EAT ME [ If You Can ]
__________________________
“ลาบหมูค่ะ”
บริกรวางแก้ว Cocktail ทรงสูง เป็นเครื่องดื่มสีเหลืองอำพัน
ท๊อปด้วย Serrano Ham กรอบวางขอบแก้ว
จิบแรกเบาๆ … ลาบหมูค่อยๆ ไหลลงคอ
รสชาตดีและเหมือนมาก จนอยากขอข้าวเหนียวมาจิ้มสักปั้น
.
ใช่แล้วครับ! ผมสั่งเครื่องดื่มที่เป็น Signature ของทางร้าน
.
.
กานต์ตั้งชื่อรีวิวนี้ว่า Eat Me [if you can]
คล้ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งคุณแทบจะจับทางเขาไม่ได้เลยครับ
Cocktail อีกแก้ว อย่าง “แกงไตปลา” ก็เช่นกัน
เสิร์ฟมาในแก้วมีหู สีทองแดง ประดับด้วยพริกและเครื่องเทศ
.
จิบแรกให้ความรู้สึกเผ็ดร้อน มีความหอมของสมุนไพรไทย
ที่มากกว่าขิงข่าตะไคร้ แบบที่หลายร้านนิยมนำมาทำเครื่องดื่ม
ร้านนี้มีชื่อว่า ” Eat Me Restaurant “
เจ้าของรางวัลการันตี Asia’s 50 Best Restaurants 2015-2018
.
.
หลังจากขับรถผ่านแถวคอนแวนต์หลายครั้ง
ผมก็ได้โอกาสไปทานที่ร้านนี้เสียที
แม้จะเปิดบริการมากว่า 20 ปี แต่ร้านยังคงมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
คอยเติมสีสันให้กับ “สีลม” ย่านที่ต่างชาติชอบมาเที่ยวได้อย่างดี
.
.
สัมผัสแรกกับการตกแต่งให้บรรยากาศร้านออกมาเท่ๆ
ด้านหน้าเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ดูกลมกลืน มีสีเขียวของต้นไม้
มองเข้าไปจะตกแต่งด้วยสีโทนดำ ขับโซฟาแดง ปูนเปลือยดิบ
บางจุดมีความสว่างไม่มากนัก ด้วยแสงไฟ
เหมือนสุภาพบุรุษนิ่งขรึม ปากคาปไปป์ สวมใส่สูทและแว่นดำ
ดูภายนอกเหมือนคนทำตัวลึกลับ “น่าเข้าถึงยาก” – หลายคนคิด
แต่หากได้มานั่ง ผมมั่นใจว่าเราจะเข้าใจในตัวตนของทางร้าน
ที่คงคอนเซปท์แบบ “เท่แต่คูล” เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
.
.
เป็นร้านอาหารหรูที่ไม่ค่อยมีพิธีรีตรองมากนัก
ผมชอบตรงนี้ ได้ฟีลสบายๆ
กอปรกับความเป็นกันเองของพนักงานที่บริการได้อย่างมืออาชีพ
คอยกวาดตาดู เติมน้ำตลอดเวลา
ที่นี่จะเสิร์ฟเป็นอินฟิวส์มิ้นท์ครับ หอมดี
.
.
ร้านนี้แนะนำว่าควรจองมาก่อนครับ
เพราะวันที่ไปพนักงานแจ้งว่ามีแขกพิเศษมาเยอะ
อาศัยว่าผมไปเร็ว อยากจะไปเก็บภาพด้วย
เปิดประตูเข้าไปในร้าน จะพบกับความขรึม
สลับกับไฟสลัว และเพลงที่มีกรูฟนิดๆ
ไม่อยากจะคิดถึงตอนเมาเลยครับ ว่าจะฟีลดีขนาดไหน
.
.
ร้านเปิดตั้งแต่บ่าย 3 จริงๆ มีอาหารกลางวันให้ทานด้วย
เผื่อใครงานยุ่ง คุยงานเยอะๆ จนลืมเวลา ก็แวะมาก่อนได้
บาร์มีให้บริการทั้ง 2 ชั้น … จิบกันตั้งแต่บ่ายเลยครับ
.
จากนั้น ก็จะเริ่มให้บริการดินเนอร์ครับ
เริ่มจากขนมปังที่ทางร้านทำแป้งและอบเอง – อร่อยมากครับ
ผมสั่งอาหารมาทาน 3-4 อย่าง ก่อนจะตบท้ายด้วยของหวาน
เอาแบบครบคอร์สเล็กๆ
.
.
วันนี้ อาจจะแค่มาลองดูก่อนว่าร้านเป็นอย่างไร
แต่พอได้สัมผัส Eat Me ครั้งนี้แล้ว
ผมว่า ครั้งหน้ามีจัดเต็มแต่นอนครับ – I can
—
Eat Me Restaurant
เปิดบริการ: ทุกวัน เวลา 15.00 – 01.00 น.
ตั้งอยู่เลขที่: 1/6 ซอยพิพัฒน์ 2 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ
โทร: 0-2238-0931
สั่ง “ลาบหมู” มาจิบ
อ่านไม่ผิดหรอกครับ
เป็นเครื่องดื่มสูตรพิเศษของทางร้านที่ใช้วอดก้าเป็นเบส เพิ่มความหอมแบบลาบไทยๆ โดยใช้หอมแดง สะระแหน่ และผักชีมาผสมผสาน ออนท็อปด้วยแฮมเซอร์ราโนอบกรอบ รอบแก้วเป็นเครื่องเทศคั่วหอมๆ
ขอบอกว่าแซ่บมาก จนอยากได้ข้าวเหนียว
ชอบความคลาสสิคแบบเรียบหรูของรูปนี้
ร้านสีโทนดำ ตัดสลับกับโซฟาสีแดง ขับด้วยไฟให้โดดเด่น
อิ่มมาตั้งแต่ขนมปัง อร่อยมาก
แป้งคือดีย์ มีความเหนียวและกรอบตามสไตล์ฝรั่งเศส เสิร์ฟพร้อมกับ Olive Oil และถั่วป่น 3 ชนิดนั่นคือเฮเซลนัท อัลมอนด์ และมะม่วงหิมพานต์ คลุกเคล้าด้วยเครื่องเทศเพิ่มความหอม
Heirloom Tomato Salad สลัดมะเขือเทศแฮร์ลูมเนื้อเยอะ เสิร์ฟพร้อมซุปกัซปาโชเย็นราดกันเดี๋ยวนั้นที่โต๊ะ เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับจานนี้ เสิร์ฟพร้อมกับปลาแอนโชวีและแฮมกรอบ
มะเขือเทศรสหวานทานง่ายครับ
เครื่องดื่มอีกตัวที่อยากแนะนำคือ Featherweight ซึ่งได้รับรางวัลจาก REMY & COINTREAU THAILAND 2017 ครับ
เบสด้วยครองทรูต์ หรือ เหล้าไร้สีที่บ่มมาจากส้ม เพิ่มความหอมขึ้นด้วยส้มยุซุโฮมเมดผสมกับผักชีลาว ให้ความเปรี้ยวหวานหอมสดชื่น ออนท็อปด้วยโฟมไข่ขาวและโรสแมรี่
แก้วนี้จิบง่ายให้ความรู้สึกเบาสบายลื่นๆ จิบได้เรื่อยๆ ครับ
Sea Urchin Bruschetta บรูสเค็ตต้าที่ท๊อปด้วยอุนิ หรือไข่หอยเม่นจากญี่ปุ่น พร้อมด้วยเซอร์ราโนแฮมและสาหร่ายโนริ จานนี้อร่อยดีครับ
Grilled Veal Tongue ลิ้นวัวนำเข้าจากออสเตรเลีย ตุ๋นเครื่องเทศนานกว่า 4 ชั่วโมง จนหอมและนุ่มกำลังดี จากนั้นก็นำไปเซียร์เพื่อเพิ่มสัมผัสของการรับประทาน ราดด้วยซอสโฮมเมดสูตรพิเศษของเชฟ ตัดเลี่ยนด้วยกิมจิและแอปเปิ้ลเขียวแบบลงตัว
แกงไตปลา เครื่องดื่มน่าสนใจอีกตัว
Grilled Abalone Plankton Rice เป็นหอยเป๋าฮื้อญี่ปุ่นกริลล์ให้พอสุกปรุงรสด้วยพริกไทย เกลือ ท๊อปบนข้าวริซอสโตปรุงรสด้วยเครื่องเทศและพิเศษด้วยแพลงตอน
จานนี้อร่อยมากครับ
EAT ME มีเจ้าของร้านคือคุณ Darren Hausler และน้องสาว คุณ Cherie Hausler เปิดมากนานกว่า 20 ปี นับเป็นร้านอาหารชื่อดังระดับนานาชาติแห่งหนึ่งของเมืองไทยที่ต่างชาติรู้จัก
ระยะหลังทางร้านได้เพิ่มความเป็นแกลอรี่ด้วยการนำภาพวาดของศิลปินชื่อดังจากทั่วโลกมาประดับ ตามคอนเซปต์ของร้านคือ “Having a good life” หรือการมีชีวิตที่ดี
คือการได้ทานอาหารที่ดี ได้ลิ้มรสไวน์ชั้นดี ได้ชมงานศิลปะ ได้รับการบริการที่ดี ภายใต้บรรยากาศที่เหมาะสม ทุกอย่างคือ “ศิลปะของการใช้ชีวิต” ที่รวมอยู่ด้วยกัน
ผมชอบบรรยากาศของร้านที่ออกแบบได้สวยงามคลาสสิก ผลงานการออกแบบตกแต่งของดีไซน์เนอร์ชาวอเมริกัน “เคลลี่ วีทท์ลี” (Kelly Wheatly)
เริ่มต้นสำรวจร้านจากชั้น 2 ที่จริงมี 3 ชั้น แต่ชั้นบนสุดไม่ได้เปิดบริการทั่วไป จะเป็นกรณีพิเศษ หรือถ้าโต๊ะเต็มจริงๆ
ส่วนชั้น 2 ก็อย่างที่เห็น มีทั้งโซนห้องแอร์เย็นๆ แล้วยังมีส่วนของบริเวณระเบียงด้านนอก ให้ได้เลือกนั่งรับลมธรรมชาติสบายใจ ประดับด้วยแมกไม้สบายตา
มีห้องกระจกส่วนตัวสำหรับกรุ๊ปพิเศษ
ของหวานจานแรก เป็น Sticky Date Pudding เป็นเค้กเนื้อไม่หนักมากแต่หนึบดี ทานคู่กับไอศกรีมโฮมเมด รสวานิลลา ราดด้วยซอสคาราเมล
ของหวานจานต่อมา เป็น Flourless Dark Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง เนื้อแน่น ราดด้วยซอสชอคโกแล็ตเข้มข้น
บริเวณบาร์ชั้น 2
ลงมาชั้นหนึ่งก็มีบาร์เช่นกันและใหญ่กว่าครับ เหมาะสำหรับสายปาร์ตี้
มิกซ์โซโลจิส รังสรรค์เครื่องดื่มชั้นเลิศให้เราตลอดเวลา
โซนเอ้าท์ดอร์ด้านนอกร้านบริเวณทางเข้า
ด้านในชั้นหนึ่ง บรรยากาศผมว่าเหมาะสำหรับจัดปาร์ตี้ทานข้าว ดื่มกับกลุ่มเพื่อนเบาๆ ครับ
EAT ME เป็นอีกร้านที่ผมชอบและอยากจะมาอีกครับ ครั้งหน้าจะมาค่ำหน่อย อยากจะมานั่งดริงก์ที่บาร์ เพราะมีเครื่องดื่มอีกหลายตัวมาก ที่อยากลอง
ใครสนใจอย่าลืมจองโต๊ะก่อนนะครับ