ART OF LIFE : สู่ศิลปะของการใช้ชีวิต
____________________________________
ระหว่างที่เขียนโพสต์นี้
กานต์ฟังเพลง Art of Life ของวง X JAPAN ไปด้วยครับ
เป็นเพลงที่มีความยาวราว 30 นาที
คาดว่าน่าจะพอดีกับเมื่อเขียนจบ
.
คนรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม
จะรู้จัก X JAPAN ว่าเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่เพียงใดของญี่ปุ่น
และหาญกล้าที่จะไปบุกตลาดเพลงอเมริกา
… ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่พวกเขาก็ทำได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ
“ญี่ปุ่นเป็นชาติตัวอย่างของความไม่เคยหยุดนิ่ง”
.
Art of Life แปลความหมายได้ว่า “ศิลปะแห่งชีวิต”
เนื้อเพลงพูดถึงการค้นหาความหมายของชีวิตคนเรา
แม้บางช่วงจังหวะของชีวิต จะเผชิญกับความเจ็บปวด
แต่ร่องรอยของบาดแผลก็ยังคงมีความงดงามทิ้งไว้
ว่าไหมครับ
.
“Ars longa, vita brevis.”
เป็นประโยคภาษาลาตินที่ศ.ศิลป์ พีระศรี เขียนไว้
แปลเป็นไทยได้ว่า “ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น”
.
ศิลปะมีอยู่ในทุกที่ แทรกอยู่ในทุกช่วงเวลา
บ้านที่เราอยู่อาศัยก็ถูกออกแบบตกแต่งไว้อย่างมีศิลปะ
รถยนต์ที่ใช้ ก็ดีไซน์ออกมาให้ลงตัวทั้งฟังก์ชั่นและอาร์ต
อาหารที่จัดจานมาอย่างสวย มีรสชาติที่ลึกล้ำ
การดื่มด่ำวิสกี้ชั้นเลิศ หรือกาแฟที่ว่าขมหรือหวาน
ต่างก็เป็นงานศิลป์ ที่เราทุกคนคือศิลปินผู้รังสรรค์
ชีวิตคนเราก็เช่นกันครับ
.
ทริปนี้กานต์ขับรถยนต์ Lexus รุ่น UX
รถยนต์รุ่นเล็กน้องใหม่ พาลัดเลาะเที่ยวไปในเมืองหลวง
บางแห่งก็เป็นสถานที่โปรด บางร้านผมก็ไม่เคยไป
ถือเป็นการเปิดมุมมองใหม่ให้ชีวิตได้ดีเลยครับ
.
•U Xposure ผมขับรถไปจอดถ่ายรูปสตรีทอาร์ท ย่านเจริญกรุง
•ไปนั่งพักที่โรงคั่วกาแฟชื่อดังอย่าง SARNIES
•U Xtraordinary ไปชมนิทรรศการศิลปะระดับโลก
From Monet to Kandinsky ‘Visions Alive’
ผลงานของศิลปินยุโรปผู้มีอิทธิพลต่องานศิลปะสมัยใหม่
จัดแสดงที่ River City Bangkok ครั้งแรกในเอเชียเลยครับ
•จากนั้น ขับไปทานอาหารกลางวันที่ร้าน AKART
•U Xpression ไปจิบกาแฟสร้างงาน Collage Art ที่ร้านชาตา
•U Xclusive ตอนค่ำมีนัดทานดินเนอร์ที่ร้าน Ma Maison ซอยสมคิด
สนุกดีนะครับ ตลอดทั้งวัน ชีวิตถูกแวดล้อมด้วยงานศิลปะชั้นเยี่ยมทั้งนั้น
ผมชอบจัง
.
จังหวะชีวิตก็เป็นศิลปะที่มีมิติ
บางคราวก็ดี บางทีก็แย่
แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็น “ชีวิตที่มีความหมาย”
หมั่นทำงานศิลปะต่อเนื่องไปอย่างที่อาจารย์ศิลป์บอก
“นายไม่ต้องทำอะไร นายทำงาน”
.
ญี่ปุ่นเป็นชาติตัวอย่างของความไม่เคยหยุดนิ่ง
ไม่เคยยอมแพ้ แม้หลังสงครามจะบอบช้ำเพียงใด
แต่ก็กลับมาสร้างชาติให้คนทั้งโลกเห็น
ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และศิลปะ
.
กานต์ว่า Lexus คือแบรนด์ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดครับ
เป็นรถยนต์หรูที่มีความโดดเด่นเรื่องเทคโนโลยี
สมรรถนะการขับขี่ Smooth Drive ขับสบายและเงียบสงบ
เป็นงาน Crafts งานฝีมือแบบญี่ปุ่นที่แฝงไว้ใน Lexus ทุกรุ่น
ถือการออกแบบงานศิลปะชั้นยอดตลอดทั้งคัน
.
ที่สำคัญ …
.
Lexus เป็นรถยนต์หรูสัญชาติญี่ปุ่น
ที่ครองอันดับหนึ่งในอเมริกามานาน
Lexus จึงเป็นตัวอย่างของ Art of Life
เป็นงานศิลปะที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี
.
ตามกานต์มาดูไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะกันดีกว่าครับว่าเป็นอย่างไร
.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนทดลองขับ Lexus UX ได้ที่ >> http://bit.ly/2XijpC0
#Lexus#LexusUX#LexusUXBangkokStreet
#KANT#KΔNT#leisuretravel#hotellifestyle
—
“Ars longa, vita brevis.”
“ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น”
-ศ.ศิลป์ พีระศรี-
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนทดลองขับ Lexus UX ได้ที่ >> http://bit.ly/2XijpC0
#Lexus#LexusUX#LexusUXBangkokStreet
ศิลปะมีอยู่ในทุกที่ แทรกอยู่ในทุกช่วงเวลา
บ้านที่เราอยู่อาศัยก็ถูกออกแบบตกแต่งไว้อย่างมีศิลปะ
รถยนต์ที่ใช้ ก็ดีไซน์ออกมาให้ลงตัวทั้งฟังก์ชั่นและอาร์ต
อาหารที่จัดจานมาอย่างสวย มีรสชาติที่ลึกล้ำ
การดื่มด่ำวิสกี้ชั้นเลิศ
หรือกาแฟที่ว่าขมหรือหวาน
ต่างก็เป็นงานศิลป์
ที่เราทุกคนคือศิลปินผู้รังสรรค์
ชีวิตคนเราก็เช่นกันครับ
ศิลปะมีอยู่ในทุกแขนงครับ
เรือนร่างของมนุษย์ก็ถูกนำมาใช้ในการสร้างงานศิลปะ
ที่เรียกว่า บอดี้อาร์ต (Body Art)
ถ้าหากชีวิตคือรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศิลปะ
การใช้ร่างกายในการสื่อสารก็ดูจะเป็นธรรมชาติอันปกติสามัญของศิลปิน
มี message ที่ต้องการสื่อสารซ่อนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมากครับ
ขึ้นอยู่กับการตีความงานศิลป์ของผู้ชมแต่ละคน
ศิลปะไม่มีถูก ไม่มีผิด
ชีวิตก็เช่นกัน
อาหารก็คืองานศิลป์
มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์
อาหารมักจะมีบทบาทเกี่ยวข้องกับศิลปะอยู่เสมอครับ
การทำอาหารก็คือศิลปะแบบหนึ่ง … ต้องอาศัยใจ บวกกับอารมณ์ในการปรุง
ทุกอย่างจะถูกสะท้อนออกมาผ่านรสชาติของอาหาร
ผ่านคอนเซปต์หรือแม้กระทั่งการจัดจานมาชนิดที่ว่า คิดมาแล้ว
ถ้าเราใส่ใจอาหารพื้นๆ อย่างไข่เจียว หรือสปาเก็ตตี้ ก็จะถูกพรีเซนต์ออกมาอย่างสวยงาม และอร่อย
อิ่มกาย อิ่มใจ ไปพร้อมๆ กัน
เป็นร้านแรกที่เราเริ่มต้นไลฟ์สไตล์แบบ UX กัน
จากโรงคั่วกาแฟกลายมาเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟทุกเมนูอย่างมีศิลปะ ตั้งอยู่บนทำเลที่เหมาะมากครับ
ซอยเจริญกรุง 44 เป็นย่านที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์ด้านสถาปัตยกรรม ความคลาสสิคของตึกรามบ้านช่อง
ทางร้านได้ปรับปรุงตึกเก่าอายุ 100 ปี เอามาทำใหม่ ให้ยังมีเค้าโครงและร่องรอยของอดีตอยู่
สามารถจอดรถได้ในโรบินสัน บางรักหรือที่โรงแรมแชงกรี-ลา ครับ
Sarnies ที่เป็นร้านกาแฟจากสิงคโปร์แต่เปิดในไทยมาได้สักพัก ตอนแรกทางร้านเน้นให้บริการกาแฟ และจำหน่ายเมล็ดกาแฟเป็นหลัก จากนั้นก็ได้ปรับในส่วนของเมนูให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
มีทั้งกาแฟ ชา โกโก้และเครื่องดื่มสไตล์ mocktail มีอาหารแบบ all day brunch ทั้งคาวและหวานจนกลายเป็นคาเฟ่อย่างเต็มรูปแบบ
กานต์ลองสั่ง “Orang Mocha” มาดื่ม เป็นซอสช็อคโกแล็ตเข้มข้นทำเองสไตล์โฮมเมด ผสมกับน้ำส้มคั้นสด รสชาติดีเลยทีเดียวครับ
บางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่เมื่อเกิดการทดลองนำมารวมกัน ผลลัพท์ใหม่ก็กลายเป็นเข้ากันได้ไปซะงั้น (Life Experimentation)
บางทีชีวิตเราที่เคยมองว่าไม่คุ้นเคยหรือไม่ชอบสิ่งนั้น แต่หากเปิดใจลองทำมันอย่างเต็มที่ อาจจะเกิดความรู้สึกใหม่ที่ดีขึ้นก็ได้ครับ
กานต์ ลองสั่งอาหารมาทานบ้างครับ
นอกจาก Salted Egg ซึ่งเอาพาสต้าไปผัดกับไข่เค็มและเนื้อปูทานคู่กับเครื่องดื่ม Iced Coconut long Black กาแฟมะพร้าว ก็เข้ากันดีครับ
จานที่ชอบก็ยังมี CB&J เป็นเนยถั่วผสมน้ำผึ้ง ท๊อปด้วยองุ่นลูกโตที่อบมาแล้ว หอมหวานฉ่ำจากธรรมชาติมากๆ จานนี้เป็นวีแกนนะครับ ชอบหมดใจ
ส่วนของหวานที่น่าสนใจ สั่งเป็น Coffee Cream Caramel เนื้อเด้งดึ๋ง
แล้วยังเมนูชื่อกวนอย่าง A f**king god brownie ที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเนื้อบราวนี่แน่นหนึบ มีช็อกโกแลตเข้มข้น ท๊อปด้วยเกลือเม็ด กัดพอแก้เลี่ยน ถือเป็นอีกจานอร่อยจนอยากร้องตะโกนครับ
ตัวร้านมี 2 ชั้น ถ้าอยากบรรยากาศเงียบๆ หน่อยให้ขึ้นมาชั้นบนครับ
กานต์ชอบร้านนี้ตรงที่ความตั้งใจทิ้งร่องรอยของอดีตไว้ให้ได้มากที่สุด
ผนังยังคงมีการขีดเขียนเอาไว้ มีรอยโปสเตอร์เก่าบนปูนเปลือยและโครงสร้างอิฐก่อ กานต์เห็นความด่างและไม่เท่าเทียมกันของสี ที่ไม่ได้เกิดจากการทาทับใหม่
กานต์อดคิดไม่ได้ว่า
บางร่องรอยของอดีตที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็ยังอยากทิ้งมันไว้เพื่อจดจำมัน
เป็นความเจ็บปวด … ที่งดงาม
ยังคงอยู่ในย่านเจริญกรุง จากซอย 44 กานต์ขับรถยนต์ LEXUS รุ่น UX มายังซอยเจริญกรุง 30 จอดรถได้ที่ WareHouse 30
ที่นี่นอกจากจะเป็นครีเอทีฟ คอมมูนิตี้ คอมเพล็กซ์สุดฮิป ที่รวบรวมร้านอาหาร คาเฟ่ ช็อปสินค้าหลากหลายประเภท ไปจนถึงโรงฉายหนัง และเป็นพื้นที่ Co-Working Space แล้ว
ยังมี Wall art และ Street Art สุดชิคให้เราได้เก็บภาพในสไตล์ U Xposure อีกด้วย
อย่างที่เห็นด้านหลังเป็น Wall Art ขนาดใหญ่บนผนังตึก ผลงานของ Sten และ Lex 2 ศิลปินจากอิตาลี ครับ
ซอยเจริญกรุง 30 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ซอยกัปตันบุช ตั้งอยู่ระหว่างตรอกฮ่องกงกับที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขกลาง ถนนเจริญกรุง มีระยะทางจากถนนเจริญกรุงไปจดแม่น้ำเจ้าพระยา กลายมาเป็นที่ตั้งของ “ทำเนียบเอกอัครราชทูตโปรตุเกส” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างชาติตะวันตกกับเมืองสยามในอดีต
ย่านนี้จึงเห็นความเป็นศิลปะของศิลปินตะวันตก แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก
อย่างกำแพงที่เห็น ไม่ได้เกิดจากการเพ้นท์ แต่เป็นการแกะสลักกำแพง ผลงานของศิลปินชาวโปรตุเกส “Vhils” หรือ Alexandre Farto ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงจากการใช้เทคนิคการแกะสลักกำแพงให้เกิดร่องรอยทางศิลปะที่สวยงาม น่าตามรอยมาเก็บภาพครับ
ไม่ไกลกันนัก กานต์ขับไปต่อกันที่ซอยเจริญกรุง 32 จะมีร่องรอยของงาน Street Art หลงเหลืออยู่ จากการจัดเทศกาลเมืองศิลปะ “บุกรุก” (BUKRUK Urban Atrs Festival)
เหล่านี้เป็นผลงานของศิลปินทั้งไทยและเทศครับ ไม่ว่าจะเป็น Alexmardi, Kult, Bonus, โลเล ทวีศักดิ์, Sabek, Phai Tanasan ฯลฯ
ซอยเจริญกรุง 32 เป็นซอยตันครับ แต่กานต์ลองขับรถเข้าซอยมาสบายๆ ซึ่งทำให้พบว่า จุดเด่นข้อหนึ่งของ Urban Car อย่าง Lexus UX คือ การเป็นรถที่มีวงเลี้ยวแคบที่สุดในตลาดรถขณะนี้ สามารถกลับรถได้ทุกที่และกลับได้ทันที แม้ซอยจะแคบและมีพื้นที่ไม่มากนักก็ตาม
อีกอย่าง คือแนะนำว่าให้มาแต่เช้าครับ จะได้ไม่เจอกับกองทัพตุ๊กๆ หรือแท๊กซี่ที่จะจอดเรียงรายกันจนเต็มสองข้างกำแพงจนยากต่อการเก็บภาพงาน Street Art ครับ
แม้ย่านเจริญกรุงจะเต็มไปด้วยซอยเล็ก ตรอกน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของการขับ Lexus UX ครับ ด้วยความสามารถในการลัดเลาะ จึงเหมาะสำหรับเป็นรถยนต์ของคนเมือง ที่สามารถพาเราซอกซอนไปได้ทุกที่ เพราะดีไซน์มาให้ตอบโจทย์และแก้ปัญหาการใช้ชีวิตบนท้องถนนของคนเมืองได้แบบตรงจุดและตรงใจครับ
มาต่อกันที่ ศูนย์การค้า River City Bangkok ครับ กับ ช่วงหลังกลายเป็น Art Gallery ที่นำเสนอนิทรรศการศิลปะหลายงานที่น่าสนใจ
ล่าสุด กับการนำเสนอนิทรรศการศิลปะดิจิตอลและสื่อผสม From Monet to Kandinsky ครั้งแรกในเอเชีย มาจัดแสดงที่นี่ โดยใช้เทคโนโลยีมาทำให้งานศิลปะเหล่านี้มีชีวิตชีวาและจัดแสดงให้เราเห็นกันแบบ 360 องศาเป็น U Xtraordinary ที่น่าสนใจมากๆ
เป็นนิทรรศการที่ปลุกชีวิตงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซของศิลปินผู้สร้างประวัติศาสตร์ศิลปะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยสื่อมัลติมีเดียทันสมัย
ส่วนตัวแล้วกานต์ชอบมากครับ เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการสื่อสารงานศิลปะของศิลปินจากทั่วโลก ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยมแม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ของโลก ก็เริ่มผนวกการแสดงงานศิลปะแบบดั้งเดิมร่วมกับเนื้อหาแบบดิจิทัล กลายเป็นรูปแบบเนื้อหาที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน
From Monet to Kandinsky มีผลงานที่ถูกคัดสรรมาจากศิลปินระดับมาสเตอร์ใน ยุคศิลปะสมัยใหม่ หรือ Modern Art กว่า 16 คน ตั้งแต่ Claude Monet, Edgar Degas, Paul Gauguin, Vincent van Gogh, Juan Gris, Paul Klee, Gustav Klimt, Henri Toulouse-Lautrec, Kazimir Malevich, Amedeo Modigliani, Piet Mondrian, Edward Munch, Pierre August Renoir, Henri Rousseau, Paul Signac และ Wassily Kandinsky
งานเริ่มด้วยงานของ Monet ที่เป็นศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ และจบด้วย Kazimir Malevich และ Wassily Kandinsky ที่เป็นศิลปินแนวแอ็บสแตรกท์
ซึ่งศิลปินทั้ง 16 คนมีจุดร่วมคือการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยการทดลองใช้รูปแบบ วัสดุ และเทคนิคที่ไม่เคยมีมาก่อนในการทำงานศิลปะ พยายามที่จะปฏิเสธรูปแบบการสร้างสรรค์งานเดิมๆ เหมือนในอดีต คล้ายกับเป็นการทดลอง (Life Experimentation)
เหมือนที่กานต์เคยเล่าไว้ในเรื่อง ของอาหาร มาในสูตรเดียวกันเลยครับ ทั้งนี้ก็เพื่อค้นหาสไตล์การทำงานศิลปะอันนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของยุคสมัยที่ทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่ยุคศิลปะสมัยใหม่ ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ River City Bangkok ยังมีการจัดแสดงนิทรรศการอีกหลายงานที่น่าสนใจ
ในห้องจัดแสดงไม่ไกลกันนักมีงานของ นำเสนอผลงานภาพถ่าย BEYOND SKIN BY NORM YIP ศิลปินที่มีความโดดเด่นในเรื่องการสื่อสารรูปลักษณ์ของชายหนุ่มเอเชีย
ผลงานภาพถ่ายต่างๆ ของนอร์ม ยิป จะบอกเล่าถึงการค้นหา การยอมรับ อัตลักษณ์และสุนทรียะ เป็นการเผยถึงเจตนารมณ์และในฐานะที่เป็นชายคนหนึ่งที่ค้นหาตัวเองผ่านบุคคลอื่น อาศัยแสงและเงาเข้ามาประกอบการสื่อสารผ่านเรือนร่าง เพื่อให้เกิดมิติและความคลาสสิคในงาน
ต้องยอมรับว่า ระยะหลัง River City Bangkok เดินมาถูกทางในแง่ของการสร้างความแตกต่างทางการใช้พื้นที่ อันเนื่องมาจากการแข่งขันทางธุรกิจ
พลิกโฉมไปสู่การเป็นศูนย์กลางศิลปะและโบราณวัตถุหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย (Asia’s Premier Arts, Antiques and Cultured liveing shopping Centre) เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มคนรักงานศิลปะและเป็นเดสทิเนชั่นของเอเชียที่จะมี Art Happening ระดับประเทศเกิดขึ้นเป็นประจำ
River City Bangkok กลายเป็นอีกหนึ่ง Destination ที่คนรักงานศิลปะต้องมาเดินครับ
แถมยังมีการปรับโฉมการตกแต่งภายในให้ดูโมเดิร์นขึ้น ไม่รู้สึกว่าเฉยเหมือนในอดีต สื่อสารผ่านสีสันที่สดใส และการมี Story ที่น่าสนใจ
วิถีคิดแบบนักแสวงหาความแปลกใหม่ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของรถยนต์ Lexus UX ก็ไม่ต่างกันครับ เป็นพื้นฐานแนวคิดของการออกแบบสมัยใหม่ ที่สามารถสะท้อนถึงปรัชญา Yet Philosolophy อันเป็นเอกลักษณ์ของ LEXUS ในการจับคู่สิ่งที่ไม่น่าไปด้วยกันได้มาผสมผสานอย่างลงตัว ผ่านการนำเสนอที่ครบทั้งฟังก์ชั่นล้ำยุคและดีไซน์ที่สวยงาม จนสามารถทลายกรอบกำแพงของการออกแบบระหว่างภายในและภายนอกห้องโดยสารให้เกิดการเชื่อมต่อกันอย่างไร้ที่ติ เข้าใจหลักสรีระศาสตร์ของการขับขี่และมีทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่เยี่ยม มีฟังก์ชั่นต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของคนเมือง
นอกจากนี้ ยังนำแนวคิดการออกแบบสไตล์ญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ เห็นได้จากการนำกระดาษวาชิ (washi) ซึ่งเป็นกระดาษที่เราเห็นตามประตูบ้านคนญี่ปุ่นโบราณ มาเป็นต้นแบบในการทำวัสดุประกอบแผงคอนโซล ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้าน
ที่สำคัญ ถ้าได้เห็นการเย็บตะเข็บหนังจะรู้เลยว่า เป็นงานคราฟท์จริงๆ เพราะฝีตะเข็บเท่ากันเป๊ะ!!
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแผงควบคุมที่เอียงซ้ายเข้าคนขับ เพื่อปรับฟังก์ชั่นการใช้งานภายในรถได้อย่างสะดวกมากขึ้น และยังเป็นแบบ Touch Pad เลื่อนฟังกชั่นการใช้งานขณะขับขี่ เลือกแทรกเพลงโปรดได้สบายละทีนี้ หรือ Sensor ในการเปิดปิดกระโปรงหลัง
ผมว่าฟังก์ชั่นนี้ เหมาะสำหรับคนที่ถือของพะรุงพะรัง หรือสาวๆ ที่ช้อปกระหน่ำ ก็สามารถเปิดปิด เพื่อเก็บของได้โดยง่าย
มีสีสันโดนใจคนรุ่นใหม่ที่แตกต่างและหลากหลาย โดยเฉพาะเฉดสีใหม่ที่กานต์อยากตั้งชื่อให้ อย่าง สีส้ม (Blazing Carnelian Contrast Layering), สีเขียว (Terrana Khaki Mica Metalic) และสีน้ำเงินเข้ม (Heat Blue Contrast Layering) คันที่กานต์ขับนี้ สีเท่มากๆ เติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้เปี่ยมไปด้วยความสุขในการขับขี่ครับ
จากถนนเจริญกรุง กานต์ขับรถยนต์ LEXUS UX มารับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน AKART Bistro & Bar ‘อากาศ’ตั้งอยู่ในโครงการ Yarden Yenakart ซอยเย็นอากาศ
ผมชอบ motto ที่เขียนไว้ในจานรองแก้วจังเลยครับ
People need their history like they need air and food.
ในเมื่ออาหารและอากาศ เป็น 2 ใน 4 อย่างที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
การสร้างประวัติศาสตร์ของชีวิตเราให้เป็นที่น่าจดจำก็เช่นกัน
แต่จะว่าไปรถยนต์ก็เป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตยุคนี้ที่ขาดไม่ได้
และ LEXUS UX ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการรถยนต์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
ร้าน AKART Bistro & Bar จะเน้นเสิร์ฟอาหารไทยและอิตาเลียนครับ บรรยากาศก็เหมือนไปนั่งทานข้าวบ้านเพื่อน ซึ่งเพื่อนเราคนนี้เป็นผู้หญิงหวานๆ ที่รักงานศิลปะ ชอบจัดดอกไม้ เห็นได้จากการตกแต่งร้านที่มีความเก๋ไก๋เฉพาะตัวครับ
นอกจากสวยแล้วยังอร่อยด้วย
ส่วนตัวผมชอบสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า มากๆ ครับ ทานแล้วรู้สึกได้ถึงมิติของวัตถุดิบและส่วนผสมที่นำมาปรุงอาหาร เป็นจานที่อร่อยมาก
ใครสั่งแซลมอนสเต๊กอาจจะต้องรอนานหน่อย แนะนำว่าให้ลองสั่ง AKART Pizza Creamy Fettuccine Ham & Mushrom มาทานเล่นรองท้องกันก่อน
ส่วนของหวานที่เป็น Signature ของทานร้านคือ บิงซูบัวลอยห้าสี รสชาติหอมหวานกำลังดีครับ
อ่อ!! หอยแมงภู่อบเลมอน ก็อร่อยดีครับ
จากนั้นไปจิบกาแฟตามสไตล์ Cafe Hopping กันที่ร้าน CHATA Specialty Coffee ติดกับวัดสัมพันธวงศ์ ย่านเยาวราช สามารถจอดรถไว้ในลานจอดของวัดได้เลยครับ
ที่นี่นอกจากมีร้านกาแฟ CHATA แล้วยังมีบริการห้องพัก Baan 2459 ด้วยครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นบ้านเก่าในสมัยรัชกาลที่ 6 นำมาปรับปรุงใหม่
กานต์ชอบไอเดียการผสมผสานกำแพงของร้าน CHATA ซึ่งเป็นกำแพงเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี เป็นกำแพงที่ติดกับวัดสัมพันธวงศ์ โดยยังคงคอนเซปต์ร่องรอยของอดีตเอาไว้
เรื่องของบรรยากาศ ผมให้ 3 ผ่าน ส่วนเรื่องรสชาตินั้นถือว่าอยู่ในระดับดี เพราะมีบาริสต้าดีกรีรองแชมป์เวที Thailand Nationnal Barista Championship 2019 มาชงให้ จึงกลายเป็นอีกหนึ่ง Destination ที่คนรักการทานกาแฟต้องมาเช็คอินครับ
ที่ร้าน CHATA ผมยังได้ทดลองสร้างสรรค์งานศิลปะแบบปะติด หรือ Collage Art ของตัวเองบ้างตามคอนเซปต์ U Xpression
แต่ผลงานนั้น … ขอเก็บไว้ดูเองนะครับ ^ ^
ปิดท้ายวันด้วยการไปรับประทานอาหารค่ำแบบ U Xclusive ที่ร้าน Ma Maison ซอยสมคิด ย่านชิดลม
ผมชอบสีเหลืองทองๆ วาวๆ อยู่แล้ว เจอการตกแต่งของร้านนี้เข้าไป ในใจร้องว๊าว!! หลายรอบมากครับ
Ma Maison เป็นร้านอาหารไทยตามตำรับของบ้านปาร์ค นายเลิศ จากแต่เดิมที่เคยเสิร์ฟอาหารฝรั่งเศส ก็มาเน้นการนำเสนออาหารไทยร่วมสมัย
ตัวร้านเน้นวัสดุเป็นโครงเหล็กผสมกระจก เพื่อให้สอดรับกับธรรมชาติของสวนภายนอกที่จะมองเห็น Nailert Heritage Home
ในร้านตกแต่งด้วยของสะสมของบ้านนายเลิศ ที่บ่งบอกอัตลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นนก หนังสือเก่า ลูกโลก แผนที่ และงานเซรามิคที่หาชมได้ยาก สอดแทรกด้วยดอกไม้ ช่วงนี้เน้นดอกไม้สีเหลืองเป็นหลัก ซึ่งก็เข้ากันดีกับสีสันของทางร้านครับ
เมนูอาหารของร้าน Ma Maison จะเน้นตำรับไทย โดยมีเจ้าของสูตรเป็นภรรยาของนายเลิศ เจ้าของบ้าน คือ คุณหญิงสิน เศรษฐบุตร ซึ่งทั้งหมดเป็นเมนูอาหารไทยที่ปรุงรับประทานกันเป็นประจำภายในบ้านนั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นซุปเป็ดต้มฟักกับมะนาวดอง หอมและกลมกล่อมด้วยมะนาวดอง คล่องคอมากครับ
น้ำพริกแบบไทยๆ ต้องมี แนะนำว่าเลือกเป็นน้ำพริกลงเรือจะเข้ากันมากครับ เผ็ดหวานมันกำลังดี
ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำก็เป็นอีก Signature ที่ไม่ควรพลาดในการสั่งมาทาน เครื่องแกงคือดีย์ กุ้งแม่น้ำมีความหวานกรอบ เนื้อสดเด้งดีมาก
ส่วนของหวานลองสั่งไอศครีมน้ำมะพร้าวมาทานครับ หอมหวานชื่นใจดีมาก
นับเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่กานต์ประทับใจครับ
ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีศิลปะ ไปกับรถยนต์ LEXUS รุ่น UX ที่ออกแบบมาสำหรับตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนเมืองอย่างแท้จริง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนทดลองขับได้ที่ http://bit.ly/2XijpC0