพราะกว้างมาก มีมุมให้ถ่ายรูปหลายจุดมาก แต่ละมุมคือตกแต่งจัดเต็ม โดยเฉพาะมุมน้ำพุถ้วยรางวัล มันเป็นอะไรที่เก๋สุดๆ
จากนั้น พนักงาน (ที่นี่จะเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย) จะพาเรา (ซึ่งเป็นนักศึกษา) ขับรถบัคกี้ไปส่งตามอาคารคณะต่างๆ ซึ่งอาคารห้องพักจะมีด้วยกัน 7 หลังมีวิลล่าด้วยนะ ซึ่งแต่ละอาคารก็จะเป็นคณะต่างกันไป ผมอยู่คณะหอยศาสตร์
ทางเดินภายในรีสอร์ตคือสวยและลงดีเทลสุดๆ แทบไม่มีจุดไหนไม่อยากแวะถ่ายรูปเลย
ถึงห้องเรียน เอ๊ยยยย ห้องพักที่คณะหอยศาสตร์แล้ว หรือจะเรียกคณะหอยศึกษาดี
ด้านหน้าเป็น foyer ประดับประดาภาพศิลปะพร้อมกับความอาร์ตแบบจัดเต็ม ซึ่งจะเป็นส่วนของห้องน้ำ
ผมพักห้อง Emerald Bay View ตกแต่งเน้นสีเขียวมิ้นต์ตัดขาว ดูแปลกตาดี ไม่ค่อยได้เห็นห้องพักโทนสีนี้ เตียงหันข้างให้กับระเบียงซึ่งจะเป็นวิวทะเลลิบๆ มีเดย์เบดแบบแยกเอาไว้นั่งดูทีวีที่อยู่ปลายเตียง
มีความต้อนรับด้วยช็อคโกแล็ตรูปกระเป๋าเดินทาง แต่ยังทำได้ไม่คราฟท์เท่าโรงแรมในไทย
ที่ขาดไม่ได้คือกาแฟแต่ใช้เป็นแคปซูลเนสเพรสโซ่แทน เอ้าาาาา น่าจะเสิร์ฟกาแฟเวียดนามนะ
ห้องนอนหันข้างให้ระเบียง มองออกไปจะเห็นทะเลแต่มีต้นมะพร้าวบังไว้เล็กน้อย สามารถออกไปนั่งเล่นที่ริมระเบียงได้เลยครับ ค่อนข้างกว้าง
สระว่ายน้ำมีด้วยกัน 3 สระครับคือ คือ Sand Pool , Shell Pool และ Sun Pool เลือกว่ายได้เลยตามสบาย แต่ละสระคือสวยรวยด้วยต้นมะพร้าว
หน้าห้องจะเป็นส่วนของห้องน้ำ ซึ่งกว้างมาก และเป็นกระจกใส มาพร้อมกับอ่างอาบน้ำสไตล์วินเทจ
ยอมใจในความกว้างขวางของห้องน้ำเพดานค่อนข้างสูงทำให้ห้องโปร่ง ภายในวางเบาะที่นั่งสีเขียวไว้ในนี้กันเลยทีเดียว ตกแต่งสไตล์เวียดนามโบราณ ชอบโคมไฟที่ห้อยๆ ดูสวยเก๋
Toilet Amenities เป็น Signature ของ JW Marriott ทั่วโลก เสียดาย น่าจะลงดีเทลตรงนี้เพิ่ม จะได้เข้าตีม
“Happiness is not the absence of problems, it’s the ability to deal with them.”
-Steve Maraboli
มาเดินเที่ยวกันดีกว่า ตรงนี้จะเป็นปากทางเข้ามหาวิทยาลัยอีกชั้น ซึ่งเขียนชื่อชัดเจนว่า University Lamarck เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่เน้นงานด้าน “ธรรมชาติวิทยา” ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ Jean Baptise Lamarck นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นคนคิดค้นเรื่องเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต จริงจังมากกก
คณะนกศึกษา ใครชอบนกควรมาพักที่อาคารนี้ 555
ส่วนอาคารอื่นๆ นอกจากห้องพัก ก็จะเป็นพวกร้านค้า สปา ฟิตเนส ห้องประชุม บาร์ คาเฟ่ ร้านอาหาร เป็นชุมชนย่อยๆ เลยแหละ
ถ้วยรางวัลจะเยอะไปไหน จริงๆ จัดแสดงไว้ที่ห้องสมุดด้านหน้า
ชอบห้องนี้มาก เป็นเหมือนหอเกียรติยศ ทำกันแบบจริงจัง มีทำเนียบศิษย์เก่าด้วย
ทางเดินก็จะตกแต่งด้วยของที่สื่อถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เช่น เสื้อสามารถ เหรียญทองนักกีฬา ผลงานที่โดดเด่น บลาๆๆ เหล่านี้คือเป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่ให้ดูเก่านะ ยอมใจในความลงดีเทลของพ่อมด Bill Bensley แล้ว
John Steinbeck นักเขียนรางวัลพูลิซเซอร์และเจ้าของโนเบลสาขาวรรณกรรม ซึ่งน่าจะเป็นการ quote ข้อความมาเพื่อสื่อถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ที่เต็มไปด้วยศิลปะ
มหาวิทยาลัยฝรั่งมักจะมีให้เก็บความทรงจำไว้แล้วส่งไปในอนาคตหรือบางที่ก็ฝัง พอเอาขึ้นมาดูอีกครั้งมันจะเป็นเรื่องราวความทรงจำสมัยเรียนที่นี่
ห้องนี้ก็ชอบ เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสะสมจานโบราณต่างๆ มากมาย
ชอบการลงดีเทลที่สะท้อนถึงความใส่ใจในการออกแบบ เช่นการจัดวางที่นั่ง ให้ได้พักบริเวณอาคารต่างๆ เพราะถ้าเดินทั้งวันคงไม่ไหว มันกว้างมาก มุมถ่ายรูปก็เยอะสะใจ … แต่จะว่าไปมุมนี้ก็ยังนั่งถ่ายรูปได้นะ
ห้องสันทนาการที่ออกแบบเป็นร้านทำโคมเวียดนาม จริงๆ ทีนี่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินเพิ่ม
ชอบความลงดีเทลแม้กระทั่งผนังว่างๆ
มีอาคารนักกีฬาด้วย ดูเก่าๆ หน่อย คลาสสิคดีแน่นอนว่าต้องมีกีฬารักบี้เป็นตัวชูโรง
ฟิตเนสคือเท่มาก เหมือนสโมสรนักกีฬามหาวิทยาลัยสุดๆ
ความจริงจังคือการมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่มาพร้อมลู่วิ่ง ถ้าเติมอัฒจรรย์มาล่ะใช่เลย
เดินถ่ายรูปหมดไปเป็นวัน จนงงไปหมดแล้ว 555 อาคารสไตล์จีนผสมเวียดนามก็มี ซึ่งจะเป็นสปา
สปาที่คณะเห็ดศึกษา ชอบมาก คอนเซปต์มาจาก ความเชื่อที่ว่าเห็ดจะเป็นยารักษาโรคที่ดี
ยอมแล้ว เพดานเป็นกรอบรูปรูปเห็ดนานาพันธุ์ เป็นงานดีไซน์ที่ลงดีเทลสุดๆ
ภายในสปาตกแต่งเก๋ดี แนะนำให้เผื่อเวลาไว้สักนิด นวด 1 ชั่วโมง แต่แวะถ่ายรูปประมาณครึ่งวัน
ลงทะเบียนเสร็จจะเดินขึ้นไปห้องนวดชั้นบน ชอบภาพนี้ดูมีความคลีนและคอนทราสกันของสีเหลือง แดงและขาว
ทางเข้าสปาสวยมาก แวะถ่ายรูปตลอดทาง จนเทอราพิสเริ่มมอง
เรื่องนวดยอมรับเลยว่ายังเป็นรองเทอราพิสไทย แต่เรื่องบรรยากาศและงานดีไซน์ให้เกิน 100
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้และขายในสปาจะเป็นแบรนด์ HARNN ของไทยครับ ซึ่งทำกลิ่นพิเศษให้ JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa โดยเฉพาะ แต่ก็มีกลิ่นอื่นๆ ด้วยครับ
เป็นรีสอร์ตหน้ากว้างที่มองเห็นทะเลแทบทุกมุม แต่เราไม่ได้ลงไปเล่นน้ำทะเลเลยอันนี้ตัวจริง 555 คือชอบมานอนริมทะเล แต่ไม่ชอบเล่นน้ำทะเล
บรรยากาศตอนเย็นๆ คือสบายมาก เดินเล่นถ่ายรูปไปเพลินสุดๆ มีโคมไฟประดับเหมือนเดินเล่นที่ฮอยอัน
ตอนนี้ฉันอยากจะหยุดเวลาไว้ก่อน ยังเดินได้ไม่ทั่วเลย
มื้อค่ำคืนนี้ เราจองห้องอาหาร Pink Pearl เอาไว้ เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสสไตล์ปาริเชียงที่หรูหรา สวยงาม อลังการเป็นที่สุด เป็นห้องอาหารที่เปิดเฉพาะช่วงเย็น เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสเป็นหลัก
Pink Pearl เป็นคฤหาสถ์ 2 ชั้นใกล้ชายหาดของ Madame Pearl เอาไว้รับรองเพื่อนฝูง นางเป็นคนชอบนก ดังนั้น บรรยากาศการตกแต่งที่รวมนกนานาชนิดเอาไว้
ผมชอบโทนสีที่ใช้จะเป็นส้ม เหลือง ชมพู แดง โอ๊ยยเก๋สุดๆ
แค่โคมไฟเพดานกระจกหักเหลี่ยมก็เอาไป 10 เต็ม ไม่รู้ไปสรรหาของตกแต่งพวกนี้มาจากไหน แต่โดยปกติก็มักจะเป็นของสั่งผลิต เฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ทำนองนี้
ที่นี่เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine-Dinningเป็นคอร์ส มีให้เลือกหลากแบบ ราคาไม่แรงมาก
อาหารจะเป็นฝรั่งเศสที่ผสมผสานกลิ่นอายแบบเวียดนามเข้าไป ระหว่างมื้ออาหารจะมีนักร้องโอเปร่ามาขับกล้อมบทเพลงให้เราได้ฟังด้วยครับ ทำให้การรับประทานอาหารมื้อนี้เพลินดี
เป็นร้านอาหารที่ถ่ายรูปสวยมากครับ
ชั้นล่างจะมีบันไดลงไปเป็นห้องเก็บไวน์ ซึ่งที่เห็นริมฝาผนังคือช่องเก็บไวน์ทั้งนั้น
มีเล้าจน์ที่นั่งสำหรับเทสต์ไวน์ สังสรรค์กัน ภายในตกแต่งได้สวยมาก
สายลม ชายหาด ทะเล และแสงแดด
เช้านี้เราทานอาหารกันที่คณะสถาปัตยกรรม ชื่อห้องอาหาร Tempus Fugit
ที่นี่มีห้องอาหารหลายห้องมากครับ แต่ที่ ห้องอาหาร Tempus Fugit ก็จะเป็นห้องอาหารหลักที่เปิดให้บริการทั้งวัน
ชอบการตกแต่งของห้องอาหารนี้ท่ีเป็นตัวแทนคณะสถาปัตยกรรม มันดูเท่ดี กับการเลือกใช้สีน้ำเงินตัดเหลือง
ไลน์อาหารคือแน่นมาก ทั้งยุโรป เอเชีย เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น บางสเตชั่นก็ทำกันสดๆ เช่นเฝอ
ปาท่องโก๋เวียดนาม
สเตชั่นของหวานและผลไม้ จริงๆ ทานควบไปถึงสายๆ เอาให้อิ่มเลยเที่ยงกันไปได้เลย เพราะอาหารเยอะจริงจัง
อ่ะ สั่งมาเท่าที่กินก่อน แต่ต้องไม่ลืมสั่งกาแฟเวียดนามมาลองนะ
“There is nothing better than a proper breakfast.”
-Sophie Dahl
กลางวันลองเปลี่ยนบรรยากาศมาทานที่ ห้องอาหาร Red Rum เป็นห้องอาหารโอเพ่นแอร์ริมทะเล เน้นเสิร์ฟเมนู Seafood Grill วัตถุดิบคือสดดีมาก เพราะมาจากแหล่งวัตถุดิบ แต่ราคาก็จะสูงกว่าร้านอาหารด้านนอกพอสมควร
รีสอร์ตมีคาเฟ่ให้นั่งคลายร้อนด้วยนะ เน้นอาหารไลท์มีลและเครื่องดื่ม ขนมต่างๆ
มื้อกลางวันถ้าใครอยากจะทานเบาๆ ผมว่าเรามาแจมที่คาเฟ่ได้ฮะ
เดินเล่นมาจนถึงช่วงใกล้หน้าหาดบรรยากาศก็จะโล่งๆ หน่อย
JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa ตั้งอยู่บริเวณ Khem Beach ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ เป็นจุดที่ค่อนข้างเงียบสงบและไม่ค่อยมีคลื่นแรงนัก สามารถมาเดินเล่นริมชายหาดถ่ายรูปได้สบายเลย
บรรยากาศ Vibes มาก มีนักท่องเที่ยวมานอนอาบแดดทั้งวัน
JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa เป็นอีกรีสอร์ตที่ชอบมาก และอยากไปอีกครั้ง เพราะยังถ่ายรูปได้ไม่ครบ บนเนื้อที่ 50 ไร่ริมทะเล ถือเป็นรีสอร์ตที่ใหญ่มากและคอนเซปต์แน่น ดีเทลดี เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับใครที่มองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจไม่ไกลจากเมืองไทยมากนักครับ