JAPAN ROAD TRIP
เช่ารถขับ เช่าบ้านอยู่ ลองใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นดูสักครั้ง
___________________________________________________
“ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ไปเสียแล้วครับ
อาจจะด้วยเพราะความสะดวกสบายในการเดินทาง
ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ของคนที่เดินทางมาแล้วหลายครั้ง
จึงต้องการมองหาจุดหมายปลายทางที่ไม่ซ้ำใคร
ยังมีความสวยงามอยู่มาก และน่าค้นหา
สามารถรื่นรมย์กับการเดินทางได้เยอะกว่า
ควรค่าแก่การขับรถเที่ยว
.
อันที่จริง 2 ปีหลังนี้ ทุกทริปญี่ปุ่นของกานต์ เน้นขับรถเที่ยว
สลับกับการนั่งรถไฟไปยังหัวเมืองและเช่ารถขับต่ออยู่ดีครับ
.
อย่างทริปนี้ก็เช่นกัน หนักเข้าถึงกับเช่าบ้านอยู่
ลองใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว!!
ก็สนุกไปอีกแบบครับ 555
.
มีบางจุดหมายที่เคยไปแล้วและกลับไปซ้ำ แต่หากจะเดินทางโดยรถไฟเหมือนก่อนหน้านี้ก็ทำได้ แต่ใช้เวลานานกว่าเดิมมาก สู้ขับรถเที่ยวดีกว่าครับ ประหยัดเวลา
.
โดยทริปนี้มีแพลนไว้ว่าจะขับรถเที่ยวเป็นวงกลมในเมืองต่างๆ ใช้เวลาราวๆ 12 วันรวมการอยู่ในโตเกียว ดังนี้
.
Tokyo : ขึ้นลงสนามบินที่นี่ มีเวลาให้ช้อปปิ้ง Outlet
Ibaraki : เที่ยวสวนดอกไม้ นอนโรงแรมออนเซ็นติดทะเล
Iwaki : เล่นสวนน้ำ แช่ออนเซ็น นอนโรงแรมสไตล์ฮาวาย
Fukushima : นอนเรียวกังบ้านเพื่อน เที่ยวเมืองโบราณ
Gunma : แช่ออนเซ็นอายุ 90 ปี ที่มีน้ำแร่คุณภาพดีที่สุด
Toshigi : เที่ยวโซนนิกโก้ เมืองมรดกโลก
Yamanashi : เช่าบ้านญี่ปุ่นวิวฟูจิ ถ่ายรูปทะเลสาบคาวากูชิ
Shizuoka : เมืองชาเขียว บ้านเกิดฟูจิ โรงแรมวิวเลิศมาก
Kanagawa : ไหว้พระใหญ่ก่อนกลับเข้าไปนอนในโตเกียว
.
ทริปนี้บินกับ Japan Airlines สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น กานต์จองตั๋วผ่าน Traveloka ถ้าจังหวะมีโปรฯ มาก็ได้ราคาที่ดีมาก อาจจะต้องหมั่นเข้าไปเช็คราคา หรือว่า เข้าไปตั้งแจ้งเตือนราคาไว้ล่วงหน้าในฟีเจอร์ “Price Alerts” ก็ทำได้โดยง่ายและสะดวกดี
.
อ่านรีวิว ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น 12 วันฉบับเต็ม คลิกที่นี่ครับ >> https://www.kantjournal.com/japan-road-trip/
.
#KANT#KΔNT#leisuretravel#hotellifestyle
#journalisttravel#luxurytravel
#ท่องเที่ยวพักผ่อน#ชอบนอนโรงแรมสวย
—
Emma Chase เคยเขียนไว้ว่า
“Because the greatest part of a road trip isn’t arriving at your destination. It’s all the wild stuff that happens along the way.”
ความหมายก็ตรงกับคอนเซปต์ของกานต์ครับ ในการเดินทางแต่ละทริปนั้น ไม่ใด้กินความเพียงแค่การมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่เรื่องราวระหว่างการเดินทางนั้นก็สำคัญ
ซึ่งการขับรถเที่ยวญี่ปุ่น ดูจะตอบโจทย์การเที่ยวแบบ Leisure Travel ของเรามากที่สุดครับ
ไฮไลท์ของเรา คือการขับรถไปเที่ยวเมืองที่อยู่รอบๆ ภูเขาไฟฟูจิ แบรนด์แอมบาสเดอร์ของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง เมืองที่เป็นบ้านเกิดของไฟฟูจิด้วยครับ
ใกล้ชิดมากๆ เหมือนในรูปนี้
แอบไปเช่าบ้านอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
ทริปนี้ผมเลือกบินกับสายการบินแจแปน แอร์ไลน์ (Japan Airlines หรือ JAL) สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น เพราะได้ข่าวว่าที่นั่งชั้นธุรกิจนั่งสบายและสวยมาก เป็นที่นั่งแบบใหม่เรียกว่า SkySuite III ซึ่งได้รางวัลรับ Good Design Award 2016 เลยขอลองซะหน่อยครับ
ปัจจุบัน ถ้าจะไปลงที่โตเกียว (TYO) ผมมักจะเลือกลงสนามบินฮาเนดะ (HND) เพราะใกล้เมืองกว่า แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ ถ้าเปิด app Traveloka แล้วเจอไฟล์ทลงนาริตะ (NRT) ราคาดีกว่า ผมก็เลือกเหมือนกัน ดังนั้นต้องหมั่นเช็คครับ หรือเข้าไปตั้งแจ้งเตือนราคาไว้ล่วงหน้าในฟีเจอร์ “Price Alerts” ก็ทำได้โดยง่ายและสะดวกดีครับ
สิ่งที่ชอบอีกอย่างของการนั่งชั้นธุรกิจ Japan Airlines เพราะมี Sakura Lounge ไว้ให้ใช้บริการครับ
ถามว่าแตกต่างจาก Bussiness Class Lounge สายการบินอื่นอย่างไร ความเห็นส่วนตัวคือชอบในความเป็นญี่ปุ่นและจิตวิญญาณการให้บริการแบบ “โอโมเตะนาชิ”
แถมที่นี่ยังกว้างโล่งสบาย มีบริการอาหารเครื่องดื่ม มีห้องอาบน้ำ
แต่ที่สำคัญคือ “ข้าวแกงกะหรี่” ของที่นี่ “โออิชิ!!” (อร่อยมาก) สมแล้วกับที่เป็นเมนู Signature ของ Sakura Lounge ครับ ทานไปชมเครื่องบินไปสบายใจ
ส่วนตัวผมชอบบินกลางวัน เพราะปกตินั่งเครื่องบินมักจะไม่ค่อยง่วง ถ้าบินกลางวันก็จะมีเวลาทำงานบนเครื่องได้ ที่ชอบอีกอย่างเพราะ JAL มี WIFI ให้ซื้อเล่นบนเครื่องได้แบบ Unlimited ประมาณ 18$ ครับ ถือว่าไม่แพงเลย
ห้องโดยสารออกแบบให้ดูกว้างขวางและโปร่งโล่ง ภายในชั้น Business Class แบบ Sky Suite III การดีไซน์ผังที่นั่งที่เก๋มาก จัดเรียงแถวแบบ 1-2-1 ทำให้เข้า-ออกจากที่นั่งได้อย่างสะดวกสบาย ไม่รบกวนที่นั่งข้างๆ ออกแบบได้สวยงามและหรูหรามากครับ
ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็มาถึงญี่ปุ่นครับ ตามแพลนก็คือหลังจากรับกระเป๋าเสร็จจะนั่งรถของโรงแรมที่มารับที่สนามบินก่อนจะเริ่มต้น Road Trip ของเราในเช้าวันพรุ่งนี้
หลังจากรับรถจากร้านเช่า เราก็เริ่มต้นทริป “ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น” ด้วยการมุ่งหน้าไปจังหวัดอิบารากิ แต่ก่อนที่จะไปเช้านี้ของแว๊บไป Outlet ใกล้ๆ สนามบินก่อนจะได้ไม่ต้องย้อนมา
จากนั้นค่อยไปชมสวน “ฮิตาชิ ซีไซด์ พาร์ค” (Hitachi Seaside Park) ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกอำเภอ Hitachinaka จังหวัด Ibaraki เป็นสวนริมทะเลขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเสียงด้านทุ่งดอกไม้ที่สวยงามอลังการมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมีไฮไลท์คือดอกไม้สีสันสวยงามตลอดทั้ง 4 ฤดู โดยในช่วงที่ไปจะเป็นปลายฤดูของ Kochia ซึ่งเป็นไม้ทรงพุ่มค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นแดงน้ำตาล มีประมาณ 32,000 ต้น เสียค่าเข้าชมสวนประมาณ 500 เยน
จากนั้น ขับรถไปเข้าที่พัก ซึ่งจองมาตามโฆษณาตัวนี้ที่เคยเห็น
ซึ่งของจริงก็ไม่ได้แย่ แต่ภายในค่อนข้างเก่าตามสไตล์โรงแรมญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการมานาน ซึ่งก็ไม่ได้สวยอย่างที่คิด 555 ยกเว้นชั้น 7 ซึ่งเป็นออนเซ็นทั้งชั้น จะสวยมาก แต่เสียดายไม่สามารถถ่ายรูปได้นะครับ เลยนำภาพจากเว็ปไซต์ของโรงแรมมาให้ได้ชมกัน จองห้องพักได้ที่ https://www.isohara.co.jp
ที่ชอบที่สุดคือรูปนี้ เป็นห้องอาหารเช้าที่เห็นวิวทะเล ท่ามกลางบรรยากาศของคนญี่ปุ่นล้วนๆ ไม่พบนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นเลยยกเว้นเรา อาจจะเป็นเพราะ Ibaraki ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก จึงไม่ค่อยมีใครนิยมมาเที่ยวและพักที่นี่กันสักเท่าไร
หรืออาจจะเป็นเพราะจังหวัดนี้อยู่ใกล้กับโตเกียว ชนิดที่ไปเที่ยวเช้าไปเย็นกลับได้เลย จึงไม่ค่อยนิยมพักค้างกัน
จากนั้น ไปเที่ยวเมืองติดทะเล “อิวากิ” มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์คือ “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Aquamarine Fukushima” จัดแสดงพันธุ์ปลากว่า 600 สายพันธุ์ ในบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติอย่างมาก เราสามารถชมเหล่าฝูงปลาและสัตว์ทะเลทั้งหลาย แหวกว่ายอย่างมีความสุขในแท๊งค์น้ำขนาดใหญ่ ได้ดูวิถีชีวิตของสัตว์ต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง
ดูเหมือนว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะได้รับความนิยมจากเด็กๆ ชาวญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษครับ คนเยอะมาก ขนาดว่ามีหลายโซน แต่บางจุดก็ยังถือว่าอยู่ในระดับเบียด ทั้งยังมีโซนแหล่งเรียนรู้ของเด็ก ให้ได้มาทำ Workshop กับกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่จัดขึ้นด้วย
ในระยะเดินได้ ในระยะตาเห็นจากอควาเรียม เป็นตลาดปลาชื่อน่ารัก “La La Mew” ตลาดขายอาหารทะเลที่อยู่ติดทะเลชื่อดังของฟุกุชิมะ มีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่าง จะเน้นขายอาหารทะเลสดๆ แบบซื้อกลับไปปรุงที่บ้าน หรือบางร้านก็ปิ้งย่างกันสดๆ มีโต๊ะเล็กๆ แบ่งปันให้นั่ง
สั่งล็อปสเตอร์มากินกันดีกว่า ตัวละ 5,000-9,000 เยน โดยประมาณ ราคามิตรภาพแถมยังสด หวาน ฉ่ำ ครับ
อิวากิเมืองติดทะเลที่เคยได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ถล่มฟุกุชิมะเมื่อปี 2011 พอสมควรครับ ตอนนั้น ทุกคนโศกเศร้าเสียใจกันเป็นอย่างมาก จนทำให้ความเป็นอยู่ซบเซา สถานที่ท่องเที่ยวและโรงแรมต่างเงียบเหงา แต่ก็ได้เหล่านางฟ้า “ฮูล่าเกิร์ล” (Hula Girls) จากโรงแรม Spa Resort Hawaiians กลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่ ที่เป็นจุดหมายปลายทางและที่พักของเราในคืนนี้ครับ
ออนเซ็นสวยมากกกก
จากนั้น ขับรถต่อไปที่ฟุกุชิมะ เที่ยว “หมู่บ้านโบราณ โออุจิ จูคุ (Ouchi-Juku)” เป็นหมู่บ้านโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (ประมาณปี 1640) เพื่อใช้เป็นหมู่บ้านพักแรม
ในอดีตที่นี่เป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นไอสึ (Aizu) และแคว้นชิโมซึเกะโนะกุนิ (Shimotsuke no Kuni) ซึ่งอยู่ห่างกันราว 130 กิโลเมตร จึงต้องมีหมู่บ้านสำหรับพักแรมระหว่างทาง
ปัจจุบันกลายสภาพมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ
จากหมู่บ้านโบราณโออุจิ จูคุ ใช้เวลาขับรถราว 45 นาที ก็จะถึงที่เมืองไอซึ วากามัตสึ (Aizu Wakamatsu) และจะพักค้างคืนที่นี่ เพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าของผม Junko ที่เปิดบ้านตัวเองเป็นร้านอาหารและเป็นเรียวกังเล็กๆ ขนาด 6 ห้องนอน สามารถนอนได้ห้องละ 1-6 คนเลยทีเดียวครับ
แนะนำว่า ให้เลือกเป็น Package อาหารค่ำด้วยเพราะว่าถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ (ก็แน่ล่ะ เขาเปิดร้านอาหารด้วย แขกเต็มทุกวัน เพราะที่นี่ทำอาหารอร่อยมากกกกก) อาหารที่เสิร์ฟจะเป็นลักษณะของอาหารไคเซกิเสิร์ฟทีละจาน เน้นผัก ปลา คนญี่ปุ่นดั้งเดิม นิยมทานอาหารในท้องถิ่นที่ผลิดอกออกผลตามฤดูกาล เพราะเชื่อว่า การทานอาหารตามฤดูกาลจะส่งผลดีต่อสุขภาพ และยังเป็นเรื่องของคุณค่าทางวัฒนธรรมด้วย
วัฒนธรรมการรับประทานอาหารตามฤดูกาลจึงเป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นด้วยครับ
ส่วนใครที่อยากจะเลือกทานซาชิมิเนื้อม้า สามารถแจ้งล่วงหน้าได้ครับ
“ทาคารากาวะ ออนเซ็น” (Takaragawa Onsen) คือจุดหมายปลายทางต่อไป
แนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ ในการเที่ยว Takaragawa Onsen, Gunma, Japan ออนเซ็นโบราณ ใช้การขับรถไปเองจะค่อนข้างสะดวกกว่าครับ เพราะอยู่ไกลและลึก แต่สวยมาก
ที่นี่เป็นเรียวกังพร้อมออนเซ็นชื่อดัง อายุเกือบ 100 ปี ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก แถมยังจองยากมาก มีด้วยกัน 3 อาคาร ต้องระบุในการจองให้ถูกต้องนะครับ
มีต้นน้ำจาก Tonaegawa กระแสน้ำร้อนธรรมชาติที่ไหลผ่านเรียวกัง Osenkaku ให้เราได้แช่กายสบายใจใน 4 บ่อ outdoor ท่ามกลางบรรยากาศของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่มีความงดงามราวกับภาพวาด และที่สำคัญ จะได้ประโยชน์ด้านสุขภาพจากน้ำแร่และผิวพรรณที่ดีจากออนเซ็นแห่งนี้อีกด้วย
จากออนเซ็นชื่อดังเราขับรถลัดเลาะไปตามหมู่บ้านอาจจะมีเลียบภูเขาบ้าง เพื่อที่จะเดินทางไปยังนิกโก้ (Nikko) มรดกโลกอีกแห่งของญี่ปุ่นครับ นิกโก้ เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดโทจิกิ (Tochigi) ระยะทางถ้าอ้อมไปขึ้นทางด่วนจะมีอยู่ที่ราวๆ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาในการขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงครับ น่าจะทานข้าวเลยเที่ยงไปเล็กน้อย
นิกโก้ มีที่เที่ยวเด่นๆ คือ ศาลเจ้าโทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) น้ำตกเคะงอน (Kegon Falls) และทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ย่านนี้ถือเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมมาก จากนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่น
ส่วนหากใครมองหาที่พักเมืองนิกโก้นั้น แนะนำให้ขับรถออกมาอีกราว 10 กิโลเมตรจะเป็นเมืองคินุกาวะออนเซ็น ที่นี่เป็นเมืองออนเซ็นตากอากาศที่มีโรงแรมสวยๆ ให้เลือกพักเยอะมากครับ แต่ชื่ออาจจะงงๆ ซ้ำๆ กันต้องจำให้ดีว่า โรงแรมคินุกาวะ … แล้วต่อด้วยอะไร
จากนิกโก้ ขับรถต่อมายังฟูจิ ยามานาชิ ระยะทางราว 220 กิโลเมตร แต่ทางดี มีทางด่วน ขึ้นได้เลยครับ สะดวกดี พอทำเวลาได้บ้าง ตั้งใจว่าจะพักที่ “Villas Fuji” สัก 2 คืน เพราะชอบมาก อยากลองใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นดู
ที่นี่บ้านพักตากอากาศให้เช่า คืนละ 9,000 บาทโดยประมาณ ชั้นล่างเป็นห้องนอน มี 3 ห้อง (2 ห้องเป็นแบบเตียงและอีก 1 ห้องเป็นแบบฟูก) นอนรวมกันสัก 10 คนยังได้สบายๆ หารๆ กันแล้วตกคืนละไม่เท่าไร ถือว่าถูกพอสมควร
ที่สำคัญ คือมีระเบียงที่มองเห็นภูเขาไฟฟูจิในทุกเช้าที่เรานั่งจิบกาแฟและคุยกันอย่างออกอรรถรส ท่ามกลางบรรยากาศที่รายล้อมด้วยบ้านของคนญี่ปุ่นทั่วไป ทำให้อยากลองใช้ชีวิตแบบ Japanese ดูสัก 2-3 วัน อิอิ
เช้านี้ เชฟกานต์ ตื่นมาเข้าครัว ทำอาหารเช้าแบบง่ายๆ เป็นข้าวต้มทะเลครับ ใช้ข้าวญี่ปุ่นต้ม ทำให้ต้องมีการแยกข้าวกับซุปออกจากกัน มิเช่นนั้นจะอืดมาก
นอกจากนี้ ยังมีสลัด ไข่ต้ม ผลไม้ ขนมปังและโยเกิร์ต เตรียมไว้เรียบร้อยครับ ครบถ้วนกระบวนความได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวแบบนี้มาก คือเราอาจจะไม่ต้องตะบี้ตะบันเที่ยวจนรู้สึกเหนื่อยเกินไป ในทางกลับกันเราสามารถใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นที่เราไปพักอาศัยอยู่ด้วยได้ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์ใหม่จากในพื้นที่นั้น กลับมาเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว
ในขณะเดียวกันบางวันเราก็ออกไปเที่ยวข้างนอกตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ บ้าง เพื่อเปิดรับสีสันใหม่ใหม่ให้กับชีวิตอย่างเช่นในโซนฟูจินี้ก็มีหลายสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ
ไฮไลท์คงหนีไม่พ้นทะเลสาบทั้ง 5 ที่ราบล้อมรอบฟูจิซังอยู่ราวกับองครักษ์ ได้แก่ คาวากูจิโกะ(Kawaguchiko), ไซโกะ(Saiko), ยามานาคาโกะ(Yamanakako), โชจิโกะ(Shojiko) และ โมโตซูโกะ(Motosuko) ซึ่งทะเลสาบแต่ละแห่งสามารถขับรถเที่ยวได้โดยง่าย และไม่ว่าจะเป็นจุดใด ก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของฟูจิในระยะใกล้ กลายเป็นภาพแบ๊กกราวด์ที่สวยงามน่าประทับใจยิ่งนัก
คาวากูจิโกะ เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 5 แห่ง แต่กลับได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากที่สุด ทำให้บริเวณโดยรอบๆ จะมีโรงแรม รีสอร์ท พื้นที่ตั้งแคมป์ จุดตกปลา ออนเซน และพิพิธภัณฑ์ ให้เยี่ยมชมและเข้าพักเป็นจำนวนมาก
จุดถ่ายรูปสุดฮิตที่เห็นเจดีย์แดง ภูเขาไฟฟูจิ และใบไม้เปลี่ยนสี
จากเจดีย์แดงเราขับรถไปหมู่บ้านน้ำใสใช้เวลาประมาณ 20 นาทีครับ
หมู่บ้านน้ำใส (ชื่อในวงการที่คนไทยเรียก) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า หมู่บ้าน “โอชิโนะฮักไค” กลายเป็นได้รับอานิสงค์ขึ้นเป็นมรดกโลกร่วมกับฟูจิไปด้วย เพราะอยู่ไม่ห่างกัน สามารถมองเห็นฟูจิจากหมู่บ้านน้ำใสในระยะใกล้ชิด
จากคาวากูจิโกะ ขับรถมาเที่ยวที่ชิซูโอกะ ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตรเท่านั้น บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยไม้ใบเปลี่ยนสี ที่กำลังเตรียมร่วงโรย เป็นสีแดง เหลือง น้ำตาล สลับกันไป ก่อนที่ปลายทางจะเต็มไปด้วยสีเขียวของไร่ชา
ระหว่างทางมีจุดจอดพักรถ เพื่อชมวิวและถ่ายรูป
จุดหมายแรกที่เราจะไปคือ MT. FUJI WORLD HERITAGE CENTRE หรือ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความรู้จักกับตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
นอกจากจะมีมุมถ่ายรูปสวยๆ หลายมุมแล้ว ภายในยังได้มีการคิดคอนเซปต์ให้เรากลายเป็นนักปีนเขาที่กำลังร่วมเดินขึ้นไปพิชิตยอดของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดฮิตของนักปีนเขาจากทั่วโลก โดยระหว่างทางมีการจำลองบรรยากาศของภูเขาไฟฟูจิชั้นต่างๆ ฉายให้ดู มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อที่คนญี่ปุ่นดั้งเดิมนับถือ คือเทพแห่งธรรมชาติ
จากนั้นก็ให้เดินวนเป็นวงกลมขึ้นไปจนกระทั่งถึงชั้นบนสุดซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ … นั่นก็คือวิวของภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามอลังการเวอร์วังมากกก
จากนั้น เราก็จะไปขึ้นโรปเวย์ซึ่งจะลงไปยังด้านล่าง เป็นการย่นระยะทางจากการเดินลงและเดินขึ้นบันไดหิน 1,159 ขั้น เพื่อไปเที่ยวยัง “ศาลเจ้า Kunozan Toshogu” ระหว่างนั่งกระเช้า จะมองเห็นวิวชายทะเลอ่าวซุรุกะ จากมุมสูง
“ศาลเจ้าคุโนะซัง โทชูกุ” (Kunozan Toshogu) ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของชาติ เป็นที่บวงสรวงเซ่นไหว้โชกุนโทคุกาวะ อิเอะยะสุ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งระบบโชกุน อีกทั้งยังเป็นโชกุนรุ่นแรก ที่นี่ออกแบบด้วยสีแดงสลับทอง ประกอบกับผลงานแกะสลักอันสวยงาม รวมถึงภาพวาดบนประตูโรมอนด้วย มีสถาปัตยกรรมคล้ายกับที่นิกโก้ครับ ภายในศาลเจ้ามี “พิพิธภัณฑ์ Kunozan Toshogu” ซึ่งเก็บรักษาและจัดแสดงวัตถุทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น ชุดเกราะและดาบที่เกี่ยวข้องกับสงคราม Sekigahara อันมีชื่อเสียงของโชกุน Tokugawa Ieyasu ซึ่งตามตำนานระบุว่า ท่านปรารถนาจะให้นำร่างของท่านมาฝังไว้ที่นี่
ไม่ไกลจากเนินเขาใช้เวลาเราราว 4 นาทีก็จะไปถึงที่โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ครับมีชื่อว่า 日本平ホテル(Nippondaira Hotel)~風景美術館~ มีจุดเด่นที่มาพร้อมวิวฟุจิซังที่มองเห็นได้จากห้องอาหารและห้องพัก โดยจะเห็นเป็นภาพของภูเขาไฟฟูจิ ที่เป็นฉากหลัง
โรงแรมนี้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นมุมถ่ายภาพฟูจิซังยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่ง นักถ่ายภาพมากมาย ขึ้นไปบนเขาเพื่อเก็บภาพที่ดีที่สุดของอ่าวซุรุกะ ท่าเรือชิมิสุ พร้อมกับทิวทัศน์เมืองยามค่ำคืนที่มีแสงไฟประดับ ท่ามกลางการโอบล้อมของฟูจิซัง
การออกแบบตกแต่งภายในทำออกมาได้อย่างเรียบหรู ตามสไตล์โรงแรม 5 ดาวของญี่ปุ่นในยุคหลังที่เพิ่มความโมเดิร์นเข้ามาในงานออกแบบ ทำให้โรงแรม หรืออาคารต่างๆ มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามมาตรฐานของโรงแรมชั้นนำ จัดวางเลย์เอ้าท์ได้อย่างลงตัว ห้องไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กเกินไป ต่างจากโรงแรมในเมืองในระยะหลังของญี่ปุ่นที่เน้นทำห้องแคบไว้ก่อน
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เรายังไม่รีบเช็คเอ้าท์ครับ เพราะอยากจะนั่งเล่น เป็นเพื่อนกับฟูจิให้หายคิดถึง ก่อนที่ช่วงใกล้เที่ยง เราถึงจะออกจากโรงแรม เพื่อเข้าโตเกียว แต่จะแวะเมือง Kanagawa เพื่อไปไหว้พระก่อนที่องค์พระใหญ่คามาคุระ (Kamakura)
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่นี้ มีนามว่า Daibutsu (ไดบุทสึ) ซึ่งมีชื่อเต็มว่า พระอมิตตาพุทธ นิโอยุราอิ (Amida Nyoyurai) ประดิษฐานอยู่ในวัด Kotokuin แห่งนี้มาอย่างยาวนาน มีความสูงขององค์พระมีขนาด 11.312 เมตร น้ำหนักราว 122 ตัน สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1243 โดยองค์พระจะมีลักษณะเป็นสีเขียวเนื่องจากถูกสร้างขึ้นด้วยสำริดและทองแดง ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับสภาพอากาศอย่าง ฝนและหิมะจนกลายเป็นสีเขียว
จากนั้น เราขับรถต่อกันไปยังในโตเกียว โดยจะพักที่โรงแรม Shinagawa Prince Hotel เป็นโรงแรมที่มีขนาดใหญ่มาก ผู้คนพลุกพล่าน ค่อนข้างวุ่นวาย ด้านในมีด้วยกัน 4 ตึก ผมเลือกพักอาคารหลัก และเลือกเป็นห้องชั้นสูง โดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อแลกกับวิวในมุมสูงครับ
สิ่งที่ชอบอีกอย่าง และทำให้ตัดสินใจจองโรงแรมนี้ คือห้องอาหารเย็นครับ ชื่อว่า LUXE Dining Kanupa เป็นห้องอาหารแบบบุฟเฟต์ที่ใหญ่มาก ราวกับคอนเสิร์ตฮอลล์ มีโต๊ะคาดด้วยสายตาน่าจะเกินกว่า 500 โต๊ะ ราคาก็สูงพอสมควรรับ ประมาณ 6,000 เยนต่อท่าน โดยมีไฮไลท์คือบุฟเฟต์ขาปู เนื้อย่าง ชาบูหมู และที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้จริงๆ ก็คือขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเค้ก ทีรามิสุ ทาร์ตถั่วพีแคน ฯลฯ ครับ
โดยสรุปแล้ว ญี่ปุ่นเป็นเมืองที่เที่ยวง่าย ยิ่งถ้าได้ขับรถออกไปตามนอกเมือง ดูบรรยากาศ ธรรมชาติ ผู้คน ยิ่งมีความสุขครับ ทริป ขับรถเที่ยวญี่ปุ่นนี้จึงเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานแต่คุ้มค่า เพื่อแลกกับคำว่า “ประสบการณ์” ที่ไม่มีขายตามห้างทั่วไป หากเกิดจากการลงมือทำ ลงแรงเที่ยวด้วยตัวเองครับ