“𝐋𝐞𝐬𝐬 𝐢𝐬 𝐦𝐨𝐫𝐞”
.
คนที่พูดไว้คือ Ludwig Mies Van Der Rohe สถาปนิกชาวเยอรมันผู้เป็นปรมาจารย์ด้านการออกแบบที่มีชื่อเสียง กลายเป็นแนวคิดการออกแบบที่ได้รับความนิยมมาก ประยุกต์และพัฒนาจนกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์แบบ Minimalist
.
แนวคิดนี้อยู่บนพื้นฐานการออกแบบที่มุ่งทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เราสามารถสร้างพื้นที่ที่ทั้งใช้งานได้จริง มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ใช้สอย ที่สำคัญยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น การออกแบบบ้านให้มีขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้เราลดปริมาณการใช้พลังงานและทรัพยากรในการทำความร้อน ทำความเย็นและส่องสว่างได้ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเงิน แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเราด้วยและยังช่วยให้เราได้กลับคืนสู่ธรรมชาติสามัญ
.
COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) เป็นอีกหนึ่งโครงการที่นำแนวคิดนี้มาใช้ในการออกแบบการอยู่อาศัย ผสานไปกับคอนเซ็ปต์ “Canvas of life” นำเสนอผ่านงานดีไซน์ที่ใช้เส้นสายสะอาดตา ทันสมัย เลือกโทนในสไตล์มินิมอลอย่างสีขาว ครีมและไม้ ที่สามารถปรับเข้าได้กับทุกบริบท สร้างความรู้สึกสงบให้กับผู้อยู่อาศัย
.
ผมชอบบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากไม้ ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความกว้างขวางและโปร่งสบายของพื้นที่ภายในบ้านมากขึ้น เป็นต้นแบบให้กับโครงการอื่นที่ต้องการสร้างความยั่งยืนในการอยู่อาศัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
.
นอกเหนือจากองค์ประกอบการออกแบบที่ยั่งยืนและเรียบง่ายแล้ว COMO Bianca II ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เพื่อเพิ่มประสบการณ์การอยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัย มีสวนขนาดใหญ่ให้เราได้จูงน้องหมามาวิ่งเล่น หรือจะเป็นการออกกำลังกายที่สระว่ายน้ำหรือในฟิตเนสของ Clubhouse ท่ามกลางบรรยากาศของสวนสีเขียว มี Glasshouse ตั้งอยู่กลางสวน หรือจะเลยไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งใหม่ MEGA PARK ก็ได้ เพราะโครงการนี้อยู่ใกล้เมกา บางนามาก
.
กานต์จึงอยากชวนให้คลิกเข้าไปชมภาพและอ่านเรื่องราวในคอลเลคชั่น COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) ด้านในไปพร้อมๆ กันครับ
.
นัดหมายเพื่อเยี่ยมชมโครงการได้ที่ >> https://bit.ly/3QDR0j1
—
COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจาก COMO Bianca ที่กานต์เคยพาไปชมมาแล้ว เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จและปิดโครงการไปได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันและมีการคงฟังก์ชั่่นและงานดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่ายและเกิดประโยชน์ใช้สอยสูงสุด
COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) ยังคงมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์บ้านเดี่ยวสไตล์ Minimal Eco Living
ดีไซน์ของตัวบ้านตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความใส่ใจกับการใช้ชีวิตในรูปแบบมินิมอล ตัวบ้านสีขาวตัดกับพื้นผิวของไม้สีน้ำตาล ทำให้บ้านดูอบอุ่นและเรียบง่าย เน้นแต่สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและการดำเนินชีวิตที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม เชื่อมต่อกับพื้นที่ธรรมชาติภายนอกบ้านมากขึ้นอย่าง Bay Window, Terrace ที่มาพร้อม Bianca eco backyard หรือสวนส่วนตัวข้างบ้าน
พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน เป็นแบบ Open Plan ออกแบบให้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจและเข้ากับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของผู้อยู่อาศัยแต่ละครอบครัว ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มคนเจน Y ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัว ทำให้ COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) เป็นตัวเลือกที่ดี ในการผสาน Work Life Play Balance เข้าด้วยกันในบ้านหลังนี้
ผมชอบที่ “ฟรานซิส เจอร์เดน” สถาปนิกชื่อดังในยุคอาร์ตนูโวบอกว่า
“𝐎𝐧𝐞 𝐜𝐚𝐧 𝐟𝐮𝐫𝐧𝐢𝐬𝐡 𝐚 𝐫𝐨𝐨𝐦 𝐯𝐞𝐫𝐲 𝐥𝐮𝐱𝐮𝐫𝐢𝐨𝐮𝐬𝐥𝐲 𝐛𝐲 𝐭𝐚𝐤𝐢𝐧𝐠 𝐨𝐮𝐭 𝐟𝐮𝐫𝐧𝐢𝐭𝐮𝐫𝐞 𝐫𝐚𝐭𝐡𝐞𝐫 𝐭𝐡𝐚𝐧 𝐩𝐮𝐭𝐭𝐢𝐧𝐠 𝐢𝐭 𝐢𝐧.”
ใครๆ ก็สามารถตกแต่งห้องให้หรูหราได้ด้วยการหยิบเฟอร์นิเจอร์ออกมาใช้แทนการใส่เข้าไป ซึ่งพอได้มาเห็นงานดีไซน์ของ COMO Bianca II ผมว่ามันใช่ตามที่เจอร์เดนพูดไว้เลยครับ เน้นความเรียบง่ายของการอยู่อาศัย ไม่ต้องถมเฟอร์นิเจอร์เข้าไปจนมากเกิน เท่านี้ก็สัมผัสถึงความหรูหราได้
บ้านตัวอย่างที่เรามาชมกันในวันนี้เป็นบ้านเดี่ยว ที่ดินเริ่มต้น 50-77.2 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 183 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ หน้าบ้านจอดรถได้ 2 คัน
งานดีไซน์ยังคงความเรียบง่ายในสไตล์ญี่ปุ่นที่ดูมินิมอล เปิดรับช่องแสงจากธรรมชาติรอบด้านเพื่อให้บ้านดูสว่างในตอนกลางวันถือเป็นการช่วยประหยัดพลังงานไปในตัว พื้นที่รอบบ้านประดับตกแต่งด้วยต้นไม้ ไม้ดอกและไม้พุ่ม ทำให้บรรยากาศของการอยู่อาศัยเป็นไปอย่างสดชื่น สบายใจไม่รู้สึกอึดอัด
หน้าบ้านมี Terrace และลานกว้างออกแบบให้เป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบ Sunken Seating ดีไซน์กลมมน ช่วยลดทอนความแข็งแรงของตัวบ้านทรงเหลี่ยมได้ดี ผมนึกไปถึงตอนบ่ายแก่ๆ ในช่วงเวลาฤดูหนาวแบบนี้ สามารถมานั่งเล่นรับลมเย็นๆ อ่านหนังสือ พร้อมกับจิบชาเอิร์ลเกรย์แก้วโปรดไปด้วย เท่านี้ก็มีความสุขมากแล้วครับ
ส่วนพื้นที่ข้างบ้านบริเวณด้านขวา ถูกออกแบบให้เป็น Bianca eco backyard หรือสวนส่วนตัวข้างบ้าน เป็นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้า จิบกาแฟพร้อมขนมปัง ฟังเสียงน้ำพุตกกระทบเบาๆ
เรารู้สึกเย็นกายสบายใจมาก เป็นชีวิตที่ค่อนข้างสโลว์ไลฟ์ไม่ต้องเร่งรีบ ด้วยเพราะความโดดเด่นของโลเคชั่นที่เดินทางง่าย เชื่อมต่อถนนหลายสาย ยิ่งใครที่ทำงานแถวสนามบินสุวรรณภูมิหรือถนนบางนา-ตราด ผมว่าสบายเลยครับไม่ต้องลำบากรีบตื่นเช้า นั่งชิลล์เบาๆ ที่หน้าบ้านก่อนได้ยังไงก็เข้างานทัน
ตัวบ้านออกแบบมาในสไตล์ Minimal Eco Living ภายนอกทาสีขาว ตกแต่งผนังบริเวณลานจอดรถด้วยผนังกระเบื้องลายไม้สีน้ำตาล ให่้ความรู้สึกถึงธรรมชาติที่แวดล้อมอยู่รอบตัวเรา ดูเป็นบ้านที่มีความเป็น Minimalist ที่สำคัญเป็นบ้านที่ถ่ายรูปสวยด้วยครับ ผมอัพรูปลง IG มีแต่คน DM มาถามว่าโครงการนี้คือที่ไหน
COMO Bianca II (โคโม่ เบียงก้า 2 บางนา) น่าจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ผมมั่นใจว่าขายดี ปิดการขายได้อย่างรวดเร็วแน่นอนครับ
บริเวณลานจอดรถจะมีประตูบานไม้สำหรับเปิดเข้าบ้าน ซึ่งผมว่าเป็นฟังก์ชั่นที่สะดวกมากหากเราซื้อของมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาด เราสามารถเปิดประตูแล้วตรงเข้าบ้านเพื่อไปวางของในห้องครัวได้ทันที
ลานจอดรถเป็นพื้นลานเป็นคอนกรีตฉาบเรียบ โครงการลงเสาเข็มแยกส่วนจากตัวบ้านมาให้แล้วครับ เป็นแบบปูพรมลึกถึง 6 เมตร เพื่อแก้ปัญหาในอนาคต ลานจอดรถจะได้ไม่ยุบตัวและป้องกันไม่ให้เกิดรอยร้าวที่พื้นบ้าน
Entrance อีกจุดจะเป็นประตูฝั่ง Terrace หน้าบ้าน สามารถเข้าออกทางนี้ได้เช่นกัน ด้านหน้ามีชายคาที่ยื่นออกมาจากชั้นบนเพื่อช่วยป้องกันแดดกันฝน
ประตูเป็นกระจกเขียวตัดแสงบานเลื่อน 1 ฝั่งขนาดใหญ่ เพื่อเข้าออกทางห้องเอนกประสงค์ได้ ซึ่งหากใครออกแบบให้ห้องนี้เป็นพื้นที่รับแขกก็นับว่าสะดวกมากเลยครับจะได้ไม่รบกวนสมาชิกที่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน สามารถเชิญแขกมานั่งพูดคุยธุระได้ที่ห้องนี้ทันที
แต่บ้านตัวอย่างตกแต่งให้เป็นมุมพักผ่อนส่วนตัวซึ่งก็เข้าท่าดีเช่นกัน เหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก ได้ชมวิวสวนด้านหน้า ในบรรยากาศสบายๆ ภายในเปิดรับช่องแสงสว่างจากหน้าบ้านได้ ด้านหน้า Terrace มีพื้นยกสเต็ป 1 ระดับสามารถถอดรองเท้าหรือจัดเป็นตู้เก็บรองเท้าบริเวณนี้ได้
ถัดจากห้องเอนกประสงค์ด้านหน้า เมื่อเดินเข้ามาภายในตัวบ้านเราจะพบกับพบกับ Common Area ที่มีขนาดใหญ่ ภายในบ้านตัวอย่างตกแต่งในสไตล์ Mininal มีสีขาวเป็นหลักตัดกับสีน้ำตาลของไม้เน้นความเรียบง่าย
ทว่าพื้นที่นี้มีความโอ่อ่ากว้างขวาง ที่สำคัญด้วยการออกแบบ Space เเบบ Open Plan ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามความต้องการ เพื่อให้ความสำคัญกับการสร้างปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ชั้นล่างแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 โซนเชื่อมต่อกัน ด้านหน้าเป็นจัดเป็น Liivng Area ขนาดใหญ่สำหรับรับรองแขกหรือให้สมาชิกในครอบครัวได้พักผ่อนร่วมกัน ทีวีเป็นแบบติดฝาผนังพร้อมชั้นวางเป็นไม้สีน้ำตาลอ่อนทำให้บ้านดูมีความโมเดิร์น
ภายในบ้านให้ฝ้าเพดานชั้นล่างสูง 2.7 เมตร ตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้บุผ้าสีเบจ พร้อมงานเก้าอี้ทรงกลมมนดีไซน์สวย มีโซฟา 2 ตัวประกบเป็นรูปทรงตัวแอล (L-Shape) Built in เป็นที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายในกับภายนอกบ้านเข้าด้วยกันผ่าน Bay Window ผนังเป็นกระจกใสแบบ Full-height เปิดช่องแสงเข้ามาภายในบ้านได้รอบด้านและยังได้รับวิวสวนด้านนอก พร้อมประตูด้านข้างที่สามารถเปิดออกไปยังสวนและพื้นที่นั่งพักผ่อนได้ทันที
อีกหนึ่งไฮไลท์ของบ้านที่ผมว่าน่าสนใจก็คือ Bay Window ด้านข้างเป็นหน้าต่างแบบ Oversize ขนาดใหญ่พิเศษ มองเห็นวิวสวนและเปิดรับแสงสว่างเข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้บ้านสว่างแทบทุกจุดในตอนกลางวันโดยไม่ต้องเปิดไฟ เป็นการประหยัดพลังงานไปในตัว อีกทั้งยังสามารถเลื่อนเปิดกระจกออกได้ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทไหลเวียนของอากาศภายในบ้าน
เชื่อมต่อกับ Living Area จะเป็นพื้นที่สำหรับจัดวางโต๊ะรับประทานอาหาร พร้อมกับเคาน์เตอร์ครัวที่ทำหน้าที่แบ่งสัดส่วนระหว่างห้องครัวด้านในกับ Dining Area และด้านล่างสามารถใช้เป็นตู้เก็บของได้ ซึ่งเราสามารถปรับดีไซน์ให้เป็น Pantry แบบเข้ามุมเป็นรูปทรงตัวแอล (L-Shape) ก็ได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดวาง เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าเราสามารถดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้สอยต่างๆ ภายในบ้านได้ตามไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย
ด้านข้างมีประตูสามารถเปิดออกไปยังสวนข้างบ้านได้ หรือหากมีแขกมาเยี่ยมบ้านเราก็สามารถอ้อมมาใช้ประตูทางเข้าฝั่งนี้ได้เช่นกันเพื่อตรงไปสู่ครัวด้านใน ซึ่งออกแบบให้มีประตูบานปิดกั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วน เพื่อป้องกันกลิ่นและควันเวลาทำอาหารเข้าสู่ตัวบ้าน
ห้องครัวของบ้านตัวอย่างทำ Built in เคาน์เตอร์ครัวเป็นรูปทรงตัวแอล (L-Shape) มาให้ พร้อมติดตั้งอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควัน มาให้ดูเป็นไอเดีย แต่ถ้าเป็นบ้านมาตรฐาน ห้องนี้จะเป็นห้องเปล่าเพื่อให้เราครีเอทห้องครัวได้ตามใจ
ห้องครัวจะมีประตูเปิดออกไปด้านนอก เป็นลานซักล้าง หรือใครที่ชอบทำอาหาร สามารถปรับเป็นครัวไทยได้
นอกจากนี้ ทางโครงการได้จัดเตรียมเครื่องกำจัดขยะและเศษอาหารมาให้ ตามแนวคิด Zero Waste System เพื่อลดปริมาณขยะด้วยนวัตกรรมทันสมัย ด้วยการนำเศษขยะที่เหลือมาทิ้งมาบดละเอียดทำเป็นปุ๋ย และขยะบางประเภทสามารถ Recycle ได้ โดยทางโครงการได้จัดให้มีถังแยกขยะเอาไว้ให้
เราสามารถเช็คได้จากแอปพลิเคชัน “Recycle Time” ซึ่งเป็นแอพที่จะคอยบอกวันเวลาที่รถเก็บขยะแบบรีไซเคิลจะเข้ามารับขยะ จากนั้นจะแจ้งยอดจำนวนเงินที่ขายขยะรีไซเคิลจากบ้านของเราได้ แล้วก็โอนเงินกลับเข้ามาให้เราในแอปได้เลย เป็นการแปลงขยะให้มีมูลค่าได้จริงๆ ครับ
นับเป็นอีกหนึ่งในนวัตกรรมที่เชื่อมต่อกับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี เป็นสุดยอดไอเดียเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ผมว่าอารียาคิดตรงนี้มาได้ดีมาก
ห้องน้ำชั้นล่างจะอยู่ติดกับครัว ผนังปูด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลอ่อนเป็นแนวเดียวกันไปจรดกับเพดาน ส่วนพื้นห้องน้ำปูกระเบื้องเซรามิกแบบด้านสีน้ำตาลอ่อนเข้ากันดีมากครับ ด้านในสุดเป็นพื้นที่ Shower ซึ่งติดตั้งฝักบัวมาให้ เราสามารถติดตั้งกระจกกั้นเพิ่มได้เพื่อแยกส่วนเปียกแห้งออกจากกันให้ชัดเจน
สุขภัณฑ์และอ่างล้างมือให้เป็นของ American Standard ส่วนด้านหลังเป็นกระจกเงาบานใหญ่ พร้อม Low Wall ช่วยเพิ่มพื้นที่วางของได้ และผมว่ากลายเป็นอัตลักษณ์ในงานดีไซน์ของบ้านอารียาไปเสียแล้วครับ นับว่าเป็นการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีครับ
บันไดจะอยู่ฝั่งตรงกลางชิดผนังเพื่อเชื่อมต่อกับทุกพื้นที่เข้าไว้ด้วยกัน ที่ผมประทับใจและมองว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านยุคใหม่ได้ดี คือการเพิ่มพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงเอาไว้ให้อย่างเป็นสัดส่วน
โดยจะใช้พื้นที่ใต้บันไดซึ่งปกติแล้วจะเป็นห้องเก็บของทั่วไป สถาปนิกของโครงการออกแบบให้มีประตูบานใหญ่ปิดไว้ พร้อมเจาะช่องด้านล่างทำเป็นห้องนอนน้องหมา น้องแมวได้ ด้านในมีพื้นที่กว้างสามารถวางห้องน้ำอัตโนมัติและเครื่องให้อาหารอัตโนมัติได้ เราสามารถติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพิ่มเติมภายในห้องนอนสัตว์เลี้ยงได้เช่นกัน ในฐานะคนเลี้ยงน้องแมว นี่เป็นไอเดียที่ผมชอบมากครับ
ขึ้นบันไดไปชมชั้น 2 ของบ้านกันบ้าง ลูกตั้งลูกนอนของบันไดเป็นไม้ประสานสีน้ำตาลลายไม้แบบเข้าล็อคต่อกัน ราวกันตกเป็นเหล็กทาสีขาว ส่วนมือจับเป็นลายไม้เข้ากันดี
ตรงกลางบริเวณชานพักบันไดเป็นขั้นสามเหลี่ยม 4 ขั้น พร้อมผนังกระจกบานใหญ่เพื่อเปิดรับแสงสว่างบริเวณโถงบันไดในช่วงกลางวัน พร้อมกับติดตั้งโคมไฟแบบแขวนเพื่อเพิ่มแสงในเวลากลางคืน เราสามารถติดตั้งผ้าม่านเปิดปิดได้แบบเดียวกับบ้านตัวอย่างได้เลย
ลองมองมุมย้อนจากบันไดไปยัง Living Area ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่สวนนอกบ้าน เป็นบรรยากาศของบ้านที่ให้ความรู้สึก Cozy มากๆ ครับ
ชั้นบนเปฺ็นโซนพักผ่อนทั้งหมดประกอบด้วย 3 ห้องนอน เริ่มจาก Master Bedroom กันก่อน ห้องนี้กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของตัวบ้านชั้นบน
เมื่อเดินเข้ามาผมรู้สึกว่าหลงรักในทันทีเพราะตัวห้องเพดานสูง 3 เมตรดูสูงโปร่ง ผนังด้านหน้าบ้านเป็นกระจก Full Height ประตูบานเลื่อนเปิดช่องแสงธรรมชาติด้านหน้าบ้านส่องผ่านเข้ามาสู่เตียงนอนได้ทันที มีเงาจากร่มไม้รำไรคอยอยู่เป็นเพื่อนเรา
ประตูสามารถเปิดออกเพื่อระบายอากาศได้ ทำให้ภายในห้องดูโปร่ง โล่งอยู่สบายไม่รู้สึกอึดอัด เราสามารถเดินไปที่ระเบียงด้านนอกได้ ทางโครงการได้ติดตั้งราวกันตกเป็นกระจก Temper พร้อมมือจับอลูมิเนียม แนะนำให้หาไม้กระถางขนาดใหญ่มาวางเพิ่มที่ระเบียงครับ และถ้ามองจาก Top View ลงมาจะเห็นเป็นสวนด้านหน้าบ้าน เชื่อมต่อบริบทแวดล้อมกันได้ดี
ภายในห้องนอนจัดวางเตียงขนาดคิงส์ไซส์ไว้ตรงกลาง หัวเตียงบุนวมสีเบจดูเรียบหรู เข้าคู่กับชุดผ้าปูที่นอนสีขาว มีโคมไฟส่องสว่างตั้งไว้ที่บริเวณหัวเตียง พร้อมกับคาบิเบทแบบเตี้ยสำหรับวางของ
ปลายเตียงเป็นผนังเปลือยสีขาวติดตั้งทีวีแบบแขวนพร้อมกับทำหน้าที่กั้นเป็นห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ให้เราได้สนุกสนานกับการแต่งตัวในมุมส่วนตัว
ห้องแต่งตัวมีการเว้นพื้นที่สำหรับเปิดช่องแสงผ่านกระจกจากบริเวณหน้าบ้าน เพิ่มแสงสว่างจากธรรมชาติภายนอกเข้ามาในห้องแต่งตัว ซึ่งจะอยู่ติดกับโต๊ะเครื่องแป้งเลยครับ ทำให้เราได้รับแสงธรรมชาติขณะที่เราแต่งตัว
ภายในห้องนอนมีห้องน้ำในตัว ผนังปูกระเบื้องเป็นลายหินอ่อนสีขาวดำจรดเพดาน ออกแบบให้มีบานกระทุ้งด้านใน สามารถเปิดออกได้เพื่อระบายอากาศและไล่ความชื้น สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำให้เป็นของ American Standard ครับ
ฝั่งตรงข้ามห้องนอนหลักจะเป็นห้องนอนรอง มี 2 ห้องอยู่ติดกัน ซึ่งทั้งสองจะต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน ไม่มีห้องน้ำในตัว
ห้องนอนแรก จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ตกแต่งในสไตล์เด็กวัยกำลังโต แต่ยังคงเน้นคุมโทนสีน้ำตาลและเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จากไม้และผ้า ให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจ ภายในห้องจัดวางฟังก์ชั่นอย่างเป็นสัดส่วน มีเตียงนอนอยู่ค่อนไปทางด้านในเกือบชิดผนัง ซึ่งข้อดีก็คือเป็นกระจกที่เลื่อนเปิดออกได้ หัวเตียงเจาะช่องเป็นซุ้มโค้งไว้อย่างน่ารัก พร้อมกับเตียงนอนที่ยื่นทะลุเข้าไปด้านใน หัวเตียงอีกฝั่งออกแบบให้เป็นที่เก็บของหรือชั้นวางหนังสือได้ ส่วนปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับจัดวางโต๊ะทำการบ้านอ่านหนังสือ
ส่วนตัวผมชอบการออกแบบมุมนี้มาก ชอบการเลือกใช้สีเอิร์ธโทนอ่อนๆ นุ่มนวลสบายตา ดูเรียบเก๋ด้วยผนังโค้งกลมมน มาปรับให้บ้านทรงสี่เหลี่ยมดูสมูธมากยิ่งขึ้นครับ
ห้องน้ำในห้องนอนรอง ตกแต่งในสไตล์มินิมอล พร้อมอ่างล้างหน้าและสุขภัณฑ์จาก American Standard โดดเด่นด้วยกระจกเงาบานใหญ่ ให้เราได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ในพื้นที่ส่วนตัว
ส่วนห้องนอนรองอีกห้อง ออกแบบให้เป็นห้องทำงาน ซึ่งให้ความเป็นส่วนตัวได้ดี เหมาะสำหรับบ้านที่มีจำนวนสมาชิกไม่มาก หากมีห้องว่างก็นำมาเป็นปรับเป็นห้องนอนแขกก็ได้ หรือทำเป็นห้องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นโฮมออฟฟิศ ห้องหนังสือ ห้องสำหรับดูหนังฟังเพลง
จุดเด่นของห้องนี้ที่ผมชอบก็คือมีการเปิดช่องแสงไว้ถึงสองด้าน ทำให้ห้องดูสว่างมาก เปิดออกเพื่อระบายอากาศได้ เรายังสามารถติดตั้งม่านโปร่งและม่านทึบแสงคู่กันได้หากต้องการให้เกิดความเป็นส่วนตัว
“𝑴𝒊𝒏𝒊𝒎𝒂𝒍𝒊𝒔𝒎 𝒊𝒔 𝒏𝒐𝒕 𝒂 𝒍𝒂𝒄𝒌 𝒐𝒇 𝒔𝒐𝒎𝒆𝒕𝒉𝒊𝒏𝒈. 𝑰𝒕’𝒔 𝒕𝒉𝒆 𝒑𝒆𝒓𝒇𝒆𝒄𝒕 𝒂𝒎𝒐𝒖𝒏𝒕 𝒐𝒇 𝒔𝒐𝒎𝒆𝒕𝒉𝒊𝒏𝒈. 𝑰𝒕’𝒔 𝒂𝒃𝒐𝒖𝒕 𝒇𝒊𝒏𝒅𝒊𝒏𝒈 𝒕𝒉𝒆 𝒆𝒔𝒔𝒆𝒏𝒕𝒊𝒂𝒍, 𝒈𝒆𝒕𝒕𝒊𝒏𝒈 𝒓𝒊𝒅 𝒐𝒇 𝒕𝒉𝒆 𝒓𝒆𝒔𝒕, 𝒂𝒏𝒅 𝒍𝒊𝒗𝒊𝒏𝒈 𝒘𝒊𝒕𝒉 𝒍𝒆𝒔𝒔.”
– Leo Babauta, creator of Zen Habits
ด้วยคอนเซ็ปต์ “Nothing is everything” คือการลดทอนทุกความฟุ่มเฟือย คงเหลือแต่สิ่งที่จำเป็น ทำให้เราสามารถดื่มด่ำและสัมผัสบรรยากาศรอบตัวทั้งในและนอกบ้านมากยิ่งขึ้น
ช่วงเช้าๆ หยิบหนังสือพิมพ์หรือ iPad มานั่งเปิดเพื่อติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวอยู่ที่ Bianca eco backyard สวนส่วนตัวข้างบ้าน พร้อมกับทานขนมปัง จิบกาแฟ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ร่มรื่นดี บรรยากาศภายในโครงการค่อนข้างเงียบเพราะอยู่ลึกเข้าไปด้านใน เหมือนได้พักผ่อน
ตอนเย็นๆ จูงน้องหมาน้องแมวไปเดินเล่นที่สวนส่วนกลางของโครงการได้เพราะเป็น Pet Friendly Area
ส่วนใครที่มีลูกเล็กๆ ก็ไปเอนจอยที่ Kid’ Playground ใน Clubhouse ได้เช่นกัน เด็กๆ ยังจะสามารถได้เสริมทักษะการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ มี Glasshouse ให้ได้ลองปลูกผักปลอดสาร มีต้นไม้ใหญ่ให้เราได้อาศัยร่มเงาเช้าเย็น เป็นฟีลลิ่งของการอยู่อาศัยในสไตล์ Minimal Eco-living ที่ดีมากครับ