วิววัดอรุณคือนิพพาน #ศาลารัตนโกสินทร์
พาชม Wat Arun River View Suite #ห้องนี้วิวเลิศสุด
KΔNT The #COLLECTION103 x SALA Hospitality Group
.
ถ้าให้พูดตามตรง จากบ้านกานต์มาแถวท่าเตียนไม่ได้ไกลเลยครับ
แต่เนื่องจากอยากเปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นวันพิเศษ
ผมจึงหาจุดหมายปลายทางที่สร้างความประทับใจ
ในวันสำคัญเช่นนี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับตัวเอง
.
ขับ Lexus RX รุ่นไมเนอร์เชนจ์ 2020 มา
ใช้เวลาแค่ 8 นาที
จอดรถที่ลานจอดของวัดโพธิ์ ค้างคืนได้
จากนั้นเดินต่อมาในซอยเล็กๆ จะเจออาคารสีขาวซ่อนตัวอยู่
โรงแรมศาลารัตนโกสินทร์ เป็นบูทีค รีสอร์ท
ในเครือ SALA แห่งเดียวของกรุงเทพฯ
คือที่พักของเราในคืนนี้ครับ
.
ห้องที่แนะนำคือ Wat Arun River View Suite
ห้อง type สูงสุด กว้างขวาง ที่สำคัญคือ #วิวสวยที่สุด
เพราะจะเห็นวัดอรุณแบบพาโนราม่า
ผ่านผนังกระจกบานกว้าง
ราวกับนั่งดูภาพยนตร์มีชีวิต
เรือหลากประเภทที่เล่นสัญจรทางน้ำไปมา
ผู้คนมากหน้าหลายตา
ทั้งไทยและเทศที่มาเที่ยววัด
บรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน
ภาพเหล่านี้จะปรากฎให้เราได้เห็น เมื่อเข้าพักที่นี่
เชื่อไหมว่า …
ผมเปิดม่านนอนมองภาพเหล่านี้จนผลอยหลับไป
.
โรงแรมมีขนาดไม่ใหญ่ ห้องพักเพียง 17 ห้องเท่านั้น
เหมาะแก่การพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ
ส่วนตัวชอบคอนเซปต์ที่โชว์ผนังอิฐ คานเปลือย
ดูแล้ววินเทจดีครับ
รู้สึกเข้ากับบริบทชุมชนและวิวโดยรอบ
.
ส่วนใครอยากได้ห้องที่เห็นวิววัดอรุณ
ต้องจองกันแต่เนิ่นๆ ครับ
โดยเฉพาะห้อง Wat Arun River View Suite
ซึ่ง type นี้ ทั้งโรงแรมมีเพียงหนึ่งห้องเท่านั้น
มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ที่กานต์ชอบมากที่สุดคือการใช้แช่อ่างอาบน้ำ
แล้วนั่งชมความงามของวัดอรุณยามอาทิตย์อัสดง
เป็น moment ที่โรแมนติกที่สุดแล้วในเวลานี้
.
ใครอยากขึ้นไปดริงก์ที่รูฟท๊อปบาร์ก็ได้ครับ
ซึ่งใครพักห้องนี้จะมีประตูทางขึ้นส่วนตัวโดยเฉพาะเลย
เก๋เข้าไปอี๊กกกกกก
อยากแนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้าเหมือนกัน
แขกต่างชาติเยอะมากครับ
ได้รับคำแนะนำจากคอลัมน์นิสต์ระดับโลกมากมาย
ว่าเป็นจุดชมวิวยามเย็นที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
.
ส่วนใครจะดินเนอร์กับคนรัก
ที่ห้องอาหารศาลารัตนโกสินทร์
แนะนำว่า “ต้องจองล่วงหน้า”
เป็นคำตอบสุดท้ายเช่นกัน
มุมเลิศๆ แบบให้เห็นวิวพระปรางค์กระแทกตา
จะถูกจองเต็มตลอด!!
.
ใครมีแฟน แทคอ้อนแฟนมาเถอะ
บรรยากาศดี #งานนี้มีขอแต่งแน่นอน
ให้พระปรางค์และปลาหมึกย่าง หมูกรอบ Pork Belly
เป็นพยานในความรักของเรา … นะครับ
—
a stylish riverside boutique retreat that puts guests in the historical heart of Bangkok, overlooking the beautiful “Temple of Dawn”.
SALA RATTANAKOSIN BANGKOK
39 Maharat Road, Rattanakosin Island, Bangkok 10200 Thailand
RESERVATIONS
T : +66-2-622-1388
F : +66-2-622-1389
E : stay@salarattanakosin.com
ห้องอาหารขนาดไม่ใหญ่ แต่บรรยากาศ วิว ดีไซน์และรสชาติอาหาร กินขาด!!
โต๊ะมุมนี้ มีเพียง 2 ห้องเท่านั้นครับ แต่อาจจะต้องจองก่อน โทรเลย เบอร์โทรศัพท์ 02-622-1388
อยู่ใกล้บ้าน หอบงานมาทำด้วยครับ วิวดี๊ดี เป็นการทำงานนอกสถานที่ที่บรรยากาศดีมาก
ลองทำรูปเป็นแบบวินเทจดูย้อมสีซีเปีย ดูโบราณดีครับ ตั้งชื่อรูปนี้ว่า
“ร.ศ.๒๓๙”
ชื่อของโรงแรมเครือ “ศาลา” (SALA) กลายเป็น Brand Identity ที่มีเอกลักษณ์ของความเก๋ กู๊ด แอทติจูด เทสต์ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นศาลาที่ไหนก็ตาม
โรงแรมศาลา รัตนโกสินทร์ อยู่ที่ถนนมหาราช ท่าเตียน จอดรถไว้ที่วัดโพธิ์แล้วเดินเข้าซอยมาครับ (ที่จอดรถเปิด 24 ชั่วโมง) หักคะแนนตรงนี้เล็กน้อย เพราะเดินไกลพอประมาณ
หรือจะนั่งแท๊กซี่มาก็น่าจะสะดวกกว่าครับ ถ้ามาทางเรือก็ลงที่ท่าเตียน เดินผ่านวัดโพธิ์ไปโผล่แถวซอยท่าเตียน
จะเจอตึกสีขาวที่ซ่อนตัวอยู่กลางห้องแถวเก่าๆ เจอป้ายสีขาวแล้วเดินเข้ามาเช็คอินได้เลยครับ
เช็คอินห้อง Wat Arun River View Suite อยู่ชั้น 4 ครับ แต่ที่นี่ไม่มีลิฟต์ต้องเดินขึ้นบันไดมาครับ ส่วนกระเป๋า สัมภาระจะมีพนักงานยกขึ้นมาให้ครับ
เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอวิวนี้เป็นภาพแรกครับ
เมื่อเปิดม่านมาดูก็จะพบกับภาพนี้ครับ พระปรางค์วัดอรุณ หรือ “วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร” หรือที่เรียกกันมาตั้งแต่โบราณว่า “วัดมะกอก” เนื่องจากสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระราชประสงค์ย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี โดยกรีธาทัพมาทางชลมารค และมาถึงวัดเอาเมื่อรุ่งสาง จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดแจ้ง”
ห้องนี้วิวคือที่สุดจริงๆ ครับ ชมวิวได้ 270 องศา ชมวิวทิศใต้ได้ด้วยครับ เนื่องจากมีผนังกระจก 2 ด้าน
สามารถนั่งทำงาน หรือจิบกาแฟ อ่านหนังสือ ในบรรยากาศของวิวดีๆ แบบนี้ได้เลยครับ
ส่วนคานที่เห็นเป็นโครงสร้างตึกเก่า ซึ่งไม่เอาออก เพราะดูแล้วอยากให้ย้อนถึงประวัติศาสตร์ดูแอนทีคดีนะครับผมว่า
ห้องตกแต่งสไตล์มินิมอลลอฟต์ซึ่งเคยเป็นเทรนอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็ถือว่ายังสวยงามอยู่ครับ เน้นความว่างเปล่าของสเปซ ด้วยการใช้สีคุมโทนขาวดำ พร้อมผนังกระจกกว้าง ด้านในห้องแบบฟังก์ชั่นการใช้สอยออกเป็นมุมต่างๆ อย่างเช่นเตียงนอนริมกระจก อ่างอาบน้ำกลางห้องที่เทควิวได้เต็มอารมณ์ ถัดไปเป็นโซนห้องน้ำและมุมแต่งตัว
โดยสไตล์ของห้องค่อนข้างตรงสเปคผมครับ ชอบขาวดำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กอปรกับความเรียบง่ายของฟังก์ชั่นการใช้งาน การจัดวางข้าวของที่ไม่เยอะจนเกินไป ทำให้ห้องดูเรียบ เหมาะกับวันพักผ่อนสบายๆ
ผมชอบโมเมนต์ที่ได้แช่อ่างน้ำอุ่นๆ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการทำงาน ได้ปล่อยอารมณ์ไปกับภาพเคลื่อนไหวที่มีชีวิตเบื้องหน้า โดยเป็นการเฝ้ามองความเป็นไปอย่างช้าๆ และไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางบริบทนั้น ผ่านสถานที่ที่มีความงดงามในตัวเอง มีประวัติศาสตร์และเรื่องราวที่น่าสนใจ
บางทีการได้ใช้เวลาสัก 20 นาทีในการคุยกับตัวเองในแต่ละวัน มันก็เป็นการพักผ่อนที่ดีรูปแบบหนึ่งนะครับ
Amenity ในห้องน้ำจัดเต็ม มีเตรียมไว้ให้ครบทุกอย่าง ชอบความมินิมอลของอ่างล่างมือแบบลอยตัวที่จัดวางไว้เท่านี้จริงๆ
ความพิเศษของห้อง Wat Arun River View Suite คือมีประตูส่วนตัวที่จะขึ้นไปยัง Rooftop Bar ชั้น 5 ได้เลยทันทีครับ
มีเวลาสังเกตสังกาสถาปัตยกรรมภายนอกที่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างเก่า เห็นร่องรอยของอิฐแดงที่แฝงตัวอยู่กับผนังสีดำ ทำให้เกิดเท็กซ์เจอร์ใหม่ๆ ในการดีไซน์ซ฿่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ยิ่งมาเจอกับบันไดวนโครงเหล็กสีดำ ช่วยเพิ่มความล้ำสมัยในด้านการออกแบบมากยิ่งขึ้น
ขึ้นไปชั้น 5 เป็นบาร์บนชั้นดาดฟ้าที่สามารถเห็นวิวของเกาะรัตนโกสินทร์ได้แบบ 360 องศา เรียกได้ว่าชิลล์สุดๆ เลยครับ
บาร์ชั้น 5 มีทั้งแบบโต๊ะและบาร์ที่หันหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา (เต็มตลอดจ้าาาา) ที่ชั้นนี้วิวกลางคืนคือดีย์มาก สวยมาก บรรยากาศก็สบาย ๆ
ยิ่งช่วงนี้หน้าหนาว ฟีลดีมีความเย็นสบายๆ จะเห็นว่า ห้าโมงนิดๆ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดี คนก็เริ่มแน่นแล้วครับ ส่วนมากเป็นต่างชาติที่จองไว้ เพราะได้รับคำแนะนำมาจากนิตยสารท่องเที่ยวและสื่อออนไลน์ต่างๆ ว่าเป็น The Best Sunset View in Banglok
บาร์ก็ยังเก๋ มีความมินิมอล สีขาวดำ เด่นด้วยสีเหลืองสีเดียวจบ!!
เมนูอาหาร ของทานเล่นและเครื่องดื่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ครับ มีตัวใหม่ๆ มาให้ลองจิบตลอด
หรือใครอยากจะสั่งอะไรแบบไลท์ๆ บ้าง แนะนำเป็น เสาวรสมะม่วงมอคเทลชื่อ “สวัสดีศาลา”
พร้อมกับชมความงามของวิวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้แบบ 360 องศา
รอเวลาพระอาทิตย์สายัณห์ ส่องผ่านวัดอรุณฯ … ก็คงเหมือนสัจธรรมของชีวิต มีขึ้น มีลง มีส่องแสง และดับมืด
เอ๊าาา เพ้อ!! ลงมารับยาด้วยจ้า
เอ๊ยยย!! มาๆ ลงดินเนอร์ที่ห้องอาหารชั้นล่าง
ห้องอาหารมี 2 ชั้น เป็นห้องอาหารปรับอากาศทั้งหมด แต่ชั้นล่างจะแตกต่างตรงมีชานชาลาริมน้ำยื่นออกไป อาจจะร้อนเล็กน้อย มีพัดลมคอยเป่าให้ เพื่อจะได้สูดอากาศริมแม่น้ำและชมความงามวัดอรุณฯ โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเหมือนที่กานต์นั่งนี่แหละครับ
สั่งอาหารมา 4 อย่าง มีทูน่า ทาร์ทาร์ ใช้เนื้อปลาทูน่าหั่นเต๋าคลุกเคล้าด้วยสมุนไพรสดกับน้ำมะนาว แต่งหน้าด้วยอโวคาโดปรุงรส วางเกี๊ยวกรอบมาข้างๆ
จานต่อมาเป็นกุ้งเสียบไม้ทานกับซอสหวานคล้ายน้ำจิ้มไก่ มีรีซอสโต้กุ้งลายเสือ หอมเครื่องเทศดีครับ และของหวานที่เป็นจานซิกเนเจอร์ของทางร้านครับ
อาหารที่นี่มีทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง ฟิวชั่น รสชาติถูกปากมาก อาหารอร่อยมากๆ ต้องขอชมเชฟเป็นพิเศษ เดินมาถามถึงโต๊ะ
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการบริการอยู่แล้วครับ สปีคอิงลิชกันเก่งทุกคน แขกที่มาทานก็หลากหลายทั้งคู่รัก นักธุรกิจ กลุ่มเพื่อน ครอบครัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศของวิวพระปรางค์ยามต้องไฟในช่วงพลบค่ำแบบนี้ครับ
ทานเสร็จแล้วขึ้นห้องดีกว่า พบว่าแม่บ้านมาเทิร์นดาวน์เตียงเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับวางน้ำสมุนไพรไว้ให้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเครือศาลาทุกที่
บรรยากาศวัดอรุณ ตอนกลางคืน ก็จะมีเรือครุยส์ทานข้าว สีสันสดใส ล่องไปมาจนถึงดึกเลยครับ
เก็บภาพมาฝากกัน
เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน ชมความคึกคักของวิถีชีวิตริมน้ำกันตั้งแต่เช้า
จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวลงมาทานอาหารเช้ากันที่ห้องอาหารเดิม เน้นโต๊ะด้านนอกครับ เพราะตอนเช้าอากาศสบายๆ ไม่ร้อน จะได้ทานอาหารอร่อยๆ ชมวิวสวยๆ ไปด้วย ถ้าเป็นต่างชาติมาอยู่แบบนีสักสองคืนคงประทับใจแน่นอน
อาหารเช้ามีให้เลือกหลากหลาย เน้นเป็นอะลาคาร์ท สั่งจากพนักงานได้เลยครับ
เริ่มจากขนมปังหนึ่งตะกร้ามาพร้อมกับแยมโฮมเมด จากนั้นผมสั่งเซ็ตข้าวต้ม ซึ่งยำกุนเชียงอร่อยมากกกก จนอยากถามเชฟว่ากุนเชียงซื้อที่ไหน
จากนั้นก็สั่ง Egg Benedict สีสันสวยดี มีขนมหวานตบท้ายจากผลไม้สดครับ
Sleep with me free breakfast
#โดยสรุปsala rattanakosin Bangkok เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับการให้รางวัลตัวเอง หรือจะเป็นคืนพิเศษที่ไม่ต้องการพี่อ้อยพี่ฉอดมาคอยปลอบใจ มีแค่เราสองคนในบรรยากาศสวยงาม สบายๆ แบบนี้ก็พอแล้ว
อย่าลืมนะครับ แนะนำจองเป็นห้องที่เขียนว่า Wat Arun View ไว้ก่อน แล้วจะได้ฟีลแบบนี้เลยครับ