สำหรับสาวก #GUCCI
#นี่คือร้านอาหารที่คุณต้องมาลอง
_________________________
โตเกียวทริปนี้กานต์มีภารกิจหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือการมาทาน Fine Dining 1 มิชลินสตาร์ที่ Gucci Osteria da Massimo Bottura Tokyo ใจกลางย่านหรู Ginza หลังจากพลาดจองเมื่อทริปที่แล้ว ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีมีการผสมผสานความหรูหราและสไตล์ของแฟชั่นเฮาส์ชื่อดังเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านอาหารของเชฟที่มีชื่อเสียงระดับโลก
.
ภายในร้านสวยมาก โดดเด่นด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของคน Gucci ได้เป็นอย่างดี ต้อนรับเราด้วยสีเขียวเป็นธีมที่รวมเป็นหนึ่งเดียว สร้างบรรยากาศราวกับเทพนิยายที่น่าหลงใหลพร้อมกับลายพิมพ์ผีเสื้อและดอกไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความสวยงาม เร่งเร้าความตื่นเต้นในใจที่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการรับประทานอาหารจากแฟชั่นแบรนด์หรูที่ผมรักมาก
.
ชั้น 2 และ 3 เป็นบูทีคของ Gucci ร้านอาหารอยู่บนชั้น 4 มีโซนของบาร์และระเบียงด้านนอกซึ่งตอนแรกเราตั้งใจจองเพื่อนั่งรับลมหนาว แต่ห้องอาหารจะปิดโซนนี้ในช่วงฤดูหนาว อ่าว!! เพราะอากาศที่โตเกียวช่วงนี้คือหนาวจริงๆ เกินเบอร์คำว่าโรแมนติกไปแล้ว เราเลยขยับเข้ามานั่งด้านใน
.
การตกแต่งได้รับแรงบันดาลใจจากฟลอเรนซ์ดั้งเดิม โดยอ้างอิงย้อนไปถึงยุคเรอเนซองส์ของอิตาลีผสมผสานความงามแบบที่ Gucci นิยมนำมาใช้ ผมชอบผนังที่ประดับด้วยลายวอลล์เปเปอร์ของ Gucci Décor เคยสั่งออนไลน์มาไว้ที่บ้านแต่ยังไม่ได้ฤกษ์ติดเสียที มาเห็นการตกแต่งของที่นี่ดูอบอุ่นคลาสสิคแบบบ้านอิตาลียุคเก่า
.
อีกจุดที่ชอบคือพื้นไม้ ซึ่งเพ้นท์ลวดลายด้วยมือโดยได้รับแรงบันดาลใจจากของเก่าที่สะสมของ Alessandro Michele ซึ่งเป็น Creative Director ของ Gucci มองบนเพดานมีดาวประดับ ผมลองถ่ายรูปสวนด้านนอกสะท้อนจากกระจก ทำให้เห็นเป็นดาวระยิบระยับอยู่เต็มสวน ถ่ายรูปงานดีไซน์มาเยอะมากจนพนักงานกระซิบถามว่า คุณเป็นสถาปนิกหรือเปล่าคะ
.
“เปล่าครับ ผมแค่เป็น Big Fan of Gucci ก็เท่านั้นเอง”
.
เดินผ่านครัวเปิดเข้ามาภายในห้องอาหาร มีขนาดกว้างขวางหรูหรา เพดานสูง มีแสงไฟสวยงาม จัดวางโต๊ะแบบห่างๆ น่ามีประมาณ 15 โต๊ะผมว่าไม่เกินนี้ ไฮไลท์คือโซฟารูปครึ่งวงกลมกำมะหยี่สีน้ำเงิน
.
บริกรในชุดสูทของ Gucci เชื้อเชิญให้เรานั่งโต๊ะมุมนี้แทน ผนังด้านนอกที่เป็นกระจกซึ่งหันไปทางถนน Namiki-dori ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มองเห็นทิวทัศน์ของต้นกิงโกะสีเหลืองริมถนน แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวใบไม้ร่วงหมด วิวจึงถูกปิดบังด้วยผ้าม่านสีขาวขลิบดำ ทำให้บรรยากาศดูอึมครึมไปสักนิด บนโต๊ะอาหารปูด้วยผ้าสีขาว จัดวางข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะล้วนมาจาก Gucci Décor
.
บริกรแนะนำไวน์เป็น Franciacorta DOCG Cuvée Prestige Edizione 44 Rosé ของ Ca’ Del Bosco รินมาเป็นสีโรสโกลด์หอมหวานละมุนดื่มง่าย น่าจะเข้ากันได้กับเมนูที่ผสมผสานระหว่างอาหารอิตาเลียนร่วมสมัยและวัตถุดิบจากญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการวางฐานรากโดยเชฟ Massimo Bottura เจ้าของ 3 ดาวมิชลิน ครีเอทโดยหัวหน้าเชฟ Antonio Lacoviello จับคู่กับ Hayao Watanabe เชฟชาวญี่ปุ่น และแน่นอนว่า Gucci Osteria da Massimo Bottura Tokyo เพิ่งจะได้รับ 1 ดาวมิชลินเมื่อไม่กี่เดือนมานี้
.
คอร์สเมนูเริ่มจากขนมปัง Focaccia ยีสต์ธรรมชาติวางไว้กับขนมขาไก่ ตามมาด้วย อาหารเรียกน้ำย่อยเน้นทานง่ายภายใน 1 คำ 6 อย่างที่ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางข้ามทวีปจากอิตาลีมาสู่ที่ญี่ปุ่น ผมชอบสาหร่ายเคลือบน้ำตาลอร่อยมาก ปาเต๊ะก็กรอบนอกนุ่มใน อีกคำทำมาจากขนมญี่ปุ่น คันโนโระ ส่วนอีกคำเป็นรีซอตโต้สไตล์มิลาน อาหารทานง่ายแต่ฟังตอนอธิบายแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพราะมีความญี่ปุ่นดั้งเดิมที่นำมาดัดแปลงในสไตล์อิตาเลี่ยน
.
ไฮไลท์คือเมนูชื่อแปลก “A Parmigiana that Wants to Become a Ramen.” แปลเป็นไทยว่า “Parmigiana ที่อยากเป็นราเมน” ได้รับแรงบันดาลใจจาก Parmigiana สูตรดั้งเดิมของอิตาลี และ Ramen ของญี่ปุ่น เชฟใช้สปาเก็ตตี้ใช้แทนเส้นโซบะวางไว้ข้างๆ มะเขือเทศย่างและครีมมะเขือม่วงที่ผสมกับน้ำมันงาและพาร์เมซานอายุ 36 เดือน ในขณะที่น้ำซุปมะเขือออกซิไดซ์กับชิโอะโคจิ ซึ่งเป็นธัญพืชหมักแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น กลายเป็นจานที่เข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจ
.
หลายเมนูเพิ่งเปลี่ยนทำให้ไม่ได้ลองเมนูที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ไม่เป็นไรถือว่าลองรสชาติที่สร้างสรรค์ใหม่ก็ดูน่าประทับใจมากแล้วครับ โดยเฉพาะของหวานมาในจานน่ารัก เป็นสวนแบบเซน ทรายสีขาวทำจากไวท์ช็อคโกแลตและครีม ส่วนสวนหินทำจากถั่วพิซตาชิโอและช็อคโกแลตตกแต่งน่ารักดี อร่อยทานง่าย
.
ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยการเสิร์ฟ Ravi Oro ซึ่งเล่นคำมาจากอาหารอิตาเลี่ยน แต่เสิร์ฟตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มักจะปิดท้ายมื้ออาหารด้วยแป้งหรือข้าวนั่นเอง ส่วน Petit four เป็นขนมหวานที่ตั้งชื่อได้ขี้เล่นอย่างพิสตาชิโอที่อยากเป็นถั่วลิสงและมะเขือม่วง Cannoli
.
โดยรวมแล้ว Gucci Osteria da Massimo Bottura Tokyo เป็นสถานที่ที่สาวก Gucci ไม่ควรพลาด(แต่ถ้าจะพลาดก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร) อาหารอาจจะเข้าถึงยากสักนิด การบริการอาจจะดูงงๆ ขาดๆ เกินๆ ไม่หรูหราเท่าที่คิด แต่ให้คะแนนที่บรรยากาศการตกแต่งสไตล์ Gucci ที่สื่อสาร DNA ของแบรนด์ได้ดีมากครับ
.
ติดตามกานต์ผ่าน IG ได้ที่