Awakening Bangkok 2020

ใครสายถ่ายรูป ชอบอัพ FB IG งานนี้กานต์ว่าไม่ควรพลาด กับโชว์เคสแสงไฟ Awakening Bangkok 2020 #วันนี้วันแรก งานเทศกาลผีเสื้อราตรี … จะไปกับแสงสี กับปีกที่สวยๆ เดินลากขากันยาวๆ รัวๆ ทั่วเจริญกรุง บางรัก ตลาดน้อย

เป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับเทศกาลแสงไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ กานต์ไปเดินมาแล้วครับ ใช้เวลาเดินราว 3 ชั่วโมง แนะนำว่าไปช่วงหัวค่ำกำลังดี มีทั้งอินดอร์และกลางแจ้ง แต่งตัวสบายๆ สะพายกล้อง แล้วปล่อยสมองให้โล่งๆ เพื่อจะไปค้นหาความหมายใน Installation Art และ Lighting Showcase

ปีนี้มาในตีม RE / WIND / FAST / FORWARD ไอเดียก็คือจะพาเราย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิต โดยเฉพาะช่วงโควิดนี้ อินเทรนด์มากในการลากศิลปะเข้ามา มีการตั้งคำถามถึงชีวิตในแง่มุมต่างๆ ผ่านงานศิลปะกว่า 36 ชิ้น

ซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเทศกาลนี้โดยเฉพาะ

เดินทางมาเที่ยวง่ายมาก … ตั้งต้นที่ไปรณีย์กลาง บางรัก

ใครเอารถมา จอดได้ที่นี่ ค่าจอดชั่วโมงละ 20 บาท

รถไฟฟ้า ลงสถานีสะพานตากสิน ทางออก 3 เดินต่อหรือเรียกวิน

ส่วนทางเรือ ลงท่าน้ำสี่พระยา แล้วออกสตาร์ทกันได้เลย

ชาร์จแบตกล้องมาให้เต็มๆ เพราะกดกันรัวๆ จนเมมเต็ม

พายาดมมาด้วย งานนี้มีเมื่อยขาแน่เพราะเดินเยอะอยู่นะ

แต่เชื่อขนมกินเลยว่า จะต้องประทับใจ ได้รูปโปรไฟล์สวยๆ กลับบ้านไป เอาไว้อัพลงได้ถึงปีหน้า

เพราะว่าเจ้าภาพ Time Out Bangkok

ปีนี้เขาจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบกว่าที่เคย

—

งานนี้ อยู่ชั้นใต้ดิน ไปรษณีย์กลาง บางรัก เป็นการแสดงแสง สี ถ่ายรูปคือดีย์

ห้องนี้ไฟจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์คนโพสต์

คอนเซปต์นี้เก๋ จากจอห์นนี่ วอลค์เกอร์ คือเดินไปเรื่อยๆ ตามอินลูมิเนชั่นที่จะเปลี่ยนกราฟฟิคไปเรื่อยๆ เหมือนชีวิตเราที่ผ่านอะไรมามากมาย แต่ก็ยังคงต้อง Keep Walking ต่อไปตามสโลแกน

ชิ้นนี้อยู่ Warehouse 30 เป็นโซนของ Johnnie Walker เป็นหลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญฉลอง 200 ปีของแบรนด์ด้วย

งานนี้เดินเยอะหน่อยนะ ทั่วเจริญกรุงทั้งเส้น ตั้งต้นตรงกลางที่ไปรณีย์บางรัก เลี้ยวซ้ายไปจนถึงตลาดน้อย เลี้ยวขวาสุดที่โรงหนังปรินซ์

ใส่รองเท้าเดินง่ายๆ แต่งตัวสบายๆ สะพายกล้อง มาถ่ายรูปกัน

เริ่มจาก The Illumination Experiment จัดแสดงที่ไปรษณีย์กลาง บางรัก

แสงสีเยอะจริงอะไรจริง ผมว่าโซนนี้ ถ่ายรูปง่ายและสวย หาจังหวะที่คนไม่ค่อยมี ตั้งท่าดีๆ แล้วรีบกดชัตเตอร์

ผมชอบชิ้นนี้ ดูเรียบง่าย คล้ายกับจอหนังที่ฉายเรื่องราวของชีวิตเรา

ชิ้นนี้ชื่อ THE FOREST โดย ศิลปิน: TYJ จัดแสดงที่ Bangrak Riverview ตรงริมน้ำหลังไปรษณีย์กลาง

ความกังวลจะถูกปลดเปลื้องและแทนที่ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เพียงแค่ได้อยู่ใกล้ธรรมชาติ ‘ป่า’ แห่งนี้จึงถูกยกมาตั้งไว้ใจกลางย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยแสงไฟ ความเจริญ และผู้คนมากมายที่ลึกๆ แล้วต่างกำลังโหยหาธรรมชาติอยู่

INTO THE BLUE ผลงานของศิลปินคนเดียวกันคือ TYJ จัดอยู่ใกล้ๆ กันคือที่ Warehouse 30

ลึกลงไปใต้มหาสมุทรคือโลกที่ใครก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่ามีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ คำตอบจึงเป็นเพียงจินตนาการที่เติมแต่งขึ้นจากประสบการณ์ของแต่ละคนเท่านั้น เช่นเดียวกับโลกใต้ท้องทะเลในความคิดของศิลปินที่อยู่ต่อหน้าเรานี้

งานจาก BGC GLASS STUDIO

ชุดนี้ชื่อ ARTEMIS จัดแสดงที่ Marine Police Lodge
เป็นชุมชนมุสลิม โดยศิลปินจาก BGC GLASS STUDIO

สังคมได้สร้างกรอบให้ ‘เพศหญิง’ มีบทบาท หน้าที่ และคุณค่าตามขนบธรรมเนียม ผลงานชิ้นนี้จึงต้องการปลดปล่อยอิสรภาพให้เพศหญิงสามารถแสดงออกถึงความงาม สิทธิและเสรีภาพได้อย่างเท่าเทียม เฉกเช่นเทพีอาร์ทิมิสที่ทั้งงดงามและไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ

ขึ้นไปด้านบนบ้านไม้โบราณก็มีงานแสดงอยู่

LIGHT UP THE CITY ของคุณเอก รอดเมฆ คอนเซปต์เก๋ดี เพราะทุกเสียงที่เปล่งออกมาไม่ว่าจะเบาเหรือดัง ล้วนสามารถกลายเป็นแสงสว่างได้ในความมืดมิด เพราะทุกถ้อยคำที่ผลงานชิ้นนี้ได้ยินจะทำให้เกิด ‘บทสนทนาแห่งแสง’ ที่จะส่องสว่างขับไล่ความมืดมิด และเกิดเป็นไฟแห่งความสร้างสรรค์

ชิ้นนี้ชื่อ SOCIAL DISTANCING 2020 โดยคุณฉัตตกาญจน์ วงษ์ศิริ เปรียบแสงที่กระทบแก้วเป็นเสมือนไวรัส ที่ยังอยู่กับเราแสงที่ส่องกระทบลงพื้นผิวแก้ว จะสร้างเงาและสีสันที่ส่องกระจายบนพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเงาเหล่านั้นจะหมุนวนเคลื่อนที่อย่างช้าๆ แทนความรู้สึกของศิลปินที่ต้องการพูดถึงสถานการณ์โลกในตอนนี้ที่ทุกอย่างยังคงเคลื่อนไหว ทว่าทุกคนรับรู้ได้ว่าไวรัสอันตรายยังคงมีตัวตน แม้ตาจะมองไม่เห็น

ชิ้นนี้อยู่ที่มัสยิดฮารูณ ชื่อว่า CHAROEN FLOW โดยกลุ่มศิลปิน CHAROEN CREW เป็นนักศึกษาจากลาดกระบัง ได้โอเดียมาจาก การอยู่รวมกันของผู้คนในย่านเจริญกรุงที่แม้จะมีความหลากหลายแต่กลับอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว นำเสนอในรูปแบบของเส้นสายที่เชื่อมต่อไหลเวียนอยู่ในลูกบาศก์ 4 เหลี่ยม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘สัดส่วนทองคำ’ (Golden Ratio) สื่อถึงการไหลลื่นของวิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนในพื้นที่นี้

อันนี้คือเก๋ และลึกล้ำ นามธรรมสุดๆ RIVULET โดยคุณธี -ธีรวัฒน์ คลังเจริญชัย ในคอนเซปต์ความเชื่อที่เอาชนะความกลัว เล่าเรื่องผ่านการ “เดินบนน้ำ” พูดอีกนัยหนึ่ง คือชีวิตที่เหนือธรรมชาติของความเป็นไปได้ที่ไม่มีสิ้นสุด ซึ่งคุณมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางหรือข้อจำกัด เพียงแค่คุณกล้าที่จะก้าวเดินออกมา ชวนให้นึกถึงความกล้าที่เราต้องมี เพื่อเผชิญการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ศิลปินจึงอยากชวนทุกคนมาเผชิญหน้าและเรียนรู้ความเป็นไปได้จากความเป็นไปไม่ได้

AUTORORA โดย AUTOSAVE STUDIO จัดที่ห้องสมุดเด็กโรงเรียนดรุณบรรณาลัย ศิลปินพาเราออกเดินทางสู่จุดศูนย์กลางของแสงเหนือ เพื่อสร้างและบันทึกเรื่องราวร่วมกัน ณ จุดเริ่มต้นของคลื่นแสงที่ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่าเป็นภาพสะท้อนของเหล่าทหารที่ยอมสละชีวิตเพื่อประเทศจนไปจุติเป็นนักสู้บนสรวงสวรรค์

THE GARDEN OF KNOWLEDGE (FLOROMATA) โดยศิลปิน: H-LAB เล่นกับความสงสัยใคร่รู้ในวัยเด็ก ที่บางครั้งก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดราวกับทุ่งดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน บางครั้งก็หุบหายไปในชั่วแล่น ซึ่งนั่นคงก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราทุกคนสนุกไปกับการเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อันนี้คอนเซปต์ดีและเข้ากับวัย ชื่อว่า STRANGER PLAYLIST โดยศิลปิน SANISCHAYA & OKTAY

เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดปีนี้ บังคับให้เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ในท่วงทำนองที่ไม่คุ้นเคย หวนให้นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในอดีตที่เราอยากกลับไปสัมผัสมันอีกครั้ง เหมือนเทปคาสเซ็ตที่สามารถย้อนทุกอย่างคืนมาได้ง่ายๆ ด้วยการกรอ

ชิ้นนี้อยู่ร้านกาแฟ About White Cafe & Bistro ชื่อว่า RED, ORANGE, YELLOW, GREEN, BLUE, INDIGO AND VIOLET เหมือนชื่อสีรุ้งแต่เอามาเรียกกลับด้านกัน โดยศิลปิน ROUND AND NINE

คอนเซปต์มาจากการที่หลายคนเชื่อว่า ‘รุ้ง’ เป็นตัวแทนของความหวัง ความโชคดี และการเริ่มต้นใหม่ การจะได้เห็นสายรุ้งในมุมมองใหม่ครั้งนี้ อาจทำให้ทุกคนได้เจอกับนิยามบทใหม่ที่ไม่ยึดติดกับความหมายเดิม