INE – KYOTO – JAPAN
ขับรถเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
________________________________________________
เมื่อแรกเห็นภาพบ้านเรือนขนาดกะทัดรัดตามสไตล์ญี่ปุ่น เรียงรายอยู่ขอบอ่าว ด้านหลังโอบล้อมด้วยภูเขาเขียว ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งก็พบว่า หมู่บ้านนี้ชื่อ “อิเนะ” (Ine-cho)
.
อิเนะ เป็นชุมชนเล็กๆ อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโต มีคนอยู่จำนวนหลักพัน ปลูกบ้านเรียงรายเลียบกันไปกับแนวเส้นโค้งที่ทอดยาวของอ่าวอิเนะ (Ine Bay) ซึ่งเรียกว่า “ฟุนายะ” (Funaya)
.
มีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นท่าจอดเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรม แบบดั้งเดิมในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถออกเรือจากบ้านไปหาปลาได้สะดวกรวดเร็ว
.
อิเนะอยู่ห่างจากเกียวโต ประมาณ 80 กิโลเมตร หากขับรถมาเองราวๆ 1 ชั่วโมงเศษ แต่หากมาด้วยรถไฟไปต่อรถโดยสารประจำทางเข้าหมู่บ้าน จะใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง
.
ญี่ปุ่นทริปนี้ กานต์จึงตั้งหน้า ตั้งตาและตั้งใจมาเที่ยวที่หมู่บ้านอิเนะ แพลนว่าจะพักที่นี่สัก 3 คืน ก่อนจะกลับเข้าเมืองเกียวโต
.
กานต์คิดว่า เช่ารถขับมาเองน่าจะสะดวกและเหนื่อยน้อยกว่าลากกระเป๋า เข้ารถไฟไปต่อรถบัส จึงแพลนว่าจะเช่าขับรถมา เพื่อที่ว่าจะได้ชมบรรยากาศ 2 ข้างทาง และแวะจอดถ่ายรูปได้สะดวก
.
“เสน่ห์ของการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นมันอยู่ตรงนี้แหละ”
.
ใครที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมแนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางที่ครอบคลุมเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุไว้ในวงเงินสูงๆ ไว้ก่อน
.
ตั้งแต่ย้ายค่ายมาเป็นลูกค้าของ AIS ทั้งระบบ ผมก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่า ตอนนี้มีบริการใหม่ “AIS Insurance Service” หรือประกันภัยขายกับเขาด้วย
.
ไหนๆ ก็ต้องเดินทางไปทริปเกียวโต ผมจึงลองซื้อประกันการเดินทางจาก AIS Insurance Service ด้วยเสียเลย ทริปนี้จึงขับรถเที่ยวทั่วเกียวโตได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล
.
ถ้าพร้อมแล้วตามผมไปเที่ยวหมู่บ้านอิเนะ และเดินเล่นเกียวโตด้วยกันนะครับ
/ the journalist /
LEISURE TRAVEL x HOTEL LIFESTYLE
fanpage : https://www.facebook.com/kantjournal
website : https://www.kantjournal.com
twitter : https://twitter.com/kantjournal
instagram : https://www.instagram.com/kantjournal
soundcloud : https://www.soundcloud.com/kantjournal
podbean : https://www.podbean.com/kantjournal
#KANT#KΔNT#leisuretravel#hotellifestyle
#journalisttravel#luxurytravel
#ท่องเที่ยวพักผ่อน#ชอบนอนโรงแรมสวย
#อุ่นใจทุกทริป#ซื้อง่ายจ่ายผ่านมือถือ
—
INE หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น เป็น Unseen in Japan แห่งใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมครับ
ที่เห็นบ้านหลังเล็กๆ เรียงรายเลียบกันไปกับแนวเส้นโค้งที่ทอดยาวของอ่าวอิเนะ นี้ เรียกว่า “ฟุนายะ” (Funaya) ครับ
มีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นท่าจอดเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรม แบบดั้งเดิมในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถออกเรือจากบ้านไปหาปลาได้สะดวกรวดเร็ว
ตอนนี้มีฟุนายะหลายหลัง ปรับปรุงเป็นที่พักและร้านอาหาร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวด้วยครับ
ทริปนี้เป็น Road Trip ขับรถเที่ยวโซนคันไซ จากสนามบิน ขับเลียบเกียวโต เบี่ยงออกไปยังหมู่บ้านชาวประมงอิเนะ ใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง
ส่วนขากลับ แวะเที่ยวหมู่บ้านโบราณ Kayabuki No Sato ก่อนจะเข้าพักในโรงแรม KYOTO YURA HOTEL MGallery – 京都悠洛ホテル Mギャラリー ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่ในเครือ Accor ครับ
หลายคนคิดว่า “ขับรถเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะเป็นเรื่องยาก” แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกเลยว่า “ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย” เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจเรื่อง กฎระเบียบด้านการจราจรและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทั้งกับตัวเองและบุคคลอื่น เนื่องจากบทลงโทษที่ญี่ปุ่นรุนแรง มาก
อีกเรื่องคือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือได้รับบาดเจ็บ ค่ารักษาพยาบาลที่ ญี่ปุ่นสูงมาก ดังนั้น สิ่งสำคัญอีกเรื่องที่ต้องสนใจคือการทำประกันการเดินทางที่ครอบคลุมในหลายๆ ด้าน
ตั้งแต่ย้ายค่ายมาเป็นลูกค้าของ AIS ทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณมือถือ หรือ AIS FIBRE จ่ายเงินผ่าน Rabbit LINE Pay ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่า ตอนนี้มีบริการใหม่ “AIS Insurance Service” หรือประกันภัยขายกับเขาด้วย
ไหนๆ ก็ต้องเดินทางไปทริปเกียวโต ผมจึงลองซื้อประกันการเดินทางจาก AIS Insurance Service ด้วยเสียเลย ซึ่งก็ได้รับใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัยเรียบร้อยแล้ว และยังมีพันธมิตรทางธุรกิจคือ AXA, Signa และ MSIG ด้วย จึงทำให้มั่นใจได้ครับ
วิธีการก็ไม่ยากครับ สามารถซื้อโดยกรอกข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลของผู้ซื้อประกันผ่านเว็บไซต์ที่ https://www.ais.co.th/insurance ได้เลยทันที จากนั้นเลือกวันที่ต้องการเดินทาง ประเทศปลายทาง แล้วใส่วันที่เดินทางให้เรียบร้อย ระบบจะคำนวนเบี้ยประกันออกมาให้ อย่างผมเลือกไปญี่ปุ่น ใช้เวลาทั้งหมด 7 วัน
จากนั้นเราก็มีหน้าที่เลือกว่าจะใช้เบี้ยประกันระดับไหน ในการซื้อประกันการเดินทางจะมีให้เลือกหลายแผน ตรงนี้สำคัญ อาจจะต้องใช้เวลาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและเปรียบเทียบเล็กน้อยครับ ซึ่งในเว็บไซต์จะมีให้เทียบประกันภัยในแต่ละแพ็กเกจ เมื่อเลือกได้แล้วก็จัดการกรอกข้อมูลรายละเอียด ใช้เวลาไม่นานก็เป็นอันเรียบร้อย ที่สำคัญเราสามารถชำระเงินได้หลากหลายช่องทางไม่ว่าจะตัดจากค่าโทรศัพท์ระบบเติมเงิน หรือรายเดือน บัตรเครดิต/บัตรเดบิต และเร็วๆ นี้จะเปิดให้ชำระผ่านทาง Rabbit LINE Pay ได้ด้วยครับ
สนใจซื้อประกันเดินทางจาก AIS คลิกที่นี่ครับ >>> http://m.ais.co.th/1WHR6vlIO
ทริปนี้ผมเลือกแผน AXA Platinum เพราะจากประสบการณ์การเดินทางทั่วโลกพบว่า ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมทุกเรื่องนั้น จำเป็นอย่างมากครับ เพราะเราไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในทริปการเดินทางของเรา และบางเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น เกิดจากปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมได้ เช่น การล่าช้าของเที่ยวบิน กระเป๋าเดินทางสูญหายหรือไม่มาตามไฟลท์ หนักสุดถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทริป
ดังนั้นใครที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมแนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางที่ครอบคลุมเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุไว้ในวงเงินสูงๆ ไว้ก่อน
เพราะอะไรนะเหรอครับ รู้ไหมว่าหากมีปัญหาเรื่องสุขภาพและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นนั้น ค่ารักษาพยาบาลแพงมากครับ บางเคสหมดเงินกันไปเป็นล้านก็เคยเห็นเป็นข่าวกันมาแล้ว
ดังนั้น ผมแนะนำว่า ควรเลือกประกันให้เข้ามารับผิดชอบตรงนี้แทนเราดีกว่าครับ จ่ายแพงหน่อย เพิ่มความสบายใจ จะรักษาต่อเนื่องที่เมืองไทยก็ทำได้สบายๆ แถมยังได้เงินชดเชยระหว่างพักรักษาตัวด้วย
นอกจากนี้ หากมีเหตุเกิดขึ้นกับกระเป๋าเดินทางไม่ว่าจะล่าช้า สูญหายหรือเสียหายต่อทรัพย์สิน ประกันก็จะจ่ายค่าชดเชยตรงส่วนนี้ให้เราด้วยครับ โดยจะได้รับความคุ้มครองการสูญหาย
สามารถดูรายละเอียดความคุ้มครอง เพิ่มเติมได้จากในแต่ละแผนประกันที่เราต้องการซื้อได้เลยครับ
นับว่าเป็นประกันภัยออนไลน์ที่รู้จัก รู้ใจและเข้าใจไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลอย่างผมจริงๆ เลยครับ
ทริปนี้ ผมเลือกบินกับ Japan Airlines (JAL) ชั้นธุรกิจครับ เพิ่งมาสังเกตตัวเองเหมือนกันว่า ปีนี้ผมเลือกบินไปญี่ปุ่น กับ JAL ทุกทริปเลยครับ เอาจริงๆ ระยะหลังเทใจมาทาง JAL พอสมควร
ที่ชอบ JAL เพราะบริการแบบ “โอะโมะเตนาชิ” Omotenashi (おもてなし) ไม่แน่ใจว่าหลายคนเคยได้ยินคำนี้มาก่อนหรือไม่ แต่ถ้าใครเป็นแฟนญี่ปุ่นตัวยงแบบผม ก็คงเคยได้ยินและสัมผัสกับ “จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น” ซึ่งน่าจะเป็นนิยามที่ชัดเจนที่สุดของ โอะโมะเตนาชิ และที่ผมได้รับจากแจแปน แอร์ไลน์ครับ
อีกอย่างที่ชอบ ก็คือการได้เข้าไปกินข้าวแกงกะหรี่ในซากุระเล้าจน์ นี่แหละ ของเค้าอร่อยจริง
โออิชิ!!
Japan Airlines
น่าเสียดายที่ JAL บินลง KIX สนามบินคันไซ โอซาก้า เวลาไม่ค่อยสวยเท่าไร มาถึงก็ดึกเกินไป ทำให้ต้องเข้าเมืองโอซาก้าไปนอนพักสักคืน จากนั้นตอนเช้า ค่อยรับรถแล้วขับไปที่หมู่บ้านอิเนะ ระยะทางประมาณ 215 กิโลเมตร ใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง
แต่ถ้ามองอีกด้าน การได้ขับรถชมบรรยากาศยามเช้า มันก็จะได้ฟีลเบาๆ แบบที่เห็นในรูป มีหมอกลงบางๆ ตลอดทาง ถ่ายรูปออกมาสวยดีครับ
เมื่อเห็นถนนเลียบทะเลแบบนี้ ก็แปลว่า ใกล้ถึง “อิเนะ” แล้วครับ ตอนนี้เราอยู่ใกล้กับเมือง อามาโนะฮาชิดาเตะ ซึ่งเป็นจุดต่อรถ สำหรับใครที่มาทางรถไฟจะลงที่สนานีของเมืองนี้ จากนั้นจะต้องต่อรถประจำทางไปอีก ประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 55 นาที แต่ต้องเช็คตารางเดินรถให้ดีๆ นะครับ เพราะรอรถแต่ละเที่ยวคือนานมาก
แต่หากใครขับรถมาเองเหมือนผม ก็จะสบายหน่อย ขับไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก
และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นั่นก็คือ หมู่บ้านอิเนะนั่นเองครับ น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ ฝนตกตลอดเวลา ทำให้ฟ้าอาจจะไม่สวย มีฝนตกปรอยๆ ตลอดวัน แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ฟุนายะ ที่เรียงรายเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตสงวนสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยบ้านฟุนายะจะถูกออกแบบให้ชั้นล่างเป็นท่าจอดเรือสำหรับหาปลา ส่วนชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ปัจจุบันมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปพักแรมได้ด้วย
ที่พักของผมในทริปนี้คือ Cafe’ guri อ่านไม่ผิดหรอกครับ ที่นี่ชั้นล่างคือคาเฟ่ ส่วนชั้นบนเปิดให้เช่า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถจองผ่าน https://guri-ine.com/ ได้เลยครับ แนะนำให้แพลนล่วงหน้าไว้นานๆ เพราะเต็มเร็วมากครับ
ผมชอบที่นี่เพราะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านชาวญี่ปุ่นแท้ๆ
ภาพนี้ ผมเหมือนคุณลุงชาวญี่ปุ่น สายตาฝ้าฟาง อาศัยอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว ต้องชงชาร้อนๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ฮ่าฮ่า!!
ไฮไลท์อีกอย่างที่ผมชอบคือ ที่นี่มีจอโปรเจคเตอร์สำหรับดูหนังครับ ให้ความรู้สึกถึงการเป็นทริปพักผ่อนที่แท้จริง
เจ้าของบ้านเตรียมแผ่นหนังเกี่ยวกับการเดินทางไว้เยอะมาก แต่หนังเรื่องโปรดของผมก็ยังคงเป็น “The secret life of walter mitty” ที่เป็นแรงบันดาลใจในการเดินทางให้ผมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ทุกเช้า จะมีเซ็ทอาหารเช้ามาบริการทั้งแบบญี่ปุ่นและอเมริกัน
ตอนเช้าผมชอบทานข้าวปั้น และกาแฟร้อนๆ ครับ
สมัยก่อนชาวบ้านในอิเนะ จะทำอาชีพประมงกันเกือบทั้งหมด แต่ปัจจุบันเหลือชาวประมงไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเปลี่ยนไปทำงานบริษัทกันหมด ทำให้บรรยากาศตอนเช้าของอิเนะ จะมีผู้คนเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ส่วนบรรดาเรือหาปลาจะออกไปทิ้งอวนตั้งแต่เช้ามืด
บ้านฟุนายะที่อิเนะ กลายเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว ทางการได้เข้ามาประกาศเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวประมงแบบโบราณ ตั้งแต่การตกปลา การปลูกข้าว รวมทั้งยังขึ้นชื่อด้านอาหารทะเลสดใหม่ด้วย ปัจจุบันเริ่มมีการเปิดบ้านฟุนายะ เพื่อรับนักท่องเที่ยวให้มาพักค้างที่นี่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่อิเนะเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ดังนั้น นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ปฏิบัติตามระเบียบของชุมชนอย่างเคร่งครัด เนื่องจากชาวประมงที่นี่ต้องตื่นแต่เช้ามืด และบางคนต้องออกหาปลาตอนค่ำ จึงต้องนอนกลางวัน ดังนั้นไม่ควรเสียงดัง ตลอดจนการไม่ล่วงล้ำเข้าไปในบ้านฟุนายะ ที่เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ไม่ถ่ายรูปบุคคลและบ้านที่ไม่ได้เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะครับ
กิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว คือการล่องเรือชมอ่าวอิเนะ โดยเรือจะพาวนรอบอ่าวอิเนะซึ่งรายล้อมไปด้วยบ้านแบบฟุนายะ และยังได้เพลิดเพลินไปกับการให้อาหารกับฝูงนกนางนวลที่บินแวะเวียนมาที่เรืออีกด้วย
กิจกรรมนี้ใช้เวลาไม่นานประมาณ 30 นาทีครับ
ผมไม่ได้รู้สึกแย่สักเท่าไรนัก แม้ตลอดเวลาที่พักอยู่ในหมู่บ้านอิเนะ จะมีฝนตกพรำตลอดทั้งวัน แม้จะเป็นช่วงหน้าหนาวแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหงาแต่อย่างใด กลับเป็นความรู้สึกใหม่ที่ทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติมากขึ้น
การได้เอาตัวเองไปแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างภูเขากับทะเลที่เงียบสงบ โอบล้อมด้วยเสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นที่นี่ ทำให้ทุกวินาทีที่อิเนะ มีเสน่ห์บางอย่างและมีเสียงลมกระซิบผมว่า
“ไว้มาเที่ยวอีกนะ”
ช่วงเวลาที่อยู่เกียวโตเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ด้วยความที่ปีนี่ ญี่ปุ่นอากาศค่อนข้างแปรปรวน จึงทำให้สีสันของใบไม้ ไม่สดใสเหมือนที่ควรจะเป็น
ผมขับรถออกจากหมู่บ้านอิเนะ ตอนสายๆ ก่อนจะเข้าไปยังตัวเมืองเกียวโต ตั้งใจว่าจะขับรถไปแวะที่หมู่บ้านโบราณ Kayabuki No Sato อยู่ห่างจาก อิเนะ ประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถราวๆ 2 ชั่วโมง
ระหว่างทางเจอภาพนี้โดยบังเอิญ เลยสแนปมาฝากกันครับ
Kayabuki No Sato เป็นหมู่บ้านเล็กๆ คล้ายกับที่ Shirakawa-go มีบ้านที่มุงสูงด้วยหลังคาที่ทำด้วยใบหญ้า ตั้งอยู่ท่าม กลางหุบเขา เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี แม้ตอนที่มาถึงจะเป็นช่วงบ่าย แต่สายหมอก ก็ยังออกมาทักทาย ราวกับเชื้อเชิญให้เราเข้ามาเดินเล่นยังหมู่บ้านแห่งนี้กันอย่างต่อเนื่อง
เท่าที่สังเกต หมู่บ้าน Kayabuki No Sato แม้อาจจะยังไม่ดังมาก แต่ก็น่าจะเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวพอสมควร เห็นได้จากมีรถบัสนักท่องเที่ยว เข้ามาจอดอย่างต่อเนื่อง
ที่นี่เป็นหมู่บ้านมีชีวิตเหมือนที่อิเนะ คือมีผู้คนอาศัยอยู่จริง ชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกร มีวิถีชีวิตที่แสนเรียบง่ายในแบบที่หลายคนใฝ่ฝัน
อย่างไรก็ตาม การมาเที่ยวหมู่บ้าน Kayabuki No Sato นั้นสิ่งที่ควรทำคือการไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ไม่รุกล้ำเขตหวงห้าม และควรให้เกียรติในความเป็นส่วนตัวของชาวบ้านในขณะที่เดินชมด้วยนะครับ
จากหมู่บ้าน Kayabuki No Sato ห่างจากเกียวโตราว 50 กิโลเมตร เพราะอีก 3 คืนจากนี้ เราจะพักกันที่เกียวโต ที่ โรงแรม Kyoto Yura Hotel, MGallery by Sofitel ซึ่งเป็น MGallery แห่งแรกและแห่งเดียวในญี่ปุ่นขณะนี้ เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อไม่นานมานี้เองครับ ถือว่ายังใหม่อยู่มาก ยังไม่ค่อยมีรีวิวให้อ่าน
ด้านหน้าเป็นอาคารสีดำดูคลาสสิค มีป้าย M Gallery ติดไว้เป็นสัญลักษณ์ ทางเข้าเป็นประตูไม้บานเลื่อนสีดำ คล้ายผนังอาคารทั่วไป ไม่มีป้ายบอก นัยว่าเพื่อให้ดูกลมกลืนกันไปหมด
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ เซ็นเซอร์จะคอยเลื่อนเปิดประตูให้อัตโนมัติครับ
เสน่ห์ของ MGallery by Sofitel คือการออกแบบและตกแต่งโรงแรมให้มีความยูนีค มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมี ความเชื่อมโยงกับชุมชนหรือท้องถิ่นที่โรงแรมแห่งนั้น ตั้งอยู่
แน่นอนว่า โรงแรม Kyoto Yura Hotel, MGallery by Sofitel ก็เช่นกันครับ ทันทีที่ประตูเปิด ผมเห็นบอนไซขนาดใหญ่ และต้นไผ่ที่มีความสูงเทียบเท่าตึก 3 ชั้น และการใช้ลวดลายประกอบที่ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นแบบร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน
ระหว่างรอเช็คอิน พนักงานจะมีกิมมิคให้เลือกกลิ่นอโรม่าภายในห้องครับ
หอมทุกกลิ่นเลย เลือกไม่ถูก
โรงแรม Kyoto Yura Hotel, MGallery by Sofitel เป็น MGallery ที่ค่อนข้างเล็ก ด้วยความเป็นญี่ปุ่นที่ในวันนี้ ที่ดินมีราคาสูง ทำให้โรงแรมใหม่ๆ ไม่สามารถทำห้องพักให้มีขนาดใหญ่ได้มากนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดสักเท่าไร
โรงแรมมีการ์ดต้อนรับวางไว้บนโต๊ะไม้ขนาดย่อม เพื่อสร้างความประทับใจแรก
มองออกไปภายนอกโรงแรมวิวไม่สวยเท่าไร แต่การตกแต่งภายในสวยมากครับ ดูเรียบ หรู คลาสสิค
ทริปนี้หยิบกระเป๋ากล้องคู่ใจใบใหม่ Compagnon the little weekender เป็นกระเป๋ากล้องหนังแท้สไตล์หรู ดีไซน์เเบบคลาสสิค สัญชาติเยอรมัน ชอบตรงที่ Handmade 100% ใส่ของได้เยอะดีครับ ราคาใบละ 20,000 บาทครับ
สั่งซื้อได้ที่ Camera Maker
เก็บกระเป๋าเดินทางเข้าที่เสร็จ ก็กวาดตาดูรอบๆ ห้องพักสักหน่อยครับ
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวทั่วไป ทุกอย่างจัดไว้อย่างพอเหมาะ ที่ชอบคือเตรียมชุดนอนไว้ให้ ปักตรา MGallery เอาไว้เก๋ดีครับ
ส่วน Amenity ในห้องน้ำเป็นของแบรนด์ชื่อดังอย่าง “Cinq Mondes” ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดีที่สุดจากประเทศฝรั่งเศสที่การันตีด้วยรางวัลมากมาย เหมือนกับ SPA ที่โรงแรม So Sofitel Bangkok ก็ใช้แบรนด์นี้เช่นกัน
บอดี้โลชั่น หอมมากจนต้องหยิบติดกระเป๋ามา
ห้องอาหารและบาร์ เป็นแหล่งพักผ่อน ปลดปล่อยอารมณ์ยามค่ำคืนของผมได้เป็นอย่างดี
โชคดีในวันที่ไปพักในเกียวโต ตรงกับวันแห่ขบวน Jidai Matsuri เป็นเทศกาลที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ในโอกาสการต่อตั้งมหานครเกียวโตของจักรพรรดิคัมมูในปี 794 ซึ่งจะมีขบวนแห่โดยใช้ผู้ร่วมขบวนถึง 2,000 คน ต่างแต่งกายในยุคสมัยต่างๆ ของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
โดยขบวนจะเคลื่อนออกจากพระราชวังเกียวโตในตอนเที่ยง จากนั้นจะเคลื่อนไปตามเส้นทางยาวหลายกิโลเมตร เพื่อมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าเฮอัน จิงกุ ในเวลาประมาณบ่าย 3
จากนั้น ไปเดินถ่ายรูปเล่นที่วัดโฮคันจิ (Hokan-ji Temple) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda) เป็นเจดีย์สูง 46 เมตร ที่มีหลังคาลาดเอียงสง่างามในแต่ละชั้นซึ่งตั้งอยู่กลางย่านเกียวโตเก่า ระหว่างวัดคิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera) หรือวัดน้ำใส (ซึ่งตอนนี้ปิดซ่อมแซมอยู่) และศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka-jinja)
มุมนี้เป็นมุมมหาชนที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกันครับ
ใกล้กันกับ เจดีย์ยาซากะ จะมีศาลเจ้าสีสันสวยงามชื่อว่า “ศาลเจ้ายะซาคะโคชินโด” สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเฮอัน ว่ากันว่าเป็นสุสานของศาสนาพื้นบ้านของญี่ปุ่นชื่อ “ศาสนาโคชิน” ที่ซึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงในเรื่องตุ๊กตา “คุคุริซารุ” ที่ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้จำนวนมาก ว่ากันว่าคนที่มาที่นี่จะมาขอให้ยับยั้งความโลภ ปัจจุบันมีคนมาถ่ายรูปลง IG จำนวนมาก
เดินจาก เจดีย์ยาซากะ ไปทางวัดน้ำใส จะเจอกับไฮไลท์ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอีกอย่างนั่นคือร้านกาแฟ Starbucks ที่ตกแต่งใหม่อย่างเก๋ไก๋ ด้วยการนำเอาเสื่อทาทามิสไตล์ญีปุ่น และตกแต่งด้วยผ้าโนเร็น (Noren) ที่เป็นผ้าตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าร้านแบบโบราณ สกรีนโลโก้ของสตาร์บัตคส์เข้าไปอย่างกลมกลืน
ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี โดย Starbucks Japan ได้จัดการบูรณะอาคารใหม่ ผสมผสานกับการดีไซน์ให้เข้ากันกับบรรยากาศแบบดั้งเดิม ในย่านเมืองเก่าของเกียวโต ที่เรียกว่า Ninenzaka ได้ฟีลเกียวโตสุดๆ
พลบค่ำ ไปเดินเล่น หาอาหารเย็นทานที่ย่านกิออน (Gion) และชิโจคาวาระมาจิ (Shijo Kawaramachi) ใจกลางเกียวโต!
เป็นย่านที่ถ่ายรูปออกมาดูสวยหรูมากครับ
ย่านนี้มีผู้คนจำนวนมาก นิยมมานั่งเล่นพักผ่อนกันริมแม่น้ำคาโมะ อากาศเย็นสบายดีครับ ถนนริมน้ำค่อนข้างยาวจะทอดขนานไปกับย่าน พอนโตโชะ (Pontocho) ซึ่งจะกินพื้นที่บริเวณตั้งแต่ถนนชิโจ (Shijo-dori) ถึงถนนซันโจ (Sanjo-dori) โดยตลอดเส้นทางเดินที่เป็นเส้นแคบๆ เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านกินดื่ม ผับ บาร์ มากมาย
มีศาลเจ้าเล็กๆ แทรกตัวอยู่ระหว่าง ร้านอาหารและร้านค้าด้วย
ดยสรุปแล้ว เกียวโต เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีหลากหลายสีสัน มีความแตกต่างกันในแต่ละฟีล ไม่ว่าจะเป็นสายประวัติศาสตร์ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเมืองเก่า สายธรรมชาติ ก็มีความงามของทะเลและภูเขา ยิ่งถ้ามาเที่ยวฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เกียวโตจะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
ส่วนใครที่ชื่นชอบการพักผ่อน แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่องราวของหมู่บ้าน อิเนะ นอนพักค้างคืนที่บ้านฟุนายะริมทะเลที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เพิ่มเติมคืออาหารทะเลที่สด อร่อย และยังเป็นเมืองที่ไม่น้อยหน้าในเรื่องของการช้อปปิ้งย่านชิโจคาวาระมาจิ
แต่ถ้าจะให้เที่ยวเกียวโตแบบอุ่นใจ แนะนำให้ทำประกันการเดินทางเอาไว้กับ AIS Insurance Service ผู้ช่วยที่จะทำให้ชีวิตเราง่ายและสบายขึ้นอีกมาก ในเรื่องของประกันการเดินทาง เหมือนทริปนี้ของกานต์ที่ออกเดินทางได้อย่างสบายใจครับ
สนใจซื้อประกันกับ AIS Insurance Service คลิก >> http://m.ais.co.th/1WHR6vlIO