ราวชั่วโมงเศษที่เรานั่งรถจาก Rome ขึ้นสู่ทางเหนือเพื่อจะไปยังเมือง Orvieto ในแคว้น Umbria เมืองโบราณสมัยยุคกลางอันเก่าแก่ของอิตาลี
.
แต่เรากลับใช้เวลามากกว่านั่งรถไปเกือบเท่าตัวเพื่อจะเดินชมความงามของอาสนวิหารแห่งออร์เวียโต (Duomo di Orvieto) ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1290 ได้ชื่อว่าเป็นอาสนวิหารที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปและถือเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้
.
ผนังภายนอกประดับด้วยกระเบื้องและกระจกสีสลับกับหินบะซอลต์และหินปูน วิหารขนาดใหญ่เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ยามเย็น เราได้เห็นการตกกระทบของสีสัน ส่องแสงประกายสวยงามมาก สะท้อนภาพของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคผสมผสานกับโรมาเนสก์ให้มีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหน้าจั่วสามเหลี่ยมทรงสูง ที่อยู่เหนือซุ้มประตูโค้งทรง Arch กานต์ชอบมากเลยครับ
.
โครงการ Grand Bangkok Boulevard พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา จึงได้หยิบยกเอาอัตลักษณ์ในงานศิลป์อันขึ้นชื่อของ Orvieto มาตีความให้ร่วมสมัย โดยลดทอนเส้นสายรายละเอียดของงานออกแบบคลาสสิคเดิมเพิ่มเติมความงดงามที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น ทว่าคงไว้ซึ่งความหรูหราของศาสนสถานจากอิตาลีเอาไว้
.
ด้านหน้าของ Clubhouse เราจึงได้เห็นประตูรูปทรงโค้งมนที่ซ้อนกันไว้หลายชั้นหลายเลเยอร์ มองขึ้นไปด้านบนจะเห็นหน้าจั่วทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ประดับด้วยกระจกใส มีอาคารตรงกลางเป็นทางยาวไปเชื่อมระหว่างทางเข้าอีกฝั่งซึ่งจะตรงกับสระว่ายน้ำพอดี ติดกันเป็น Main Park ขนาดใหญ่ให้ได้มาพักผ่อนแบบส่วนตัว กลายเป็นความเป็นพิเศษที่รังสรรค์ขึ้นมามอบให้สำหรับลูกบ้านของโครงการเท่านั้น
.
บ้านตัวอย่างที่กานต์พามาชมเป็นบ้านซีรีส์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ ไฮไลท์คือดีไซน์ที่มีความ Modern Luxury ด้วยรูปทรงเรขาคณิต ฟังก์ชันในบ้านมีขนาดใหญ่แบบ Oversized พื้นที่ใช้สอยเยอะและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการพักอาศัย (Living Solutions) ที่ช่วยให้ชีวิตเราสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
.
อีกมุมที่ชอบคือห้องนอนชั้นล่างที่สามารถปรับเป็นห้องเอนกประสงค์ได้มีประตูเปิดออกไปสู่สวนและสระว่ายน้ำส่วนตัวบริเวณข้างบ้าน ทำให้เราได้พักผ่อนราวกับนั่งอยู่ในสวนของ Fortezza Albornoz มองลงไปจะเห็นหุบเขาออร์เวียโต และทิวทัศน์มุมกว้างเหนือเนินเขาสีเขียวที่ล้อมรอบเมืองและแม่น้ำ Paglia บรรยากาศดีมากเลยครับ
.
Lonely Planet เขียนถึง Orvieto ไว้ว่า “𝐓𝐡𝐞 𝐩𝐞𝐨𝐩𝐥𝐞 𝐨𝐟 𝐎𝐫𝐯𝐢𝐞𝐭𝐨 𝐚𝐫𝐞 𝐟𝐫𝐢𝐞𝐧𝐝𝐥𝐲 𝐚𝐧𝐝 𝐰𝐞𝐥𝐜𝐨𝐦𝐢𝐧𝐠, 𝐦𝐚𝐤𝐢𝐧𝐠 𝐲𝐨𝐮 𝐟𝐞𝐞𝐥 𝐫𝐢𝐠𝐡𝐭 𝐚𝐭 𝐡𝐨𝐦𝐞.” จึงอยากชวนทุกคนไปชมบ้านที่กานต์ถ่ายมาฝากกันพร้อมกับอ่านเรื่องราวต่อในแคปชั่นด้านในได้เลยครับ
.
ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://m.scasset.com/GGRB
หรือโทร. 062-595-3466
—
โครงการ Grand Bangkok Boulevard พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา ตั้งอยู่บนถนนถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) แขวงทับช้าง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่โครงการ 23-1-28.1 ไร่รังสรรค์เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury พื้นที่ดินใหญ่เริ่มต้น 102.3 – 232.9 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 593-776 ตร.ม. จำนวนทั้งสิ้น 35 ยูนิตเท่านั้น
.
ความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์คือการออกแบบ Clubhouse และบรรยากาศแวดล้อมโครงการด้วยแรงบันดาลใจจากอาสนวิหาร Orvieto ประเทศอิตาลี
โครงการตั้งอยู่บนทำเลที่ดีและกำลังเป็นที่นิยมคือกรุงเทพกรีฑา เพราะได้ชื่อว่าเป็น Beverly Hills เมืองไทย เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งไลฟ์สไตล์
ที่น่าสนใจคือโครงการตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติเวลลิงตัน ห่างออกไปอีกนิดเป็นโรงเรียนนานาชาติไบร์ทตันและโรงเรียนนานาชาติแอสคอร์ค ทำให้สะดวกมากหากใครต้องการบ้านใกล้โรงเรียนลูก
ทั้งยังรายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร Community Mall อย่าง The Park Avenue และ Market Place ฯลฯ
ขยับออกไปอีกนิดจะเจอโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์และโรงพยาบาล รามคำแหงครับ นับเป็นทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยจริงๆ
โครงการอยู่ไม่ไกลจากถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก ทำให้สามารถออกต่างจังหวัดได้ง่ายและเชื่อมต่อกับถนนมอเตอร์เวย์ หรือหากจะมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางเมืองโดยใช้ทางพิเศษศรีรัชก็สะดวกมากครับ ไม่ว่าจะเป็นพระราม 9 อโศก รัชดา ลาดพร้าว ทองหล่อ เอกมัย นอกจากนี้ เราสามารถขับรถไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
กานต์ลองจับเวลาดูคร่าวๆ จะใช้เวลาราว 25 นาที* เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังใกล้แอร์พอร์ตลิ้งค์ (สถานีหัวหมาก) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีศรีกรีฑา) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (สถานีแยกลำสาลี) อีกด้วยครับ
รอบโครงการเป็น Residential พื้นที่พักอาศัยที่ไม่พลุกพล่าน โครงการอยู่ห่างจากถนนหลักเข้าไปประมาณ 100 เมตร ทางเข้าทำเป็นแนวต้นไม้ให้ความร่มรื่นและคอยเป็นบัฟเฟอร์ช่วยป้องกันเสียง
ส่งผลให้บรรยากาศภายในโครงการค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะกับการพัฒนาเป็นที่พักอาศัยที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงออกแบบโดยเน้นฟังก์ชันการพักอาศัยที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด
การดูแลความปลอดภัยด้วย Double Gate Security ประตูทางเข้า 2 ชั้น ด่านแรกจะอยู่ติดถนนกรุงเทพกรีฑา และอีกประตูจะอยู่ด้านหน้าทางเข้าโครงการ พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยและกล้อง CCTV 23 จุดรอบโครงการ
ที่นี่จะใช้การเข้า-ออกด้วยระบบ Smart Gate With License Plate สแกนทะเบียนรถสำหรับลูกบ้านเปิดอัตโนมัติ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พักอาศัยครับ
ทัศนียภาพภายในโครงการมีความสวยงาม หรูหรา เมื่อผ่านประตูด้านในจะพบกับ Clubhouse ขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า ทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนและอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านที่มาใช้บริการพักผ่อน
พื้นที่โดยรอบปลูกต้นไม้นานาพันธุ์เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เราประทับใจกับการออกแบบพื้นที่ Main Park ที่กว้างขวางเต็มไปด้วยสนามหญ้าสีเขียว ช่วยเติมความสดชื่นให้หายเหนื่อยทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
ไฮไลท์คืองานสถาปัตยกรรมของ Clubhouse ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาสนวิหาร Orvieto ซึ่งมีความเก่าแก่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จุดที่โดดเด่น
อย่างแรกที่เราเห็นคือส่วนหน้าของอาคารที่คงอัตลักษณ์โดดเด่นอย่างหลังคาจั่วและโครงสร้างเป็นเหล็กกรุกระจกใส ประดับไฟสีเหลืองทองด้านในเพื่อสะท้อนความงาม ดุจ Orvieto ยามต้องแสงอาทิตย์อัสดงเป็นสีทองแวววาว
สถาปนิกลดทอนรายละเอียดของงานออกแบบดั้งเดิม ลวดลายแบบโกธิคและงานประดับที่แสดงเรื่องราวทางศาสนา ทว่าคงไว้ด้วยความเรียบง่าย อย่างรูปทรงกลมของหน้าต่างกุหลาบที่ด้านบนจั่วก็ยังคงเก็บเอาไว้โดยปรับให้เป็นฟอร์มวงกลมร่วมสมัยแทน แต่ก็ถือว่าเป็นการลงดีเทลที่เข้าใจรากของอาสนสถานได้ดีครับ
เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในจะพบกับ Lobby Lounge ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับให้ลูกบ้านได้มานั่งพักผ่อนและเพื่อใช้สำหรับต้อนรับแขก หากไม่ประสงค์ให้เข้าไปพบที่บ้านก็สามารถใช้สโมสรของโครงการในการพบปะพูดคุยธุระได้เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย
ปัจจุบันพื้นที่ส่วนนี้ใช้เป็นห้องรับรองลูกค้าที่เข่้ามาชมโครงการในส่วนงานของ Sales Gallery ซึ่งจะมีการส่งมอบพื้นที่คืนกลับให้โครงการในภายหลัง
สถาปัตยกรรมโกธิคมีลักษณะเฉพาะคือการเน้นที่แนวดิ่ง การออกแบบสโมสรจึงเน้นส่วนโค้งแหลม และเพดานสูง
ผมชอบการลงรายละเอียดของพื้นลายขาวสลับดำของ Lobby Lounge เข้าใจว่าสถาปนิกต้องการถ่ายทอดเอกลักษณ์ของงานตกแต่งภายในของ Orvieto ที่เราจะเห็นผนังและเสาด้านข้างเป็นลายตัดขวางริ้วยาวต่อเนื่องกันไป โดยประยุกต์มาเป็นพื้นกระเบื้องสีขาวดำ ทำให้ห้องนี้ดูเรียบและมีเสน่ห์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของห้องพักผ่อนสำหรับลูกบ้าน ยังออกแบบให้มี Business Lounge สำหรับนั่งพักผ่อนพูดคุยธุระ ซึ่งจะจัดเป็นห้องแยกออกไปทางด้านขวามือเป็นแนวยาวขนานไปกับถนนด้านหน้าและสวนด้านหลัง ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเปิดโล่ง
ภายในจัดโซฟาที่นั่งหลากหลายดีไซน์เพื่อให้ดูโมเดิร์น จะเห็นว่าผนังประดับด้วยลวดลายสีขาวดำตามแนวตัดขวางเหมือนกับ Orvieto
นอกจากนี้ยังมีห้อง Meeting Room เพื่อจัดประชุมแบบส่วนตัวอีกด้วยครับ
หลักคิดของงานดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก อาสนวิหาร ORVIETO นั้น สถาปนิกเน้นไปในเรื่องการใช้แปลนพื้นที่เปิดโล่ง เพื่อสร้างความรู้สึกกว้างขวาง การเปิดรับแสงธรรมชาติเพื่อเพิ่มความสว่างภายใน ตลอดจนการใช้การจัดสวนเพื่อสร้างความรู้สึกสงบและสงบ
เราจึงได้เห็นการออกแบบให้พื้นที่ภายนอกกลายเป็นสวนสวยสีเขียว พร้อมทางเดินด้านข้างเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน
ตรงกลางจัดที่นั่งเป็น Sunken Seating เอาไว้สำหรับให้ลูกบ้านได้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเวลาแดดร่มลมตก ท่ามกลางบรรยากาศของต้นไม้สีเขียวเต็มพื้นที่ให้ความร่มรื่นดีมากครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่กานต์ชอบคือการออกแบบบันไดวนสีดำ โค้งขึ้นไปจนถึงชั้น 2 ซึ่งเราจะได้พาไปชมพื้นที่ใช้สอยภายในกันต่อ
อย่างไรก็ตาม SC Asset ในฐานะผู้พัฒนาโครงการยังได้ใส่ใจในรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยการเพิ่ม Stairlift หรือลิฟต์เก้าอี้เลื่อนขึ้นบันไดเพื่อนำผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษขึ้นไปยังบนชั้น 2 ของ Clubhouse ซึ่งก็ได้ออกแบบให้วนขนานไปกับบันไดหลักเช่นกัน ทำให้เราสามารถเคียงคู่กันขึ้นไปยังชั้นบนได้ทั้งสำหรับลูกบ้านทั่วไปและลูกบ้านที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้สามารถเข้ามาใช้บริการอาคาร Clubhouse ได้อย่างเท่าเทียมกัน
เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงหลัก Universal Design ที่เราจะพบเห็นได้ในทุกโครงการของ SC Asset เลยครับ
ทว่าบรรยากาศเมื่อเราเดินขึ้นไปถึงด้านบนสุดของบันได จะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ที่หน้ามุข ทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของโถงใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง
ชั้นบนของ Clubhouse ออกแบบเป็นพื้นที่สำหรับสันทนาการเป็นหลัก โดยออกแบบให้มีฟิตเนสขนาดใหญ่พร้อมวิว Main Park ทำให้เราสามารถออกกำลังกายไปพร้อมกับการชมวิว ราวกับได้วิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ในสวนสีเขียว
ภายในติดตั้งอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครันเทียบกับฟิตเนสชั้นนำ เราไม่ต้องเสียเวลาออกไปยิมข้างนอกเลยครับ เพราะผมว่าที่นี่มีอุปกรณ์ให้ครบทั้งแบบคาร์ดิโอ (Cardio) เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) และมีมุม Free Weight ด้วยครับ
ใกล้กันออกแบบให้มี Game Room สำหรับวัยรุ่นขาลุย พร้อมเครื่องเล่น PS5 จอขนาดใหญ่และที่นั่งเพื่อรองรับการเล่นเกมส์หลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะแนว Racing ตรงกลางเป็นโต๊ะพูลผ้าสักหลาดสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่จัดวางเอาไว้ให้เราได้มาสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนแบบส่วนตัว พร้อมกับมีเคาน์เตอร์เล็กๆ จัดวางเครื่องดื่มได้
โดยรอบยังออกแบบให้มีที่นั่งเอาไว้ให้หลายจุด หลายมุมเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดที่ผมชอบ อยากมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่มุมนี้
แต่ถ้าหากเป็นเด็กเล็กหน่อยก็มีพื้นที่ให้เล่นสนุกเช่นกัน โครงการออกแบบให้มี Kid’s Room พร้อมบ้านสไลเดอร์และบ่อบอลขนาดใหญ่
พื้นและขอบเป็นฟองน้ำหนาหุ้มหนังเทียม รองรับแรงกระแทกได้ดีไม่อันตรายสามารถวิ่งขึ้นลงสนุกสนานได้ทั้งวัน ติดกันมีที่นั่งสำหรับเล่นของเล่นเสริมพัฒนาการ อ่านนิทาน หรือเปลี่ยนบรรยากาศสถานที่ทำการบ้านก็ได้เช่นกัน
Kid’s Room อีกหนึ่งห้องที่เราชอบและดูเหมือนว่าโครงการนี้จะให้น้ำหนักกับการออกแบบประสบการณ์ใหม่และความสนุกสนานนอกห้องเรียนของเด็กๆ มากเป็นพิเศษซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ตลอดจนหลักการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการเล่นเป็นสำคัญ
การออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง จัดวาง Clubhouse สระว่ายน้ำและสวนสาธารณะให้เชื่อมต่อกันตามความสนใจของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่น
Clubhouse ออกแบบให้มีสวนและที่นั่งกลางแจ้งเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำ จัดเอาไว้ด้านในโถงทางเดินเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวเป็นพื้นที่สงวนสิทธิ์สำหรับลูกบ้านเท่านั้น
โครงการออกแบบให้มีที่นั่งหลากหลายมุมทั้งภายในห้อง Business Lounge ด้านนอกมี Sunken Seating และเก้าอี้หวายจัดไว้สำหรับให้เหล่าคุณแม่่จับกลุ่มพูดคุยกันระหว่างที่รอเด็กๆ กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน หรือใช้เป็นมุมนั่งอ่านหนังสือได้สำหรับลูกบ้านได้
ติดกันเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือแบ่งเป็น 2 สระแบบ Semi-Outdoor โดยสระผู้ใหญ่ขนาดใหญ่ 22 x 4 เมตร ว่ายน้ำออกกำลังกายได้สบายเลยครับ มาพร้อมกับสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก จัดพื้นที่สำหรับพักผ่อนเอาไว้โดยรอบ วางเก้าอี้นั่งพักผ่อนและ Sunbed สำหรับนอนเล่นในช่วงเย็นๆ ตอนที่ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า สามารถชมวิวสวนสีเขียวที่อยู่ถัดออกไป
ส่วนตัวผมประทับใจการออกแบบสระว่ายน้ำโดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านในการเข้าใช้บริการ โดยจัดให้อยู่ลึกเข้าไปด้านในให้เกิดความเงียบสงบ
เชื่อมต่อกับ Main Park ทำให้เกิดจับคู่สีโทนเย็นที่เข้ากันได้ดีไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีเขียวจากต้นไม้และสีเหลืองจากหลังคาไม้ซี่ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบโครงสร้างหลังคาไม้ (Wooden Truss) ของ Orvieto ในอดีต ทำให้ดูมีความร่วมสมัยดีมากครับ
Grand Bangkok Boulevard พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา ถือเป็นโครงการที่ผมว่าให้น้ำหนักกับพื้นที่ส่วนกลางเยอะมาก หากเทียบกับจำนวนเพียง 35 ยูนิตเท่านั้น ทั้งยังออกแบบตามหลัก Universal Design เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งวีลแชร์ผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ
Main Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 1 ไร่ที่โดดเด่นด้วยผืนสนามหญ้าสีเขียว มีฉากหลังเป็นสระน้ำพุขนาดใหญ่ให้ความสดชื่นและได้ยินเสียงน้ำตกกระทบตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศบริเวณสวนเหมาะแก่การพักผ่อนในช่วงเช้าๆ ออกมาเดินแกว่งแขนเบาๆ ก่อนไปทำงาน หรือมานั่งพักผ่อนกันในช่วงเวลาเย็นๆ
พื้นที่สวนส่วนกลางกว้างใหญ่ดีครับ บรรยากาศก็ดูร่มรื่น ด้วยต้นไม้ใหญ่ เป็นสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้ดอก ช่วยให้บริเวณนี้ดู ร่มรื่น สดชื่น สบายตา สบายใจ เชื้อเชิญให้เราอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการพักผ่อนภายในบ้านมานั่งเล่นที่ส่วนกลางดูบ้างครับ
การออกแบบผังโครงการเน้นความเป็นธรรมชาติของน้ำ ฟ้า ต้นไม้ โดยมีลานสนามหญ้ากว้างๆ ทำหน้าที่เชื่อมโยงเราเข้ากับธรรมชาติ ผมนึกภาพไปถึงช่วงเวลาเย็นๆ เห็นหลายบ้านพาน้องหมามาเดินเล่น ลูกบ้านชวนกันมาออกกำลังกายกลางแจ้ง บางบ้านนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ใน Pavilion บรรยากาศคงจะดีมากครับ
นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยกลางแจ้งสำหรับทำกิจกรรมแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น Playground เพื่อกระตุ้นให้เด็กๆ ได้ออกมาใช้ชีวิตสัมผัสกับธรรมชาตินอกบ้าน เน้นให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีสไลเดอร์สำหรับเด็ก
ลานเอนกประสงค์กลางแจ้งสำหรับออกกำลังกาย เอาไว้ทำกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ
นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีสนามพัตกอล์ฟสำหรับคุณพ่อรอซ้อมวงสวิงขณะที่อยู่บ้าน ก่อนจะไปออกรอบกับก๊วนในช่วงเช้าวันอาทิตย์
Clubhouse ของโครงการ Grand Bangkok Boulevard พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา นอกจากจะออกแบบได้สวยงามแล้วยังคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายตามไลฟ์สไตล์และความชอบของลูกบ้านให้ได้มากที่สุดอีกด้วยครับ
จากพื้นที่ส่วนกลาง กานต์จะพาไปชมบ้านตัวอย่างกันบ้างซึ่งอยู่ติดกันกับอาคาร Clubhouse เดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
บ้านตัวอย่างที่กานต์พามาชมกันในครั้งนี้เป็นคฤหาสน์หรู 3 ชั้น NEW SERIES ดีไซน์โดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่มีความ Modern Luxury คือแบบบ้าน ORVIETO ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่สุดของโครงการ ขนาดที่ดิน เริ่มต้น 136.7 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 776 ตร.ม. ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ สามารถจอดรถได้ 5 คัน
หน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับบ้าน มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยความสดชื่นสบายตา
ด้านในประกอบด้วย Grand Double Living Area, Grand Dining Room, Family Area, ครัวยุโรป ครัวไทย ห้องนอนแม่บ้านจำนวน 2 ห้องพร้อมพื้นที่ Maid Plaza และเป็นบ้านที่ติดตั้งลิฟต์ไว้ให้แล้วด้วยครับ
หน้าบ้านมาตรฐานจะเป็นรั้วเหล็กรางเลื่อน โดยทางโครงการได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับการติดตั้งระบบรั้วไฟฟ้ามาให้เรียบร้อยแล้ว ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยงานออกแบบที่ลงรายละเอียดไว้เยอะมาก Facade ประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อนให้บ้านดูหรูหรา ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุหลักอย่างกระจกใสเพื่อให้บ้านดูสว่าง การใช้โลหะเข้ามาเสริมเพื่อเติมความโมเดิร์นให้บ้านดูคมขึ้น
รูปแบบการก่อสร้างเป็นงานก่ออิฐฉาบปูน ด้วยอิฐมวลเบา Q-Con มีความแข็งแรง รองรับการต่อเติมได้ในอนาคต การออกแบบภายนอกจะเป็นบ้านหลังใหญ่สไตล์คฤหาสน์ ที่เน้นดีไซน์ Modern Luxury มีความเรียบหรู ด้านหน้าบ้านจอดรถได้ 5 คัน ลงเสาเข็มป้องกันการทรุดตัว พื้นปูด้วย Concrete Stamp ข้อดีคือดูมีความแข็งแรง สวยงามและทำความสะอาดง่าย ผนังทาสีเทาควันบุหรี่ดูคลาสสิคดี
ในส่วนของผนังได้ติดตั้ง EV Charger เป็นระบบไฟฟ้า 3 เฟส 50/150 เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ส่วนหลังคาติดตั้ง Solar-Roof เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นการใช้พลังงานทดแทนและแบ่งเบาค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ว่างด้านข้างบ้าน เป็น Back of House สำหรับให้แม่บ้านใช้เดินอ้อมเข้าด้านหลังบ้านเพื่อเป็นทางเข้าออกไปยังพื้นที่ทำงานได้ โดยไม่ต้องผ่านโซนที่พักอาศัยทำให้ได้เรื่องความเป็นส่วนตัวของเรา
ด้วยความที่บ้านออกแบบฟังก์ชันแบบ Oversized ทำให้มีพื้นที่การใช้สอยค่อนข้างมาก ภายในให้ความรู้สึกโปร่งโล่งด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงหลักความสวยงามและการใช้งานจริง
ประตูหน้าบ้าน Over Scale เป็นบานคู่ปิดผิวลายไม้ของ TOSTEM กรุกระจกใสเป็นช่องเล็กๆ เพื่อให้ดูไม่ทึบตันจนเกินไป มาพร้อมกับ Digital Door Lock โครงการติดตั้ง Magnetic & Shock Sensor เอาไว้ให้แล้วทั้ง 3 ชั้น ตลอดจน Smoke Detector, Heat Detector รวมถึงติดตั้งอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงจาก AIS FIBER ให้ลูกบ้านฟรี 1 ปีมีระบบ Active Air Quality ขจัดมลพิษทางอากาศในบ้านเพิ่มอากาศบริสุทธิ์
Main Entrance เข้ามาภายในตัวบ้านรู้สึกได้ทันทีถึงความโปร่งสบาย Common Area ที่มีขนาดใหญ่ มีความโดดเด่นด้วยเพดานสูงแบบ Double Volume สูง 6.8 เมตร สามารถแขวนแชนเดอร์เลียเป็นแนวยาวได้
Main Entrance เข้ามาภายในตัวบ้านรู้สึกได้ทันทีถึงความโปร่งสบาย Common Area ที่มีขนาดใหญ่ มีความโดดเด่นด้วยเพดานสูงแบบ Double Volume สูง 6.8 เมตร สามารถแขวนแชนเดอร์เลียเป็นแนวยาวได้
ความเก๋ของที่นี่คือมีความ Grand ไปเสียทุกอย่าง เช่น Grand Double Living Area, Grand Dining Room Living Area
ด้านหน้าจัดชุดที่นั่งโซฟาขนาดใหญ่ มองออกไปผ่านกระจกสูง Floor to Ceiling เห็นวิวสวนสีเขียวและสระว่ายน้ำด้านนอก มีความโปร่งด้วยการเปิดรับช่องแสงส่องสว่างจากภายนอก ผ่านบานหน้าต่างกระจกเข้ามา
ถัดเข้าไปด้านในจะเป็นมุมนั่งเล่นอีกจุด ตกแต่งได้หรูหรามีระดับ จัดวางชุดโซฟาไว้หลายที่นั่งกระจายกันไป ซึ่งจะอยู่ถัดเข้ามาด้านในทำให้ได้ประโยชน์เรื่องความเงียบ เผื่อต้องต้อนรับแขก VIP มาจิบน้ำชา หรือว่าพูดคุยงานการธุระสำคัญที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ชั้นล่างออกแบบให้มีห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ สำหรับครอบครัวใหญ่ที่อยู่อาศัยกันหลายเจนเนอเรชั่น หรือว่าจะปรับเป็นห้องเอนกประสงค์ก็ได้เช่นกันครับ
โครงการออกแบบรองรับการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุโดยคำนึงถึงหลักความสะดวกสบายและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นบานประตูที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องทั่วไป พื้นเป็นแบบ Soft Floor รองรับการกระแทกได้
ภายในจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่เอาไว้ใกล้ประตูกระจกเพื่อให้เปิดรับวิวสวนสีเขียวได้จากบนเตียงนอน เมื่อมองออกไปจะเห็นสวนด้านข้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ไม้พุ่มและไม้ดอก สีสันสดใส สดชื่นสบายตา
ผมชอบหัวเตียงที่ออกแบบเป็นกระจกแบบใสเข้ามุม ทำให้เปิดมุมมองได้กว้างกว่าปกติ
ด้านในออกแบบเป็นโต๊ะอ่านหนังสือและเป็นโต๊ะเครื่องแป้งไปในตัว มาพร้อมกับมุมแต่งตัวที่เปิดสเปซกว้างจะได้เดินได้สะดวกไม่สะดุดครับ
ขณะเดียวกันพื้นที่รอบเตียงก็มีระยะเว้นว่างเอาไว้มากพอที่จะเดินเหินได้สะดวกหรือแม้กระทั่งมีสเปซกว้างขวางรองรับการใช้รถเข็นวีลแชร์ได้
ปลายเตียงจัดวางโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ
ส่วนมุมห้องที่เชื่อมต่อกับประตูกระจกใสยังมีพื้นที่สำหรับจัดวางอาร์มแชร์ให้นั่งชมวิวภายในห้องได้
ขณะเดียวกันหากอยากจะออกไปเปลี่ยนอิริยาบทด้านนอก ก็สามารถเปิดประตูบานเลื่อนออกไปได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเดินอ้อมไปยังประตูหลักหน้าบ้าน
บ้านตัวอย่างจัดวางที่นั่งสำหรับพักผ่อนด้านนอกบริเวณเฉลียงใต้ชายคา ออกแบบให้เป็นมุมจิบชา กาแฟยามเช้าท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ และสีเขียวของต้นไม้ให้ความสดชื่นสบายใจ
ประตูฝั่งนี้ยังเป็นช่องทางออกที่สะดวกในการเชื่อมต่อกับลานจอดรถหน้าบ้าน เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถใช้ทางออกนี้ได้ทันท่วงที
มองออกไปจะเห็นสระว่ายน้ำสีฟ้าอยู่ภายนอกบ้าน ท่ามกลางบรรยากาศของสวนและต้นไม้สีเขียว กานต์ว่ามุมนี้ Vibes ดีมากครับ เหมาะสำหรับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟยามเช้า หรือนั่งพักเหนื่อยเบาๆ ระหว่างที่ว่ายน้ำ หากว่ามีพูลปาร์ตี้หรือกิจกรรมภายในบ้านก็สามารถเปิดออกได้
มี Pavilion ด้านนอก สามารถจัดชุดโซฟาที่นั่งกลางแจ้งมาวางได้ และยังมีเก้าอี้อาบแดดจัดไว้ที่มุมด้านในของสระว่ายน้ำ ดังนั้น ทุกองค์ประกอบล้วนเข้ากันได้ดีครับ เชื่อขนมกินเลยว่าสระว่ายน้ำ น่าจะเป็นมุมโปรดของใครหลายคนอย่างแน่นอน
ห้องนอนผู้สูงอายุชั้นล่างมีห้องน้ำในตัว ประตูทางเข้าออกแบบให้มีขนาดใหญ่ พื้นห้องน้ำและพื้นห้องเป็นแบบ Stepless คือพื้นเสมอกันจะไม่มีการลดหรือเพิ่มระดับเพื่อจะเดินได้ไม่สะดุด
ห้องน้ำแยกส่วนเปียกแห้งเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ บริเวณสุขาและพื้นที่อาบน้ำได้ติดตั้งราวจับเพื่ออำนวยความสะดวกเอาไว้ให้แล้ว มีอ่างล้างมือขนาดใหญ่พร้อมติดตั้งกระจกเงาแบบเต็มบาน
นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีหน้าต่างบานกระทุ้งสามารถเปิดออกไปเพื่อระบายอากาศและความชื้นภายในห้องน้ำให้ด้วยครับ
เมื่อมองจากองค์รวมของงาน Interior จะพบว่าพื้นที่ภายในบ้านออกแบบ Open plan ให้เชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Common Area ที่มีพื้นที่นั่งเล่น เป็นมุมรับแขกและดูทีวีไปในตัว
ถัดไปทางด้านขวามือจะเป็น Dining Area สามารถจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 10 ที่นั่ง หรือมากกว่านั้นได้สบายๆ เนื่องจากมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง รายล้อมด้วยกระจกใสที่มองออกไปเห็นบรรยากาศด้านหน้าบ้านซึ่งทำหน้าที่เป็นช่องแสงส่องสว่างไปในตัว
Dining Area เชื่อมต่อมุมรับประทานอาหารและครัวยุโรปเข้าด้วยกัน ติดกันมีเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ สำหรับนั่งพูดคุยกันพลางจิบเครื่องดื่มเบาๆ ก่อนจะเข้าสู่มื้ออาหารหลักต่อไป ออกแบบให้ด้านในสุดเป็นพื้นที่ของครัวยุโรปที่เชื่อมต่อกับมุมรับประทานอาหาร
ผมว่าเป็นการออกแบบที่เข้ากับยุค New Normal มากๆ เพราะเราสามารถเชิญ Celebrity Chef มาเปิด Chef Table ทำอาหารให้ทานกันถึงที่บ้านได้โดยมีครัวและอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือใช้งานได้สะดวกสบาย ให้ความเป็นส่วนตัวราวกับนั่งรับประทานอยู่ที่ Private Dining Room ของห้องอาหารชื่อดัง
ถัดเข้าไปด้านในเป็นครัวไทย สำหรับให้แม่บ้านทำอาหาร ออกแบบให้อยู่ในทำเลที่ทำให้แม่บ้านสามารถประกอบอาหารได้สะดวก ปราศจากกลิ่นรบกวนเข้ามาในตัวบ้านและยังได้ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากจะอยู่บริเวณเดียวกับ Maid Plaza
โซนทำงานของแม่บ้าน สามารถกั้นเป็นโซน Back of House คือให้เป็นทางเข้าออกของแม่บ้าน ซึ่งแยกส่วนชัดเจนออกมาจากพื้นที่หลักของตัวบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัวของเราครับ
ห้องครัวสว่างด้วยช่องแสงจากทางด้านหลัง ติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวขนาดใหญ่เป็นรูปตัวยู (U) พร้อมตู้บานปิดให้ดูเป็นตัวอย่าง มี Island ตรงกลางออกแบบมาเป็นไอเดีย ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมีฟังก์ชันการใช้งานมาให้ครบครัน ถือว่าใส่ใจในรายละเอียดได้ดีมาก
ขณะเดียวกัน โซนด้านข้างยังออกแบบให้มีประตูเล็กเชื่อมต่อจากโรงจอดรถ จะได้สะดวกมากขึ้นกรณีที่เราซื้อของมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตก็สามารถตรงเข้าครัวและนำมาเก็บไว้ใน Storage ได้ทันที และยังมีตู้เก็บของด้านนอกบริเวณลานจอดรถให้ด้วยครับ
ที่บริเวณประตูยังออกแบบให้มีแผงควบคุมระบบ Ruejai Home OS ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Smart Home เพื่อควบคุมการเปิดปิด ไฟ แอร์ ปลั๊ก และสัญญาณกันขโมยภายในบ้านผ่าน Application ที่ SC Asset พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน
ส่วนอีกด้านเป็นห้องน้ำชั้นล่างสำหรับลูกบ้านและแขกใช้งานร่วมกัน ออกแบบให้เป็นห้องน้ำแบบ Powder Room คือมีสุขภัณฑ์และอ่างล้างมือแต่จะไม่มีพื้นที่สำหรับอาบน้ำครับ
เราขึ้นมาชั้น 2 กันบ้างครับ เริ่มเข้าสู่พื้นที่แห่งการพักผ่อน แนวคิดหลักในการออกแบบจะเน้นคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้สอยภายใน กิจกรรมที่หลากหลายระหว่างพักอาศัยของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ดังนั้นทุกพื้นที่ของบ้านสามารถเชื่อมต่อทุกความสัมพันธ์ได้อย่างสมดุล โดยเชื่อมโยงฟังก์ชันให้ต่อเนื่อง ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ โดยมีบันไดและลิฟต์เป็นตัวเชื่อมทั้ง 3 ชั้นเข้าไว้ด้วยกัน ในส่วนของบันไดจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กปิดผิวด้วยไม้สัก พร้อมราวจับไม้
โครงการติดตั้งลิฟท์ของ Hitachi มาให้ ช่องลิฟต์ใหญ่พอที่จะรองรับรถเข็นได้
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเราจะพบกับโถงกลางเป็น Family Area มีพื้นที่กว้างขวาง จัดวางชุดโซฟาที่นั่งขนาดใหญ่เอาไว้หลายที่นั่ง พร้อมกับสมาร์ททีวีขนาดใหญ่ติดผนังเพื่อให้ดูโมเดิร์นมากยิ่งขึ้น
มุมนี้ค่อนข้างโปร่งด้วยกระจกใสเปิดช่องแสงในหลายด้านและยังกั้นด้วยราวกันตกเป็นกระจกนิรภัยเชื่อมต่อกับ Living Area ชั้นล่าง ที่มีหน้าต่างทรงสูงเช่นกัน ทำให้มุมนั่งเล่นสำหรับสมาชิกในครอบครัวชั้นบนดูสบายไม่อึดอัดตามไปด้วย
ผมลองถ่ายในสภาพแสงช่วงค่ำมาด้วย ดูบรรยากาศแล้วต้องบอกว่ารู้สีกถึงความอบอุ่น ความผูกพัน การล้อมวงกันเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน พูดคุยบอกเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างวันที่สมาชิกแต่ละคนได้ออกไปพบเจอมา ถือว่าเป็นฟีลลิ่งที่น่ารักภายในครอบครัวที่เราสัมผัสได้ทันที
ด้านในออกแบบให้มีมุม Pantry และมีครัวเล็กๆ ออกแบบให้เป็นเคาน์เตอร์สำหรับจัดเตรียมของว่างและอาหาร รวมถึงเป็นมุมดื่มกาแฟยามเช้าและจิบเครื่องดื่มเบาๆ ช่วยให้หลับสบายก่อนนอนด้วยครับ
จริงๆ แล้วบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ของห้องนอนรอง 3 ทว่าบ้านตัวอย่างทุบผนังออกแล้วจัดวางเคาน์เตอร์บาร์ที่มาพร้อมเก้าอี้สตูลทรงสูงสำหรับนั่งพักผ่อนซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นสบายๆ นึกไปถึงตอนเช้าที่เด็กๆ กำลังเตรียมตัวจะไปเข้าโรงเรียนก็ต้องมีการเติมพลังกันหน่อย บรรยากาศสบายๆ ไม่เร่งรีบมาก เพราะโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันอยู่ใกล้บ้านเลยครับ
ขณะที่คุณแม่และแม่บ้านกำลังง่วนเลยกับการจัดเตรียมอาหารเช้า เราสามารถเปิดรับแสงแรกของวันที่ค่อยๆ ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกใส ผมนึกภาพตามแล้วพลอยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น บรรยากาศสบายๆ ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ใกล้กันมีห้องเอนกประสงค์เล็กๆ ซึ่งปรับมาจากมุมห้องแต่งตัว บ้านตัวอย่างลองปรับฟังก์ชันการใช้งานมาให้เป็นไอเดีย ซึ่งจริงๆ แล้วเราอาจจะทำเป็นห้องหนังสือหรือ Entertainment Room ก็ได้
ในขณะที่บ้านตัวอย่างทำเป็นห้องสปาสำหรับปรนนิบัติผิวเบาๆ ในช่วงเวลากลางวันที่คุณผู้หญิงอยู่บ้านและต้องการพักผ่อน สามารถนัดเทอราพิสมานวดที่บ้านได้เลย ติดกันเป็นห้องน้ำภายในตัวซึ่งจริงๆ แล้วจะเป็นห้องน้ำภายในห้องนอนครับ
เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความที่บ้านหลังใหญ่ ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากและปรับฟังก์ชันได้หลากหลาย จึงมีการออกแบบให้โถงกลางที่เชื่อมระหว่างชั้น 2 และชั้น 3 เข้าด้วยกันเป็นอีกหนึ่งเลเยอร์
โดยบ้านตัวอย่างออกแบบให้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรม Indoor-Ourdoor ที่สามารถเปิด-ปิดประตูกระจกได้ ให้เป็นพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกัน
ไม่ว่าจะทำเป็น Art Studio เล็กๆ สำหรับสร้างสรรค์งานศิลปะของเด็กๆ หรือว่าจัดเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ ถักนิตติ้งในวันสบายๆ ของคุณแม่ และยังมีสนามพัตกอล์ฟขนาดย่อมสำหรับคุณพ่ออีกด้วย เรียกได้ว่า รังสรรค์ทุกฟังก์ชันได้ตอบโจทย์การใช้งานจริงๆ ครับ
บนชั้น 2 จะมีเพียงห้องนอนเดียวคือ Master Bedroom ซึ่งถือว่ามีขนาดกว้างมาก กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของตัวบ้านปีกขวา แบ่งฟังก์ชันการใช้สอยภายในห้องได้หลากหลายและลงตัวดีครับ
การออกแบบจะเน้นความโปร่งสบาย เนื่องด้วยขนาดพื้นที่ใหญ่อย่างที่บอกไป ภายในห้องเปิดช่องแสงจากธรรมชาติภายนอกโดยรอบ มาพร้อมกับประตูเปิดออกไปสู่ระเบียงขนาดใหญ่ ตอนนอนอาจจะต้องติดตั้งม่านทึบแสงหลายจุดหน่อยแต่ก็ถือว่าดี เพราะได้เปิดให้แสงส่องสว่างเข้าตลอดทั้งวันโดยแทบไม่ต้องเปิดไฟ บ้านตัวอย่างตกแต่งในโทนสีน้ำเงินขาว ดูคลาสสิคมากเลย
ภายในห้องแบ่งฟังก์ชันออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ด้านในสุดเชื่อมต่อกับฝั่งหน้าบ้านจะเป็นส่วนพักผ่อน บ้านตัวอย่างจัดวางเตียงนอนสีขาวขนาดใหญ่คิงส์ไซส์ได้เลยครับ รับกับผนังหัวเตียงสีน้ำเงินเข้มประดับคิ้วบัวเพื่อให้ดูมีความคลาสสิค จัดวางโคมไฟส่องสว่างสำหรับอ่านหนังสือก่อนนอนไว้ทั้ง 2 ด้าน
ส่วนปลายเตียงจัดให้มีที่นั่งสำหรับชมทีวี หรือใช้จะเป็นพื้นที่สำหรับเอกเขนกได้ตามใจ มีประตูเปิดไปสู่พื้นที่เอนกประสงค์ด้านนอกได้ด้วย ส่วนบริเวณหน้าต่างช่วงหัวเตียงจัดวางโต๊ะทำงาน อำนวยความสะดวกสำหรับผู้บริหารที่ต้องทำงานตอนเช้าตรู่หรือเคลียร์งานในช่วงก่อนนอน
ส่วนด้านข้างจัดวางชุดโซฟาขนาดใหญ่ดีไซน์โค้งมนแบบเข้ามุมเพื่อลดทอนความแข็งกระด้างของบ้านทรงสี่เหลี่ยม ทำให้บรรยากาศภายในดูละมุนใจ เบาสบายเหมาะสำหรับการพักผ่อน
ด้านในเป็นห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ติดตั้งตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเอาไว้รอบห้อง ดูหรูหราด้วยแสงไฟส่องสว่างสี Warm
ตู้เสื้อผ้าแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคั่นกลางด้วยโต๊ะเครื่องแป้ง มี Island เก็บเครื่องประดับแบบส่วนตัว ทำให้สามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานระหว่างคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงได้สะดวกยิ่งขึ้นคับ
ด้วยความที่ออกแบบให้ห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet อยู่ติดกับห้องน้ำใช้พื้นที่ต่อเนื่องกัน ทำให้สะดวกเวลาออกจากห้องน้ำมาก็สามารถแต่งตัวต่อได้เลย จบในจุดเดียว
Master Bathroom มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่พร้อมระบบเจ็ทในตัว ห้องน้ำแยกส่วนเปียก-แห้งเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ภายในโดดเด่นด้วยกระจกเงาบานใหญ่ขนาดรับกันพอดีกับอ่างล้างหน้าขนาด 2 หลุมแบบ His & Her พร้อมสุขภัณฑ์แบบ Washless อีกด้านติดตั้ง Shower Box พร้อมฝักบัวและ Rain Shower มาให้แล้ว
ความหรูหราสำหรับผมอาจเป็นเรื่องง่ายมาก เช่นการได้นอนแช่อ่างอาบน้ำฟองโฟมนุ่มเบาๆ ให้เวลายาวนานขึ้นกับการปรนเปรอตัวเองในพื้นที่ส่วนตัวของเรา เท่านี้ก็มีความสุขแล้วครับ ผมยังสังเกตว่า สถาปนิกออกแบบห้องนี้ให้มีหน้าต่างบานกระทุ้งเยอะมาก เราสามารถเปิดออกไปเพื่อระบายอากาศและความชื้นภายในห้องน้ำได้
จากชั้น 2 เราจะพาไปชมชั้น 3 กันต่อ เป็นที่ตั้งของห้องนอนรองอีก 2 ห้อง ซึ่งทางโครงการได้ติดตั้งลิฟต์โดยสารขึ้นมาถึงชั้นบนได้เลยครับ นับว่าสะดวกมาก แต่ผมอยากลองเปลี่ยนเป็นขึ้นบันไดดูบ้าง เพื่อจะได้สัมผัสกับรายละเอียดของงานออกแบบระดับแกรนด์
เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้น 3 เราจะพบกับมุมโถงขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่าง 2 ชั้นเข้าด้วยกันทำให้บ้านดูโปร่งมาก โถงทางเดินด้านหนึ่งเป็นราวกันตกด้วยกระจกนิรภัย ทำให้เรามองเห็นความเคลื่อนไหวที่บริเวณชั้น 2 ควบคู่กันไปด้วย
โถงทางเดิน จัดวางม้านั่งสำหรับนั่งชมงานศิลปะที่ประดับผนังเอาไว้ ให้ความรู้สึกแบบนามธรรมที่ต้องอาศัยการตีความอีกสักเล็กน้อยขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ของการงานศิลปะที่น่าสนใจคล้ายกับการครีเอทสไตล์การตกแต่งของบ้าน
ยอมรับเลยว่า แบบบ้าน ORVIETO มีฟังก็ชันการใช้สอยเยอะมาก ให้เราออกแบบได้ตามไลฟ์สไตล์และความสนใจ และยังมีพื้นที่เล็กๆ บริเวณชั้นบน ซึ่งผมตั้งใจว่าจะจัดวางงาน Installation Art เก๋ๆ กลางบ้านเช่นกัน
บนชั้น 3 ชั้น 3 ยังออกแบบให้มีพื้นที่ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องเอนกประสงค์ที่ออกแบบเป็นฟิตเนสส่วนตัวภายในบ้าน จะทำเป็นห้องอื่นๆ ก็ได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ Rooftop Garden สำหรับนั่งอ่านหนังสือหรือจิบชาชมวิวพระอาทิตย์ตก
ทุกห้องนอนของแบบบ้าน ORVIETO เรียกว่าเป็น En Suite คือมีห้องน้ำให้ในตัวทุกห้องเพื่อให้สะดวกและเป็นส่วนตัวในการใช้งาน
ห้องนอนรองห้องแรกอยู่ทางฝั่งด้านหลังบ้าน ทำให้ได้เปรียบเรื่องความเงียบสงบครับ
ภายในจัดวางฟังก์ชันไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นมุมพักผ่อนที่มาพร้อมกับเตียงนอนขนาดใหญ่ ปลายเตียงเป็นคาร์บิเนทสีแดงแบบลอยตัว สำหรับวางของตกแต่ง อาจจะเพิ่มสมาร์ททีวีแบบแขวนผนังเข้ามาทำให้ห้องดูเรียบนิ่งเท่มากขึ้นไปอีก
ส่วนด้านในเป็นมุมแต่งตัวที่เปิดช่องแสงเอาไว้ด้านข้างพร้อมพื้นที่สำหรับติดตั้งตู้เสื้อผ้าเชื่อมต่อกับห้องน้ำในโซนเดียวกัน
ห้องนี้จึงเหมาะสำหรับที่จะเป็นห้องชายหนุ่มวัยรุ่นผู้หลงใหลในเสียงดนตรี ดูเท่ดีมาก
ติดกันเป็นห้องนอนรอง 2 ซึ่งตกแต่งในโทนสีพาสเทลหวานๆ เอาใจเด็กสาววัยรุ่นที่ชื่นชอบแฟชั่นและงานออกแบบสุดเก๋ ห้องนี้จะมีการเปิดรับช่องแสงรอบด้านทั้งจากหน้าต่างและประตูกระจกบริเวณระเบียง ภายในจัดวางเตียงนอนเอาไว้ดีไซน์โมเดิร์นมาพร้อมกับโต๊ะหัวเตียงและโคมไฟรอบเตียงเปิดให้มีพื้นที่เดินได้โดยรอบ ส่วนด้านข้างจัดวางสตูลที่นั่งสีเดียวกันกับห้อง และปลายเตียงมีโต๊ะทำงานสำหรับออกแบบชุดเก๋ๆ ให้กับตัวเอง
ด้านในสุดเป็นห้องแต่งตัวขนาดใหญ่แบบ Walk-in Closet ติดตั้งตู้เสื้อผ้าขนาบทั้ง 2 ฝั่ง ตรงกลางจัดวาง Island สีฟ้าสดใสตัดกับสีชมพูของห้อง มาพร้อมกับห้องน้ำในตัวที่ติดตั้งอุปกรณ์ครบครัน ความพิเศษของห้องนี้ก็คือติดตั้งอ่างอาบน้ำมาให้ด้วยครับ
#โดยสรุป โครงการ Grand Bangkok Boulevard พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา นำเสนอความคลาสสิคของอาสนวิหาร Orvieto ให้เป็น Clubhouse ในโครงการที่พักอาศัย
ไม่ได้เป็นการสร้างโดยจำลอง แต่เป็นการตีความใหม่โดยใช้หลักการที่ทำให้อาสนวิหารเป็นผลงานชิ้นเอก ด้วยการเล่าเรื่องผ่านงานดีไซน์ที่ร่วมสมัย ผนวกเข้ากับการเล่นแสงและเงา ผสานเข้ากับงานฝีมือของช่างอย่างที่ไร้ที่ติ เพื่อร่วมสะท้อนแก่นของ Orvieto ออกมา เป็นการยกระดับการพักอาศัยในคฤหาสน์หรูไปสู่การใช้ชีวิตท่ามกลางงานศิลปะที่ทรงคุณค่าและควรค่าแก่การครอบครองเป็นเจ้าของ ในโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพกรีฑา
สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติม และลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่นี่ https://m.scasset.com/GGRB
หรือโทร. 062-595-3466