Louis Kahn สถาปนิกชื่อดังชาวอเมริกันเคยกล่าวเอาไว้ว่า
“𝐀𝐫𝐜𝐡𝐢𝐭𝐞𝐜𝐭𝐮𝐫𝐞 𝐢𝐬 𝐭𝐡𝐞 𝐚𝐫𝐭 𝐨𝐟 𝐛𝐚𝐥𝐚𝐧𝐜𝐢𝐧𝐠 𝐥𝐢𝐠𝐡𝐭, 𝐬𝐩𝐚𝐜𝐞, 𝐚𝐧𝐝 𝐦𝐚𝐬𝐬. 𝐈𝐭 𝐢𝐬 𝐚𝐥𝐬𝐨 𝐭𝐡𝐞 𝐚𝐫𝐭 𝐨𝐟 𝐞𝐱𝐩𝐫𝐞𝐬𝐬𝐢𝐧𝐠 𝐢𝐝𝐞𝐧𝐭𝐢𝐭𝐲.”
.
ในทางสถาปัตยกรรม “มวล” (Mass) คือส่วนทึบของอาคารเป็นส่วนที่เราเห็นหรือจับต้องได้ เช่น เสา คาน เพดาน ผนัง ซึ่งต้องมาคู่กับพื้นที่ว่างหรือช่องเปิด (Void) เสมอ เพราะแม้เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ดังนั้น บ้านที่ดีจึงต้องประกอบด้วยทั้ง 2 ส่วนนี้ เชื่อมโยงเข้ากับ “ตัวตน” ของผู้อยู่อาศัย
.
สถาปัตยกรรมจึงไม่ใช่แค่การออกแบบทางกายภาพ แต่ยังเป็นรูปแบบของการแสดงออกทางศิลปะที่สื่อถึงอัตลักษณ์บุคคลที่แตกต่างกันไป เช่น คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน อาจเลือกสร้างบ้านด้วยวัสดุรีไซเคิล มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ส่วนผู้ที่ต้องการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อาจเลือกออกแบบบ้านที่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงและวิวได้เพียงพอ
.
หรือแม้แต่การตกแต่งบ้านด้วยงานศิลปะที่สะท้อนความชอบและตัวตนของเรา คนที่ชอบเข้าสังคมเน้นสนุกสนาน อาจออกแบบบ้านให้มีพื้นที่เปิดโล่งเคลื่อนย้ายได้ง่าย ส่วนคนชอบเวลาที่เงียบสงบ อาจออกแบบบ้านให้มีมุมสบายๆ เป็นพื้นที่ส่วนตัว เรานิยามเรื่องราวเหล่านี้ว่า “My Home Speaks for Myself”
.
เพราะบ้านในปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าที่พักอาศัย เป็นผืนผ้าใบที่มีชีวิตซึ่งบรรยายเรื่องราว รวบรวมและสะท้อนตัวตนภายในของเราในทุกมุม ทุกเฉดสี และทุกองค์ประกอบภายในพื้นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในโลกที่เชื่อมต่อถึงกัน บ้านจะกลายเป็นจิ๊กซอว์ที่มีอิทธิพลระดับโลก องค์ประกอบของสถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรม สไตล์และปรัชญาที่หลากหลายรวมตัวกันภายในบ้านของเรา จึงพร้อมที่จะสะท้อนออกไปสู่โลกภายนอก เพื่อบอกให้โลกรู้ถึง Myself
.
กานต์จะพามาชม “BuGaan Pattanakarn” อีกหนึ่งโครงการบ้านหรูจาก Sansiri Luxury Collection ซึ่งเน้นงานออกแบบที่สะท้อนตัวตนเจ้าของบ้าน ผ่านดีไซน์และสถาปัตยกรรมในสไตล์ Modern Classic Twist ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ใส่ใจในทุกรายละเอียดกับสเปซและฟังก์ชัน รองรับไลฟ์สไตล์ยุคปัจจุบันที่หลากหลายอย่างเหนือระดับ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ไฮไลท์คือสระว่ายน้ำ Inner Courtyard และลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน
.
ผมชอบการออกแบบที่นำเสนอความเป็น Inside out & Outside in ให้รู้สึกเชื่อมต่อกันทั้งพื้นที่ภายนอกและภายใน ทำให้เวลาพักผ่อนอยู่ภายในบ้านก็ยังรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินอกบ้าน ทุกมุมเชื่อมต่อกันอย่างไร้ขอบเขต ทุกห้องของบ้านสามารถชมวิวสระว่ายน้ำและต้นไม้ใหญ่ที่อยู่กลางบ้านได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ห้องไหนหรือชั้นใดของบ้าน
.
ดังนั้น BuGaan Pattanakarn จึงเป็นต้นแบบที่น่าสนใจของงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบบ้านในสไตล์ Luxury Private Villa 3 ชั้น จำนวนเพียง 17 ยูนิต ที่ให้มากกว่าฟังก์ชันและความสวยงามในการพักอาศัย แต่ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการแสดงออกถึงตัวตนที่ไม่ซ้ำใครของเราได้อีกด้วย
.
เหมือนที่ Iconic Designer ชื่อดังอย่าง Coco Chanel เคยพูดไว้ว่า “𝐈 𝐝𝐨𝐧’𝐭 𝐟𝐨𝐥𝐥𝐨𝐰 𝐭𝐫𝐞𝐧𝐝𝐬. 𝐈 𝐜𝐫𝐞𝐚𝐭𝐞 𝐭𝐡𝐞𝐦.”
.
ไปชมภาพของโครงการ “BuGaan Pattanakarn” พร้อมกับอ่านเรื่องราวที่กานต์นำมาฝากกันต่อด้านในได้เลยครับ
____________________________
BuGaan Pattanakarn 65-130 MB*
รายละเอียดเพิ่มเติม http://siri.ly/Qk0prH9
หรือโทร. 1685
#BuGaan#BuGaanPattanakarn#SansiriLuxuryCollection
—
โครงการ BuGaan Pattanakarn นำเสนอบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ที่เชื่อมโยงรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย สามารถสะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างเหนือระดับ ด้วยความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดของการออกแบบ
.
BuGaan Pattanakarn เป็นบ้านเดี่ยว สไตล์ Luxury Private Villa 3 ชั้น ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Young Successors ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีรสนิยมและไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจน ถือเป็นกลุ่ม “HNWI” (High Net Worth Individual) รุ่นใหม่ที่น่าจับตา
โครงการ “BuGaan Pattanakarn” ตั้งอยู่ในย่าน Residential ในซอยพัฒนาการ 32 เนื้อที่โครงการประมาณ 6 ไร่ เอกสิทธิ์เพียง 17 ครอบครัวเท่านั้น
จุดเด่นของโลเคชั่นคือเป็นถนนที่เชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง สามารถเข้าสู่ใจกลางทองหล่อ-เอกมัยได้ภายใน 15 นาที* ใกล้ทางด่วนฉลองรัช มุ่งหน้าพระราม 4 หรือบางนา-ชลบุรีได้อย่างรวดเร็ว
เป็นทำเลที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า Community Mall ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารชื่อดัง คาเฟ่ดีไซน์เก๋ สถานศึกษาระดับแถวหน้า และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานชั้นนำ
บรรยากาศของโครงการยังเน้นเรื่องพื้นที่สีเขียว ด้วย Main Park ขนาดใหญ่ด้านหน้า มาพร้อมกับน้ำพุ สระว่ายน้ำ ฟิตเนสและ Lobby Lounge เพื่อให้เราได้นั่งพักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัว
เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบได้สวยงามมากและใส่ใจในทุกดีเทล จนทำให้กานต์ประทับใจในการส่งมอบประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสนิยมที่เหนือระดับจากแสนสิริ
หนึ่งในความพิเศษของ BuGaan Pattanakarn คือได้รวบรวมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ระดับ World Iconic Piece มาประดับไว้ภายในบ้านตัวอย่าง รวมถึงการนำเสนอ Art Pieces และงาน Painting ที่สะท้อนรสนิยมของผู้พักอาศัย
โครงการตั้งอยู่ภายในซอยพัฒนาการ 32 เข้าซอยมาเล็กน้อยครับ ข้อดีก็คือทำให้ได้เปรียบเรื่องความเงียบสงบ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงรถราที่วิ่งไปมาบนถนนสายหลัก
บรรยากาศของโครงการตั้งแต่ด้านในทางเข้าไปจนถึงภายใน ร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ตลอดจนไม้ดอกและไม้พุ่ม ไฮไลท์คือต้น Olive สายพันธ์ุ Farga อายุกว่าพันปีที่นำเข้ามาจากประเทศสเปน ซึ่งมีความหมายสื่อถึงสันติภาพ, ความหวัง, ความมั่งคั่ง, สุขภาพ, ความงาม, สติปัญญา, ชัยชนะ และความอุดมสมบูรณ์นั่นเองครับ
ด้านหน้าโครงการโดดเด่นด้วยประตู Main Gate ขนาดใหญ่แบบ Overscale มีความสูง 5 เมตร ดีไซน์โมเดิร์นที่เป็นแบบ Cantilever โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ผนังหิน Belvedere สีดำด้าน ตัดกับเส้นสตริปสีน้ำตาลทองนำเข้าจากอิตาลีที่นำมาประดับ สอดรับกันดีกับม่านน้ำพุและ Clubhouse ที่อยู่ด้านใน พร้อม Lawn หญ้าสีเขียวที่เป็น Layer ซ้อนด้านหลัง ช่วยเพิ่มความสดชื่นทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
ส่วนการรักษาความปลอดภัยของที่นี่จะให้ความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยสูง มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบกล้อง CCTV โดยรอบ เสริมด้วยรั้วรอบโครงการสูง 3 เมตร
“BuGaan Pattanakarn” เป็นอีกหนึ่งโครงการบ้านหรูของ Sansiri Luxury Collection ที่เพิ่งเปิดตัวไป โดยมุ่งส่งมอบความเป็นเลิศผ่าน 3 ปรัชญา ที่นำพาให้แสนสิริมีความเป็น Taste-Maker Brand ได้แก่
1. Refined Taste ดีไซน์ที่สะท้อนรสนิยมและไลฟ์สไตล์ โดดเด่นไม่เหมือนใคร กับบ้าน Modern Classic Twist ผสมผสานความเรียบหรูสไตล์คลาสสิคและโมเดิร์นเข้าด้วยกัน หน้าบ้านโดดเด่นด้วย Facade ที่ไม่ซ้ำใคร ด้วยดีไซน์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวกับลวดลายของแผ่นหินที่ใช้นวัตกรรม Stone Surface เพื่อความสวยงาม โดยที่ยังมอบผิวสัมผัสและความรู้สึกเหมือนนำหินทั้งก้อนมาใช้ตกแต่ง ดังนั้น บ้านแต่ละหลังจึงมีความแตกต่างกัน แม้ว่าอยู่ในโครงการเดียวกันก็ตาม
2. Quality Material การใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยความพิถีพิถันผ่านวัสดุที่ดีที่สุดจากทั่วโลก BuGaan Pattanakarn น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่โครงการของประเทศไทยที่คัดสรรหินอ่อนธรรมชาติจากเหมืองที่ดีที่สุดทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในโครงการ ใช้ประดับตกแต่งภายในบ้าน ตลอดจนการรวบรวมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ วัสดุคุณภาพ คอลเล็คชั่นพิเศษที่หายาก ผลงานระดับ World Iconic Piece ที่มีเพียงหนึ่งเดียวมาประดับไว้ภายในบ้านตัวอย่าง รวมถึงการนำเสนอ Art Pieces และงาน Painting ที่สะท้อนรสนิยมของผู้พักอาศัย
3. Unparalleled Living Experience การส่งมอบประสบการณ์อยู่อาศัยที่เหนือระดับ Gated Community มอบความส่วนตัวความปลอดภัยสูงสุดและสร้างความอุ่นใจในการพักอาศัย ตลอดจนบริการจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลักซ์ชัวรี่กับ PLUS Luxury Management
โดยนำเสนอโครงการผ่านแนวคิด “My Home Speaks for Myself – ให้บ้านบ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณ” เพื่อให้บ้านของเราเป็นได้มากกว่าบ้าน เพราะเป็นพื้นที่สะท้อนรสนิยมและความหลงใหลของผู้อยู่อาศัย ผ่านงานดีไซน์ที่บ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ของเรานั่นเองครับ
บ้านตัวอย่างของโครงการ BuGaan Pattanakarn มีด้วยกัน 2 แบบ คือ VILLA I ขนาดพื้นที่ใช้สอย 698 ตร.ม. และ VILLA II ขนาดพื้นที่ใช้สอย 417 ตร.ม. กานต์ว่าแบบบ้านนี้ จึงเหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อยู่กันหลาย Generations หรืออาจจะปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในให้เหมาะสมกับการใช้งานและไลฟ์สไตล์ลูกบ้านก็ได้เช่นกันครับ
กานต์พามาชม VILLA I ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 3 Living & Family Area พร้อมห้องรับประทานอาหาร ครัวขนาดใหญ่ ห้องแม่บ้าน 2 ห้อง พร้อม Maid Areaและลานซักล้าง มีพื้นที่สวนด้านข้างสำหรับเป็น Back of House ใช้เป็นทางเข้า-ออกของแม่บ้านเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวไม่รบกวนการพักอาศัย
ส่วนด้านหน้าบ้านจอดรถได้ 5 คันโดยแยก 1 ช่องจอดเป็น Collectable Car Parking สำหรับจอดซูเปอร์คาร์คันโปรด โดยทางโครงการได้เตรียมรั้วเป็นรางเลื่อนพร้อมประตูมอเตอร์ไฟฟ้า ติดตั้ง Wallbox ระบบไฟ 3 เฟสและจัดเตรียมหัวชาร์จยี่ห้อ Sharge สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเอาไว้ให้แล้วถึง 2 จุดครับ
ประตูทางเข้าบ้านเป็นบานไม้สักที่กรุกระจกใสเอาไว้อีกด้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในจะพบกับโถงทางเข้าเป็น Foyer ที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วน สามารถใช้เป็นพื้นที่สวม-ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านได้ให้ความเป็นระเบียบเรียบร้อย
มีไฮไลท์คือคอนโซลที่ทำจากหินอ่อนทราเวอร์ทีนสีเบจดูเรียบหรู เป็นของตกแต่งบ้านที่นำเข้ามาจากอิตาลี
BuGaan Pattanakarn นำเสนอภาพของความเรียบหรูผสานความคลาสสิคของงานดีไซน์สไตล์ Italian Heritage สะท้อนรสนิยมของผู้พักอาศัย ทว่าที่ยังคงมุ่งเน้นการรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นสำคัญ
ดังนั้น เมื่อเดินก้าวจาก Foyer ผ่านประตูโค้งทรง Arch ที่ประดับด้วยหินอ่อน Spider Green พื้นที่ด้านในของชั้นหนึ่งจึงออกแบบให้มีความเป็น Luxury Privacy Area สำหรับใช้เป็นพื้นที่นัดพบพูดคุยกับแขกคนสำคัญ
โถงกลางจัดวางโซฟา Terrazza จากแบรนด์ De Sede นำเข้าจากสวิสเซอร์แลนด์ ชิ้นนี้ออกแบบโดย Ubald Klug ดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวสวิสฯ ในปี 1974 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากระเบียงของไร่องุ่น ไล่ระดับเป็นทรงนูนขึ้นไป ทำให้ห้องนี้ดูโดดเด่นน่าสนใจมากยิ่งขึ้นครับ
ส่วนเพดานห้องประดับด้วยแชนเดอร์เลีย ดีไซน์จากยุค Mid-Century ที่ให้ความ Modern เป็นงาน Hand-Made ทำจากแก้วเป่ามือทีละใบ นำเข้ามาประกอบจากอิตาลี
ส่วนตัวผมชอบการเลือกจับคู่สีตรงข้ามน้ำเงิน-เหลือง ตาม Color Palette ของดีไซน์เนอร์จากแสนสิริที่สะท้อนเอกลักษณ์ของความกล้าในการออกแบบ ทำให้ภาพรวมของงานดีไซน์ภายในห้องนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากครับ เป็นงานออกแบบที่ให้ความสำคัญแม้กระทั่งดีเทลเล็กๆ ในบ้าน ราวกับนั่งอยู่ในอาร์ตแกลลอรี่
“A sofa is a statement piece. It’s a way to show off your personal style and make your home your own.”
– Ethan Allen
มองเข้าไปด้านในเป็น Mini Bar ตกแต่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์หรูสไตล์อิตาเลี่ยน ให้ความรู้สึกวินเทจนิดๆ ชวนให้นึกไปถึงการนั่งชิลล์อยู่ที่บาร์ในมิลาน ผมว่าเป็นการดีไซน์พื้นที่สำหรับรองรับการมานั่งพักผ่อนหรือสังสรรค์ร่วมกันระหว่างสมาชิกภายในบ้านและแขกที่มาพบ
เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ นั่นคือตู้บาร์ดีไซน์วินเทจนำเข้าจากอิตาลี เป็น One of a Kind ที่ผมว่าน่าจะมีเพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย เพราะเป็นงาน Rare Item ที่ทีมงานแสนสิริเดินทางไปคัดเลือกมาด้วยตัวเองจากยุโรปครับ
Vintage Italian Dry Bar ผลงานการออกแบบของ Gio Ponti ที่ทำขึ้นมาตั้งแต่ปี 1950
โครงสร้างของตู้บาร์ด้านหลัง ประกอบด้วยชั้นวางกระจกและขาทองเหลือง ส่วนตู้เสริมด้านหน้าเป็นไม้ทรงโค้ง ท็อปด้าน บนเป็นกระจกใส ซึ่งความโดดเด่นอยู่ที่หน้าตาของตู้เสิร์ฟซึ่งมีด้วยกัน 3 ชิ้น แต่ละชิ้นประดับด้วยภาพของเมืองเวนิสที่อยู่ในกรอบทองเหลืองสุดคลาสสิค ซึ่งออกแบบโดย Piero Fornasetti ศิลปินและนักออกแบบชาวอิตาลี
เมื่อเห็นบรรยากาศเป็นเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะรินวิสกี้จาก The Macallan แบรนด์วิสกี้ระดับท็อปของโลกมาจิบระหว่างพาชมบ้านตัวอย่างครับ ซึ่งเป็น 1 ในแบรนด์โชว์เคสที่ร่วมกับแสนสิริครับ
หากดูตามบ้านมาตรฐานแล้ว พื้นที่ห้องนี้จะเป็นห้องนอนชั้นล่าง ซึ่งสถาปนิกออกแบบมารองรับสำหรับครอบครัวที่อยู่อาศัยกันหลาย Generations และมีผู้สูงอายุพักอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตามบ้านตัวอย่างได้รวมเอาห้องนี้ พร้อมระเบียงกลางแจ้งด้านนอกให้กลายเป็น Common Area เชื่อมต่อกับห้องโถงด้านหน้า กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งในสไตล์ Italian Heritage เช่นกัน
ภายในห้องจัดวางเฟอร์นิเจอร์นำเข้าแบรนด์ดังที่ส่งตรงมาจากอิตาลี ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกลมผลงานการออกแบบของ Mario Bellini สถาปนิกระดับตำนานชาวอิตาลี ที่รังสรรค์โต๊ะตัวนี้มาจาก Solid Marble ทั้งชิ้น
จับคู่กับงานเก้าอี้ดีไซน์สุดคลาสสิคชื่อว่า
Superleggera Chair ผลงานการออกแบบของ Gio Ponti ดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวอิตาลีจากแบรนด์ Cassina ซึ่งความโดดเด่นของเก้าอี้เซ็ตนี้ก็คือน้ำหนักที่เบาชนิดที่ว่า เราสามารถยกขึ้นได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวและเป็นเก้าอี้ที่นั่งสบายจริงๆ ครับ
ส่วนฝ้าเพดานประดับด้วยโคมไฟสไตล์แอนทีคจากยุค Mid-Century นำเข้าจากบรัสเซลล์ เบลเยี่ยม ซึ่งดูเข้าชุดกันดีกับพรมและชั้นวางหนังสือด้านข้างที่ออกแบบให้มีความวินเทจเช่นกัน ก่อให้เกิดสุนทรียะแห่งการพักอาศัย
ด้านในสุดออกแบบให้เป็นที่นั่งรับแขกที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เก๋ ไม่ว่าจะเป็นโซฟาสีส้มสดใสรุ่น Esosoft ออกแบบโดย Antonio Citterio ศิลปินชื่อดังชาวอิตาลีจากแบรนด์ Cassina นำเข้ามาจากอิตาลีเช่นกัน ให้ความรู้สึกวินเทจ โครงโซฟาทำจากอะลูมิเนียมเป็นเงาสำหรับเอามาวางทับด้วยเบาะนุ่มๆ และหมอนอิงสีสดใสชวนให้นึกถึงแนวคิดเรื่องความสะดวกสบายแบบเรียบง่าย ตามแบบฉบับของทศวรรษ 1960 ในยุค Mid-Century เช่นกัน
ส่วนเก้าอี้อีกตัวที่จับมาเข้าคู่กันคือ Wing Armchair จากแบรนด์ Cassina นำเข้ามาจากอิตาลีเช่นเคย ทำให้ห้องนี้ดูมี Total Look ที่สะท้อนจิตวิญญาณความเป็น Italian Heritage ได้อย่างสมบูรณ์
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจของห้องนี้คือการออกแบบให้ผนังเป็นกระจกใสที่เปิดรับแสงจากธรรมชาติภายนอกให้ส่องเข้ามาภายใน ขณะเดียวกัน ผนังด้านที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้านก็ปรับให้เป็นช่องกระจกใส เพื่อให้มองเห็นรถในช่องจอด Collectable Car ราวกับทำหน้าที่เป็นเฟอร์นิเจอร์หรูประดับบ้านอีกหนึ่งชิ้น
Outdoor Terrace ด้านนอก ออกแบบเป็นพื้นที่นั่งเล่น พักผ่อน สำหรับจิบกาแฟ จิบชา หรือว่านั่งอ่านหนังสือในช่วงเวลาแดดร่มลมตก
บรรยากาศ Vibes ดีเพราะมุมนี้ถูกรายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ยาวไปจนถึงประตูรั้วฝั่งด้านหน้าบ้าน จึงให้ความรู้สึกเหมือนพักผ่อนอยู่ในสวนป่าขนาดใหญ่ นั่งอยู่ในรีสอร์ตหรูเลยครับ
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ด้านข้างบ้านอีกหนึ่งจุดที่อยู่ใกล้กับห้องรับประทานอาหาร สามารถเปิดประตูบานเฟี้ยมออกไปได้
มีพื้นที่เป็นลาน Inner Courtyard จัดทำเป็นพื้นที่นั่งเล่น จิบกาแฟยามเช้า ติดตามข่าวสาร อ่านหนังสือ หรือจัดเป็นบาร์บีคิว ปาร์ตี้ ท่ามกลางบรรยากาศสีเขียวของต้นไม้ภายในบ้าน ซึ่งโครงการจะเน้นต้นไม้ฟอร์มสวยที่มีชื่อเสียงเรียงนามที่ไพเราะและเป็นมงคลแก่การพักอาศัย
ส่วนภายในเป็นห้องสำหรับรับประทานอาหารที่โดดเด่นด้วยการเปิดรับวิวสวนจากทั้ง 2 ฝั่ง บ้านตัวอย่างจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาดใหญ่ไว้สำหรับ 8 ที่นั่ง เราสามารถปรับให้มากกว่านั้นได้ครับ เพราะดูแล้วมีพื้นที่เพียงพอเหลือเฟือ ติดกันยังมีพื้นที่วางสำหรับติดตั้ง Pantry สำหรับจัดเตรียมอาหารไปด้วยในตัว
อีกหนึ่งกิมมิคที่น่าสนใจในการออกแบบก็คือการซ่อนประตูห้องครัวเอาไว้กลมกลืนไปกับผนังสีทองครับ เมื่อผลักออกไปจะเป็นพื้นที่ของครัวขนาดใหญ่มาก
ห้องครัวจัดวางเคาน์เตอร์เป็นรูปตัวยู (U-Shape) ด้านซ้ายมือจัดวางเป็นอ่างล้างจานขนาดใหญ่ 2 หลุมติดตั้งมาให้ พร้อมหน้าต่างบานสไลด์เปิดออกได้เพื่อระบายอากาศ ส่วน Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ทนต่อแรงขีดข่วนได้ดี ตรงกลางมีเตา 3 หัวของ Smeg พร้อมติดตั้ง Hob&Hood มาให้แล้ว
นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีประตูเชื่อมต่อกับ Maid Plaza บริเวณด้านหลังบ้านให้แม่บ้านสามารถเข้าออกได้ผ่านช่องทางนี้ได้ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัย
โครงการออกแบบให้มี Private Lift ลิฟต์ส่วนตัวในบ้านทุกหลัง สามารถรองรับลูกบ้านได้ประมาณ 3-4 คน โดยสารขึ้น-ลง 1 ถึง 3 ชั้น ส่วนด้านข้างเป็นบันไดให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินขึ้น-ลง
ซึ่งเราจะลองโดยสารลิฟต์ขึ้นไปชมพื้นที่ชั้น 2 ของบ้านกันครับ
โครงการออกแบบ Interior ของชั้นสองบ้านเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบ Neutral Design เน้นตกแต่งด้วยสีโทนอ่อนดูสบายตา พื้นชั้นบนเป็น Engineered Wood หน้าไม้สีมะค่าแอฟริกัน เพื่อให้คงเสน่ห์ของความโมเดิร์นคลาสสิคเอาไว้ทำให้บ้านดูเรียบหรูโก้
ชั้นนี้ถือเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของบ้าน โครงการจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบ Connecting Space ฟังก์ชันสำคัญที่เชื่อมต่อการใช้งานของห้องหับต่างๆ ภายในบ้าน ตลอดจนการเปิดพื้นที่เชื่อมต่อกับภายนอกบ้านได้อย่างกลมกลืนผ่านกระจกใส ราวกับเป็นภาพวาดประดับฝาผนังที่มีชีวิต
โถงกลางจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารทำจากหินอ่อนขนาดใหญ่ ส่วนเก้าอี้เป็นงานดีไซน์ที่นิยมใช้กันในโรงแรมหรูทั่วโลก ผลงานการออกแบบจาก Gallotti & Radice แบรนด์เก่าแก่ของอิตาลี โครงเก้าอี้ทำจากไม้แอชนำไปดัดให้โค้งมน บุนวมแล้วหุ้มด้วยผ้าสีเบจดูเรียบหรู ฝ้าเพดานประดับด้วยแชนเดอร์เลียเป็นงาน Hand-Made นำเข้ามาจากอิตาลีเช่นกัน
นำเข้าจากอิตาลี จุดเด่นก็คือการเป็นหินอ่อนที่มีสีเทาเข้มไล่เฉดและมีลายสีขาวและสีทองแทรกอยู่ด้านในทำให้ดูหรูหรามาก
มุมนี้สำหรับจัดเตรียมอาหารแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลงไปทานที่ชั้นล่าง โครงการจัดวางเก้าอี้สตูลทรงสูงของแบรนด์ Caasina เอาไว้ สามารถใช้เป็นมุมอาหารเช้า มื้อเบาๆ สามารถเดินจากห้องนอนแล้วมาทานได้ทันที ในวันที่มีแดดดีๆ ก็สามารถเปิดม่านเพื่อรับวิตามินดีอ่อนๆ ตอนเช้าไปได้ในตัว
ส่วนผนังด้านหลังติดตั้งเคาน์เตอร์ ตู้บิลด์อินเก็บของด้านบนและด้านล่าง มี Sink-Taps สำหรับใช้งานไว้พร้อมและยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น Oven, Wine Cellar และตู้เย็นแบบ Built-in มาให้เรียบร้อยแล้วครับ
มุมพักผ่อนด้านในกั้นเป็นสัดส่วนด้วยหินอ่อน Orobico เช่นกัน ทำเป็นประตูโค้งทรง Arch ทำให้เชื่อมต่อกันดีกับเคาน์เตอร์ของ Pantry ที่อยู่ห้องก่อนหน้า
เราสามารถสัมผัสได้ถึงงานออกแบบที่ลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความใส่ใจ ส่วนการตกแต่งภายในห้องนี้จะมีทั้ง Iconic Lamp รุ่น Pipistrello Telescoping นำเข้าจากฝรั่งเศส วางอยู่บนตู้วางทีวีขนาดใหญ่จากแบรนด์ Molteni & C นำเข้าจากอิตาลี ที่ออกแบบมาให้เราสามารถเปิด-ปิดไฟภายในตู้ได้ผ่านรีโมทคอนโทรล
ถัดมาเป็นโซฟาสีน้ำเงินจาก Gallotti & Radice แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ของอิตาลี ทำให้ห้องนี้ดูมีความโดดเด่นเป็นการสร้าง Contrast ของสีสันกับโทนในภาพรวม
ส่วนโต๊ะกลางดีไซน์เก๋ดีครับ ทำจากหินอ่อน Travertine สีเบจมีความหนาพิเศษถึง 4 เซนติเมตร ส่วนอาร์มแชร์สีเทาควันบุหรี่ที่อยู่ด้านขวามือของภาพ เป็นรุ่น Lilas Poltrona Fissa ออกแบบโดย Dainelli Studio เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันปี 2021 ที่จัดวางไว้บนพรมซึ่งแสนสิรินำเข้ามาจากแบรนด์ Gallotti & Radice เช่นกัน
โครงการ BuGaan Pattanakarn นำเสนอดีไซน์และสถาปัตยกรรมในสไตล์ Modern Classic Twist ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยมีจุดที่น่าสนใจคือสระว่ายน้ำ Lap Pool ขนาดใหญ่และ Inner Courtyard ใจกลางบ้าน
จากมุมนั่งเล่นด้านใน สามารถเปิดประตูกระจกเพื่อออกมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ด้านนอก เป็นการออกแบบที่ใส่ใจเรื่องการมองเห็นและสัมผัสพื้นที่ธรรมชาติภายนอก ด้วยการดีไซน์แบบ Inside out – Outside in มองออกไปจะเห็นไฮไลท์ของบ้านใน 2 จุดด้วยกัน
จุดแรกคือ Inner Courtyard ที่เชื่อมต่อพื้นที่ทั้ง 3 ชั้นของบ้านเข้าไว้ด้วยกันผ่านต้นไม้ฟอร์มสวยต้นสูงใหญ่ โดยเฉพาะบ้านตัวอย่างที่ต้นไม้กลางบ้านสูงจรดชั้น 3 เปิดมุมมองสีเขียวในทุกจุดของตัวบ้าน ทำให้เรารู้สึกสดชื่นผ่อนคลายได้ตลอดเวลา
อีกหนึ่งไฮไลท์คือ Private Lab Pool ความยาว 10 เมตร ได้ความเป็นส่วนตัวสมชื่อ เพราะว่าออกแบบสระว่ายน้ำให้มีการยกระดับขึ้นไปไว้บนชั้น 2 ทำให้ได้มุมมองที่สวยกว่า สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกจุดภายในบ้าน และสามารถเดินออกมาจากห้องนอนลงสระได้เลยเช่นกัน มาพร้อมกับจากุซชี่และที่นั่งพักผ่อนบริเวณริมขอบสระ สามารถหยิบหนังสือหรือเครื่องดื่มมาจิบเพลินๆ ไปพร้อมกันได้ หรือจัด Pool Party
ถือว่านี่เป็นครั้งแรกของแสนสิริที่มีการออกแบบสระว่ายน้ำไว้บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน ซึ่งออกแบบมาให้มีพื้นที่ว่างสำหรับเดินออกมาทักทายต้นไม้ หรือหาเก้าอี้สนามดีไซน์สวยๆ มาจัดวางไว้บริเวณใต้ร่มไม้ ก็ช่วยให้เราได้มีโอกาสผ่อนคลายในวันดีๆ บนพื้นที่ส่วนตัวภายในบ้านของเราเองครับ
อย่างที่บอกไปว่า เราสามารถเดินออกมาจาก Master Bedroom ที่ชั้น 2 แล้วเดินลงสระว่ายน้ำ Private Lab Pool ได้ทันที เป็นห้องนอนแบบ Pool Villa Access ทว่า สถาปนิกกลับออกแบบบ้านตัวอย่างให้ชั้นนี้เป็น Facilities Floor ทั้งหมด
โดยปรับให้ห้องนอนชั้น 2 เป็นห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งด้วยการเลือกใช้สีเหลืองสดใส ชวนให้นึกไปถึง Sicily เมืองทางภาคใต้ของอิตาลีที่อยู่ใกล้กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีสันสดใส เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่หันหน้าออกไปทางบานหน้าต่างเพื่อเปิดรับแสงและวิวจากธรรมชาติแวดล้อมตลอดจนมองเห็นสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านนอก
จริงๆ แล้วสถาปนิกตั้งใจออกแบบให้ห้องนี้มีฟังก์ชันเป็นห้องพักผ่อนที่เรียกว่า Memphis Sunroom ซึ่งมีความโดดเด่นแบบ Memphis Style ที่มีไฮไลท์คือการหยิบเอาเฟอร์นิเจอร์และข้าวของประดับตกแต่งที่มีรูปทรงเรขาคนิตอันหลากหลายมาผสมผสานกับงานสไตล์อาร์ต เดโค, ป๊อปอาร์ตและคิตซ์ นำมาประกอบกันโดยไม่ต้องไปคิดคำนึงถึงหลักความสมดุล เป็นการใช้สัญชาตญาณและจินตนาการในการเลือกใช้สีสันสดใสที่ตัดกัน โดยผลงานหนึ่งชิ้นมักจะมีมากกว่า 2 สี
ส่วนทีวีดีไซน์สวยมาก เป็นรุ่น Beovision Harmony TV ของแบรนด์ B&O (Bang & Ofulen) นำเข้าจากเดนมาร์ก เมื่อกดปุ่มเปิด ทีวีจะยกขึ้นสูงได้ด้วยตัวเอง จากนั้นส่งเสียงผสานเข้ากับลำโพงเสียงดีที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ให้ได้มากที่สุด
อีกหนึ่งมุมที่ผมมองว่าสวยมากนั่นก็คือโถงทางเดินที่เชื่อมต่อ Living Area ชั้นบนกับห้องเอนกประสงค์และ Master Bedroom ที่กลายมาเป็นห้องนั่งเล่น
ด้วยความที่บ้านออกแบบฟังก์ชันแบบ Open Plan ทำให้มีพื้นที่การใช้สอยค่อนข้างมากและปรับได้ตามใจ ภายในจึงให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงหลักความสวยงามและการใช้งานจริง เพื่อให้ตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเราให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ตามหลักแล้ว ห้อง Multipurpose ที่ชั้น 2 จะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Master Bedroom แต่บ้านตัวอย่างได้ปรับให้เป็นห้องออกกำลังกายจะได้รับกับความเป็น Facilities Floor นั่นเอง
โดยในส่วนของห้องออกกำลังกายแบบส่วนตัว จัดวางลู่วิ่งไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าของ Techno Gym ซึ่งเป็นแบรนด์หรูระดับโลกเอาไว้ โดยหันหน้าออกไปทางระเบียงที่เชื่อมต่อกับสีเขียวเบื้องหน้า
นอกจากนี้ แสนสิริยังได้ร่วมกับ PENT แบรนด์อุปกรณ์ออกกำลังกายลักซ์ชัวรี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโปแลนด์ นำเสนอไลฟ์สไตล์สุดหรูที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่ยังสามารถเป็น Home Accessories ได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยดีไซน์เหนือระดับมาพร้อมกับความสวยงามเหนือกาลเวลา สมกับความหรูหราของบ้านจริงๆ ครับ
ก่อนออกจากชั้น 2 กานต์เดินผ่าน Wine Cellar ส่วนตัวภายในบ้านที่ออกแบบมาเป็นห้องกระจกใส แต่ควบคุมแสง อุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมกับคุณภาพของไวน์พร้อมประตู Digital Door Lock ไม่ธรรมดาจริงๆ
“Your home should be a place where you can relax and be yourself. It should be a reflection of your personality and style.”
Joanna Gaines อินทีเรียดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวอเมริกันได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจและถูกต้องมากเลยครับ เพราะจริงๆ แล้ว บ้านต้องสะท้อนถึงบุคลิกและรสนิยมของเจ้าของ เป็นสถานที่ที่เราต้องรู้สึกผ่อนคลายและได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุดใช่ไหมครับ
เอาล่ะ เราจะขึ้นบันไดไปชมชั้น 3 กันต่อดีกว่า
เมื่อเดินขึ้นมาชั้นบน เข้าสู่พื้นที่แห่งการพักผ่อน แนวคิดหลักในการออกแบบจะเน้นคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้สอยภายใน กิจกรรมที่หลากหลายระหว่างพักอาศัยของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
เราจะพบกับ Family Area เป็นโถงกลางบ้านซึ่งเชื่อมโยงห้องนอนทุกห้องเข้าด้วยกัน จัดวางที่นั่งสำหรับสมาชิกในบ้านใช้งานร่วมกันในบรรยากาศสบายๆ โฮมมี่สุดๆ
เรามาชมห้องนอนรองห้องแรกซึ่งอยู่ติดกับ Family Area กันก่อนครับ ห้องนี้อยู่โซนหน้าบ้านที่มีไฮไลท์คือสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำและ Inner Courtyard ได้ ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่ผมว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะยิ่งเมื่อเราอยู่ไปนานวัน ต้นไม้บริเวณโถงกลางบ้านเริ่มชูช่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นมาทักทายเราจากหน้าต่างห้องนอน เป็นบรรยากาศของการพักผ่อนใจกลางเมืองที่ได้สัมผัสใกล้ชิดธรรมชาติดีมากครับ
บ้านตัวอย่างจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่ไว้เกือบชิดผนัง เปิดรับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้า มีพื้นที่รอบเตียงให้เดินได้สบายเลยครับ สามารถเปิด-ปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศเพิ่มการหมุนเวียนภายในห้องได้ ด้านข้างจัดวางเก้าอี้นั่งพักผ่อนสบายๆ ใน 2 มุม ส่วนปลายเตียงเป็นชั้นวางทีวีขนาดใหญ่ให้เรานอนชมซีรีย์เรื่องโปรดจากบนเตียงได้เลย
ห้องนอนทุกห้องภายในบ้านจะเป็นแบบ En Suite คือมีห้องน้ำส่วนตัวทุกห้อง และมีห้องแต่งตัวอยู่ถัดเข้าไปด้านใน แบ่งสัดส่วนการใช้งานชัดเจน
เริ่มจากห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet มีขนาดใหญ่ จัดวางตู้เสื้อผ้าไว้ทั้ง 2 ฝั่งซ้ายขวา พร้อมโต๊ะเครื่องแป้งและประตูสำหรับเปิดออกไปสู่ระเบียงส่วนตัว สามารถจัดหาไม้กระถางมาวางเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในห้องได้นะครับ
ถัดเข้าไปเป็นห้องน้ำที่มาพร้อมกับเคาน์เตอร์อ่างล้างมือหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ ด้านในเป็นห้องสุขาและห้องอาบน้ำ แต่อีกหนึ่งความพิเศษของห้องนี้คือมีอ่างอาบน้ำติดตั้งมาให้ด้วยครับ เผื่อให้เราได้ผ่อนคลายในบรรยากาศแบบส่วนตัว
ห้องนอนรองอีกห้องอยู่ฝั่งด้านหลังบ้าน ตกแต่งแบบเรียบเท่ ดูสดใสด้วยสีสันสไตล์คนรุ่นใหม่ เป็นห้องนอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควรเลยนะครับ บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างโปร่ง ด้วยช่องแสงขนาดใหญ่จากประตูกระจกฝั่งหลังบ้าน ผมชอบมากครับ ช่วยให้ห้องนี้ดูสว่างโดยใช้แสงจากธรรมชาติส่องเข้ามา
ด้านในจัดวางเตียงนอนขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดพอดีกับผนังหัวเตียงเน้นสีเทาเข้มครับ กรุด้วยงานอาร์ตสีน้ำตาลทองแล้วตัดด้วยสีแดง เพื่อให้ห้องดูสดใสไม่รู้สึกเรียบนิ่งจนเกินไป เปิดให้มีพื้นที่โดยรอบเตียงเดินได้สบายเลยครับ
หัวเตียงทั้ง 2 ฝั่งจัดวางโต๊ะเตี้ยและโคมไฟดีไซน์แบบ Mid-Century ซึ่งเป็นในแบบที่วัยรุ่นชอบ
มุมปลายเตียงจัดวางอาร์มแชร์สีฟ้าเทอว์คอยซ์ สำหรับนั่งอ่านหนังสือได้แบบส่วนตัว ผมว่าน่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
ห้องนี้เป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัวเช่นกัน อยู่ถัดเข้าไปด้านในพร้อมมุมแต่งตัว โดยตู้เสื้อผ้าจะเป็น Walk-in Closet ตู้สูงจรดผนังทั้ง 2 ฝั่ง กรุด้วยกระจกเงาเพื่อเพิ่มมิติ ผมชอบการออกแบบให้มีความลึกแบบเปอร์สเปคทีฟ ห้องจึงดูกว้างขึ้น ตรงกลางเป็นโต๊ะเครื่องแป้งสีน้ำเงิน เชื่อมต่อกับห้องน้ำได้ทันที ซึ่งเราว่าสะดวกมาก ทำให้สามารถจัดการธุระส่วนตัวได้เรียบร้อยในบริเวณนี้เลยครับ เรียกได้ว่าสะดวกครบ จบในโซนเดียว
Master Bedroom จะอยู่อีกฝั่งของบ้าน ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่ตรงกันกับห้องนอนหลักชั้น 2 ทำให้บ้านนี้ออกแบบให้เป็น Double Master Bedroom คือมีห้องนอนหลัก 2 ห้องด้วยกัน สามารถปรับลดฟังก์ชันได้หากไม่จำเป็นต้องใช้งาน
ภายในห้องนอนจัดแบ่งได้เป็นสัดส่วนชัดเจนดี เมื่อเดินเข้าไปจะพบว่า ภายในห้องถูกจัดวางด้วยเฟอร์นิเจอร์จากหลากหลาย Luxury Brand ที่นำเข้ามาจากอิตาลี
ถัดเข้าไปเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ DWELL Collection จากแบรนด์ Malerba เป็นงานยูนีค อิตาเลี่ยนดีไซน์ที่นำเสนอสไตล์แบบอินเตอร์ จัดวางอยู่ตรงกลางชิดผนังหัวเตียงดีไซน์สวยหรูมากครับ บ้านตัวอย่างเลือกใช้สีน้ำเงินเข้มทริมด้วยขอบสีทอง ช่วยให้ห้องนี้สวยหรูขึ้นได้ทั้งนี้ยังเว้นพื้นที่โดยรอบเตียงให้เดินได้เหลือเฟือเลยครับ
เฟอร์นิเจอร์อีกหนึ่งชิ้นไฮไลท์ที่ดูดีไซน์เรียบง่ายและกลมกลืนไปกับ Total Look ของห้องนี้ ก็คือลำโพงจาก B&O รุ่น BeoPlay A9 ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชาวเดนมาร์ก จัดวางอยู่ด้านข้างริมหน้าต่างเข้ากันดีกับวางเก้าอี้นั่งจาก Moltelni & C เป็นรุ่น Gillis ที่เน้นนำเสนอดีไซน์แบบเรียบหรู
ด้านขวามือจะเป็นโซนพักผ่อน จัดวางอาร์มแชร์ดีไซน์เก๋รุ่น Auckland จากแบรนด์ Cassina มาพร้อมโคมไฟ LED ตั้งพื้นส่องสว่างดีไซน์ล้ำยุค สำหรับนั่งอ่านหนังสือเป็นรุ่น Noctambule จาก Flos ซึ่งเป็นยี่ห้อเก่าแก่อิมพอร์ตมาจากอิตาลี
มีโต๊ะข้างสำหรับวางกาแฟและหนังสือ แบรนด์ Gallotti & Radice รุ่น Haumea ท็อปเป็นกระจกใส แกนกระบอกกลางเป็นทองเหลืองเคลือบสีขาว ถ้าใครไปในโชว์รูมจะมีให้เลือกหลายขนาดและเลือกระดับความสูงได้
ส่วนปลายเตียงมีชั้นวางทีวีขนาดใหญ่ขนานไปกับผนังกระจกซึ่งเปิดรับวิวของต้นไม้ใหญ่กลางบ้าน มองลงไปจะเห็น Private Lab Pool
ส่วนตัวชอบการเลือกใช้โทนสีที่ดูมีเสน่ห์และไม่ค่อยพบเห็นจากโครงการไหนมากนักคือเป็นโทนสีฟ้าหลายเฉดและสีเบจเป็นหลัก ดูมีความยูนีคเป็นตัวของตัวเองสูงตามสไตล์ห้องนอนของคนรุ่นใหม่
ส่วนห้องแต่งตัวและห้องน้ำจะอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าบริเวณโถงทางเดินเข้าห้อง ต้องยอมรับเลยว่าเป็นห้องแต่งตัวที่มีขนาดใหญ่ แบบ Walk-in Closet ติดตั้งตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดานเอาไว้รอบห้อง ดูหรูหราด้วยแสงไฟส่องสว่างสี Warm ดีไซน์เรียบหรู แต่มีความรู้สึกว่าห้องโล่งจนดูผิดสังเกต มองทางไหนก็เป็นบานตู้เหมือนกันไปเสียหมด
ผมเปิดตู้หยิบสูทจาก ZEGNA แบรนด์โปรดจากอิตาลีมาสวมใส่ เนื้อผ้ามีความเรียบหรูดี จากนั้นก็พบว่ามีกิมมิคของงานออกแบบห้องนี้มีจุดน่าสนใจซ่อนอยู่ที่บานตู้ลับบานหนึ่งซึ่งอยู่ด้านในสุดครับ
เพราะเมื่อเปิดเข้าไปจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งดีไซน์สีเหลืองมัสตาร์ด พร้อมให้เราได้เสริมหล่อก่อนออกจากบ้าน
จากนั้น กานต์หยิบน้ำหอมจากแบรนด์ Acqua di Parma ของอิตาลี มาฉีดเข้าที่ซอกคอและข้อมือเบาๆ เพื่อเร้าจริตแบบอิตาเลี่ยน
Master Bathroom ประดับด้วยหินอ่อนสุดหรูหรา จัดวางเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างมือพร้อมกระจกเงาขนาดใหญ่ติดผนังแยกฝั่งแบบ His & Her พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำซึ่งภายในห้องน้ำแยกพื้นที่ส่วนเปียก-แห้งระหว่างการใช้งานเอาไว้ให้แล้ว
ด้านในสุดติดตั้งอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่พร้อมระบบเจ็ทในตัว แนะนำว่าระหว่างแช่ฟองโฟมนุ่มเบาๆ ให้เราจุดเทียนหอมจาก Acqua di Parma ไปด้วยนะครับ จะช่วยทำให้ผ่อนคลายสามารถใช้เวลาส่วนตัวอยู่ภายในห้องน้ำได้อย่างเต็มที่เลยครับ
เดินลงบันไดจะพาไปชมพื้นที่ส่วนกลางกันบ้างครับ ผมชอบโถงบันไดของทุกชั้นที่เป็นเหมือนสะพานในการเชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยและทุกห้องหับเข้าไว้ด้วยกัน
ทางโครงการเลือกใช้หินอ่อนสีขาว Calacatta Viola นำเข้าจากอิตาลี ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะไม่ได้เป็นลายขาวดำแต่มีความเป็นสายเส้นสีม่วงเข้มไหลสอดแทรกอยู่ทั่วอณู ทำให้บันไดบ้านเราดูมีความเรียบหรูมากยิ่งขึ้น
จากบ้านตัวอย่างกานต์พาไปชมพื้นที่ส่วนกลางซึ่งอยู่โซนด้านหน้าโครงการกันบ้างครับ ต้องออกตัวก่อนเลยว่าส่วนกลางมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เป็นแบบ Fit For Function คือเหมาะสม เพียงพอต่อการรองรับการใช้งานของลูกบ้านซึ่งมีเพียงแค่ 17 ครอบครัวเท่านั้น
ที่สำคัญบ้านแบบ Villa I ทุกหลัง ต่างมีสระว่ายน้ำส่วนตัว ตลอดจนพื้นที่ภายในบ้านก็เอื้อให้ใส่ฟังก์ชันฟิตเนสเข้าไปในบ้านอยู่แล้ว ดังนั้นการมาพักผ่อนที่ Clubhouse จึงน่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนบรรยากาศจากภายในบ้านมากกว่า
แต่ถึงกระนั้น ก็เป็นสโมสรที่เน้นสไตล์การออกแบบเฉพาะตัวของแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความเรียบหรู การเลือกใช้วัสดุและสีสันที่สอดรับกันได้เป็นอย่างดี
การออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง จัดวางสวนและ Clubhouse ให้เชื่อมต่อกันตามความสนใจของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ในบรรยากาศที่ร่มรื่น
ทางเข้าจะอยู่ที่ด้านข้างเพราะด้านหน้าจะถูกคั่นด้วยม่านน้ำพุ เพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว
บรรยากาศของ Clubhouse ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และสนามหญ้าสีเขียวตัดกับสีฟ้าของน้ำในสระว่ายน้ำช่วยเติมความสดชื่น
โครงการนี้ยังมีคอนเซ็ปต์เป็น Pet Prestige & Pet Parent เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง ก็สามารถพาน้องมาเดินเล่นในสวนได้ด้วยครับ
ตัวอาคาร Clubhouse ออกแบบในสไตล์ Modern Classic Twist ที่ยังคงความ Luxury ที่มีฟังก์ชันการใช้งานครบทุกความต้องการและเข้ากันดีกับภาพรวมของงานดีไซน์ทั้งโครงการ
เป็นอาคารหน้ากว้างมีขนาด 1 ชั้น จัดวางห้องสำหรับพักผ่อนและทำกิจกรรมไว้ 2 ฝั่ง คั่นกลางด้วยสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ สำหรับว่ายออกกำลังกายแบบจริงจังได้เลยครับ
บริเวณขอบสระจัดวาง Sun Bed สีแดงสดใสตัดกับสีฟ้าของน้ำในสระได้ดีเลยทีเดียว เหมาะสำหรับเป็นพื้นที่พักผ่อนในช่วงเวลาเย็นๆ มานั่งเล่นรับลมเย็นสบายก็ได้ฟีลดีหรือเอาไว้ให้ผู้ปกครองมานั่งรอเด็กๆ ที่กำลังเรียนว่ายน้ำ หรือมาเล่นสนุกกับครอบครัวของเพื่อนบ้านได้เช่นกัน
แต่หากอยากจะนั่งพูดคุยกันในบรรยากาศสบายๆ ก็มี Club Lounge ไว้บริการอยู่ด้านในสุดเลยครับ มีลักษณะเป็นห้องกระจกสีเข้ม สามารถมองออกมาเห็นสระว่ายน้ำได้ แต่จะมองเข้าไปด้านในยากนิดนึง ซึ่งก็จะทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวระหว่างพักผ่อน หรือพบปะแขกที่นัดหมาย
ภายในจัดวางชุดโซฟาที่นั่งจากแบรนด์ Gallotti & Radice รุ่น Audrey สีเทาควันบุหรี่อ่อนๆ ทว่าความโดดเด่นดึงดูดสายตาจะไปอยู่ที่บาร์สีแดงสดด้านหลัง ภาพรวมตกแต่งในสไตล์ Mid-Cemtury ที่ให้ความวินเทจผสมผสานกับความโมเดิร์นสวยงามดีครับ กานต์ชอบมาก
อีกด้านของอาคารสโมสรเป็นห้อง Fitness ขนาดใหญ่พร้อมอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายจาก Techno Gym แบรนด์เครื่องออกกำลังกายระดับโลก ซึ่งส่วนมากจะพบในโรงแรมหรูขนาดใหญ่ จัดวางเอาไว้กระจายกันไป
ภายในจัดวางอุปกรณ์ครบทั้งแบบ Cardio และ Weight Training Machine พร้อมกับโซนฟรีเวทให้เราออกกำลังเพื่อสุขภาพได้ตามใจ ผนังเป็นกระจกใสแบบ High Ceiling สีเข้ม มองออกไปเห็นพื้นที่สวนสีเขียวสบายตา แต่คนด้านนอกอาจจะมองเข้ามายากนิดนึงซึ่งก็ส่วนตัวดี
ขณะที่อีกด้านจะเป็นกระจกเงา มีไว้ให้เราคอยเช็คท่วงท่าขณะออกกำลังกาย แต่ที่ผมชอบคือการจัดวางลู่วิ่งไฟฟ้าให้หันหน้าออกไปทางสวนและสระว่ายน้ำ ทำให้เรามองเห็นบรรยากาศของสระว่ายน้ำสีฟ้าและต้นไม้สีเขียวสบายตา ดูแล้วสดชื่นดีครับ พลอยทำให้คลายเหนื่อยจากการวิ่งลงไปได้บ้าง
BuGaan Pattanakarn ยังได้ส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับกับการออกกำลังกายในแบบ Luxury ให้กับลูกบ้าน ด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายสุดหรูจากโปแลนด์ แบรนด์ PENT นำมาจัดแสดงไว้ที่โครงการอีกด้วยครับเพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำเทรนด์ของแสนสิริที่ชัดเจน ทั้งเรื่องของ Function และ Fashion ที่ลูกบ้านจะไม่มีวันตกเทรนด์อย่างแน่นอนครับ
ผมชอบการออกแบบทางเข้าห้องน้ำของสโมสร ด้วยสีแดงสดวาดลวดลายสีดำ ทำให้เข้ากับคาแรกเตอร์ของ BuGaan Pattanakarn ได้ดีครับ
#โดยสรุป BuGaan Pattanakarn เป็นอีกหนึ่งโครงการที่กานต์ว่ามีความน่าสนใจในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นที่โดดเด่นบนย่านพัฒนาการ ซึ่งบ้านแสนสิริก็เป็นผู้นำในการบุกเบิกโครงการบ้านระดับ Hi-End ในทำเลนี้มาก่อนใคร
จนมาถึงโครงการล่าสุดอย่าง BuGaan Pattanakarn ซึ่งได้นำเสนอประสบการณ์การพักอาศัยที่หรูหราอย่างมีระดับ พร้อมกับนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่ไม่ชอบเหมือนใคร กลายเป็นบ้านที่บอกตัวตนของเราในฐานะผู้พักอาศัยได้ดีที่สุด ตามแนวคิด “My Home Speaks for Myself” สมกับชื่อ BUGAAN (บูก้าน) ที่ผวนเล่นคำมาจากคำว่า บ้าน-กู นั่นเองครับ และผมเชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าตั้งชื่อโครงการที่มีคาแรกเตอร์จัดๆ แบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่แสนสิริ
ดังนั้น โครงการนี้จึงเหมาะสำหรับ Young Successor ที่ต้องการบ้านหลังใหญ่ในบรรยากาศแบบ Modern Classic Twist คงความหรูหราทว่าคลาสสิคเอาไว้เป็นสุนทรียะแห่งการพักอาศัยด้วยดีไซน์และฟังก์ชันภายในบ้านที่สามารถปรับได้ตามไลฟ์สไตล์และความต้องการ พื้นที่ส่วนกลางมีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการใช้งานและให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตน้อย เอกสิทธิ์เพียง 17 ครอบครัวเท่านั้นครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม http://siri.ly/Qk0prH9
หรือโทร. 1685