#ที่สุดของรีสอร์ตในเชียงใหม่คุณนึกถึงที่ไหน
กานต์นึกถึง #โฟร์ซีซั่นรีสอร์ต เป็นชื่อแรก
หากถามถึงที่พักในเชียงใหม่ที่อยากไปมากที่สุดครับ
Four Seasons Resort Chiang Mai ออกแบบราวกับหลุดไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง
ซึ่งเราแทบคิดไม่ถึงว่าในหมู่บ้าน เอ๊ยย รีสอร์ตกลางดอยแม่ริม ทางไปม่อนแจ่ม
จะรวมเอาสุดยอดความอลังการของงานวิจิตรล้านนา มาไว้ในสถานที่นี้ได้
ตลอดระยะเวลาของการเข้าพัก
ผมได้สัมผัสกับคำว่า “ธรรมชาติของชีวิต” ในหลายๆ มิติครับ
ทั้งความสัมพันธ์ของน้ำ ฟ้า ป่า เขา คน และสัตว์
เพิ่งเคยได้อาบน้ำ “น้องควาย” เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ที่นี่แหละ!!
ได้อู้กำเมืองกับอ้ายหนาน เป๋นคนเจียงฮาย
แต่ย้ายมาทำงานที่เชียงใหม่ มาเป็นพี่เลี้ยงให้กับพระเอกของรีสอร์ต
ได้เห็นถึงความผูกพันธ์ระหว่าง “คน” กับ “ควาย” ที่พึ่งพากันมาตั้งแต่ในอดีต
ซึ่งหาได้ยากจากวิถีชีวิตของคนเมือง
จึงกลายเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ …. ภายใต้ความธรรมดาของคนพื้นที่
ที่โฟร์ซีซั่นเชียงใหม่ เน้นใช้แรงงานของคนท้องถิ่นเป็นหลัก
นัยว่าเพื่อให้เกิดการรักษ์บ้านเกิด มีการจ้างงาน สร้างรายได้
ช่วยให้แม่อุ้ย ป้อหนาน ได้อยู่กับกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคย
ยังทำนาทำไร่ทำสวนก็ทำกันต่อไป ทำมันในรีสอร์ตนี่แหละ
เป็นความสัมพันธ์ของทุนกับวิถี ที่ยังเอื้อต่อกันได้ดีในระดับหนึ่ง
สะท้อน “ธรรมชาติที่แท้จริงของทุกชีวิต” ได้ดีครับ
ตอนนี้ทางรีสอร์ตชูจุดขายเรื่องการพักผ่อนที่ดีต่อสุขภาพ
ในบรรยากาศแบบธรรมชาติรายล้อม Live with Nature
ผมว่าเหมาะมากหากใครมองหารีสอร์ตที่เต็มไปด้วยสีเขียวแบบนี้
มีคุณสุดา อายุรเวชจากอินเดีย มาคอยให้ปรึกษาเรื่องสุขภาพ
พร้อมกับจัดโปรแกรมการดูแลกายและใจให้เราด้วยครับ
อย่างกรณีของกานต์ คุณสุดา บอกว่าเป็นความดันต่ำ
พร้อมกับให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองในช่วงการเข้าพักที่นี่
แต่ถ้าเป็นเรื่องการดูแล “หัวใจ”
คุณสุดาบอกว่า “ตัวใครตัวมัน” ครับ 555
#KANT#leisuretravel#journalisttravel
#ท่องเที่ยวพักผ่อน#ชอบนอนโรงแรมสวย
Director & Photographer – Kant Jominta
Assistant Photographer – Natchaka Prasertsada
FACEBOOK – KantJournal
INSTAGRAM – KantJournal
YOUTUBE CHANNEL – KantJournal
WEBSITE – www.KantJournal.com
—
#ยกมือทาบอก พร้อมกับอุทานเบาๆ
คุณพระ!! นี่สระว่ายน้ำรึ
ใหญ่ ยาว ราวกับริ้วขบวนแห่งานลอยกระทง
กานต์ชอบฟีลลิ่งของรูปนี้ครับ ทำให้นึกไปว่า ตอนที่ถ่ายเรากำลังคิดอะไรอยู่
ผมกำลังรอ Sunset Cocktail ขณะนั่งชมตะวันยามจะลับขอบฟ้า หมอกลอยมาบางๆ ช่วยสางทอแดดสีทองให้จางลง ขลิบด้วยสีเขียวของต้นไม้ ให้ความรู้สึกถึงการพักผ่อนในวันสบายๆ ที่แท้จริง
ขอแปลงร่างเป็นพี่คล้าวสักวัน มาอาบน้ำให้พระเอกของรีสอร์ต ตื่นเต้นดี
ภาพมุมสูงที่โชว์เลย์เอ้าท์ของรีสอร์ตที่แวดล้อมด้วยอาคารที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตรงกล่างเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ ถัดมาเป็นนาขั้นบันได ซึ่งทำนากันจริงๆ ในรีสอร์ต โดยมีเซ็นเตอร์เป็นสระว่ายน้ำที่เว่อร์วังอลังการที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา
รอบๆ จะเป็นอาคารที่พัก หันหน้าเข้าหานาข้าว เป็นบรรยากาศแบบธรรมชาติ ที่หาได้ยากสำหรับคนเมืองใหญ่ในปัจจุบัน
โฟร์ซีซั่น อยู่แม่ริมครับ ทางไปม่อนแจ่ม แต่จะเจอแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้ามา ข้างในกว้างขวางมาก รั้วไล่ยาวตั้งแต่โซนเรสสิเดนท์ จนมาถึงรีสอร์ต
จอดรถไว้ที่ Car Parking จากนั้นจะมีรถบัคกี้มารับ เพื่อเข้าไปยังล็อบบี้เช็คอิน ซึ่งจะผ่านงานสถาปัตยกรรมที่อลังการงานสร้าง ดูด้วยตาเปล่า จะเห็นหลายอารยธรรมที่ผสานเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่เรารับเอามาอย่างหลากหลายตั้งแต่ในอดีต
เป็นสถานที่ที่สร้างความอัศจรรย์ใจให้กับกานต์ได้ตั้งแต่ก้าวย่างแรกครับ
งานดีไซน์ของที่โฟร์ซีซั่นเชียงใหม่ คือเก๋มาก มีความร่วมสมัยอยู่ในที ตีความอัตลักษณ์แบบล้านนามาประยุกต์ให้ดูโมเดิร์นขึ้น เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างตะวันตก คือเชนโรงแรมชื่อดังระดับโลกอย่าง Four Seasons กับวิถีชีวิตแบบ Lanna Style
บ้านพักแต่ละหลังจะปลูกเรียงรายกันไป คล้ายหมู่บ้านทางเหนือ แต่ละเรือนจะมีด้วยกัน 2 ชั้น วิวตรงระเบียงบ้านจะเป็นนาข้าวแบบขั้นบันได ซึ่งสวยงามมาก
แต่เมื่อมองในมุมสูงขึ้นไปจะพบว่า ที่รีสอร์ตปลูกเรือนซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้หนาทึบ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติมาก ยิ่งบรรยากาศในตอนเช้าๆ ที่หมอกลงต้องกับแสงอาทิตย์ส่อง เป็นภาพที่ชวนมองยิ่งนักครับ
ที่นี่มีด้วยกันหลาย type ทั้งที่เป็นห้องเดี่ยวในบ้านแต่ละชั้น หรือที่เป็นวิลล่า พูลวิลล่า และเรสซิเดนท์ ปลูกเรียงรายกันไปแบบไม่ได้วางเลย์เอ้าท์ เป๊ะๆ เหมือนรีสอร์ตทั่วไป
เพื่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนการปลูกบ้านเพื่อการอยู่อาศัยในหมู่บ้านแถบทางเหนือที่ต่างคนต่างปลูกเรือนตามที่ดินของตนเอง ซึ่งขนาดและพื้นที่ไม่เท่ากัน ทำให้รู้สึกถึงความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมท้องถิ่น
ห้องพักของกานต์จะเป็น UPPER RICE TERRACE PAVILION ซึ่งเป็นห้องชั้นบนหันหน้าเข้าหาทุ่งนานั่นเองครับ ซึ่งทำให้เรามองเห็นวิวได้ไกลไปถึงดอยสุเทพเลยครับ
ภายในตกแต่งด้วยงานผ้าไหมและผ้าฝ้าย ตลอดจนการดีไซน์ที่เน้นความเป็นล้านนาร่วมสมัย และยังสัมผัสได้ถึงความ Luxury ครับ
ห้องมีขนาดกว้างมาก แยกสัดส่วนแต่และฟังก์ชั่นการใช้งานชัดเจนดี ที่ชอบคือวิวจากหน้าต่างบานใหญ่นี่แหละครับ ทำให้ทุกเช้าที่ตื่นมา เราสามารถทักทายต้นไม้และแสงแดดได้จากในห้องนอนกันเลยทีเดียว
ความเก๋ของโฟร์ซีซั่นคือการเตรียมของว่างเอาไว้ให้ทานในห้องเป็นแบบ DIY นิดหน่อย นอกจาก Coconut Chia Pudding ซึ่งเป็นเมล็ดมหัศจรรย์ที่ดีต่อสุขภาพเราแล้ว ยังมี Infuse Lemon มาเป็นลูกเลยครับ พร้อมกับมีดให้เราสไลด์เป็นแผ่นบางๆ แล้วแช่ไว้ในน้ำแร่ที่ใส่ใบมินต์เข้าไป ช่วยในเรื่องการ Detox ได้ดีเลยทีเดียว สมกับที่เป็น Wellness Luxury Resort จริงๆ. ครับ
มุมโต๊ะทำงานที่แยกสัดส่วนกับการพักผ่อนได้อย่างชัดเจน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับธุรกิจของเราให้ลื่นไหล ไม่ติดขัดครับ
ด้านในสุดเป็นห้องน้ำ ซึ่งโดดเด่นด้วยอ่างอาบน้ำ กึ่งเอ้าท์ดอร์ สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวภายนอก รวมถึงบรรยากาศของต้นไม้ใบหญ้าที่รายล้อม เป็นฟีลลิ่งของการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมจริงๆ ครับ
กานต์นัดคุณ Sudha Nair หรือเรียกง่ายๆ ว่าคุณสุดาก็ได้ครับ เป็น Naturopath ที่ Wellness Lounge ซึ่งคล้ายๆ กับศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพและการดูแลร่างกายภายในรีสอร์ต
เธอเป็นคนอินเดียครับ ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าอินเดียเป็นต้นตำรับของยาโลก มีศาสตร์ความรู้ทางอายุรเวชมากมาย ซึ่งผมเองก็คุ้นเคยกับทางอินเดียเป็นอย่างดี
ได้มีโอกาสปรึกษาคุณสุดาเยอะเลยครับ เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพโรคภัย
คุณสุดาให้ผมลองวัดความดัน ซึ่งก็พบว่าความดันต่ำ ทำให้ต้องมีการดูแลสุขภาพ เรื่องของอาหารและการออกกำลังกายให้ครบสูตร
ผมว่าใครที่มองหาสถานที่พักผ่อนและได้ดูแลสุขภาพไปด้วยระหว่างการเข้าพัก น่าจะเป็นประโยชน์มาก เพราะตลอดการเข้าพัก จะมีการให้คำแนะนำเรื่องเมนูอาหารที่เหมาะกับสุขภาพเรา (ซึ่งห้องอาหารข้าว มีให้บริการตั้งแต่มื้อเช้าเลยครับ) ตลอดจนการออกกำลังกาย ฟิตเนส โยคะ ว่ายน้ำ การทำสมาธิกำหนดลมหายใจ เรียกได้ว่า ถ้าจบทริปแล้วสุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรงดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ
ตอนบ่ายแก่ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เข้ากับคอนเซปต์ล้านนากันบ้าง เป็นชุดเสื้อม่อฮ่อม ซึ่งผมก็คุ้นเคยดีแหละ ใส่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่
เสื้อม่อฮ่อมก็คือผ้าฝ้ายย้อมคราม ย้อมหลายครั้งจนเป็นสีน้ำเงินเข้ม นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อและกางเกงสะดอ (คล้ายกับกางเกงเล) เนื้อผ้าฝ้ายจะช่วยให้สวมใส่สบาย ไม่ค่อยร้อนครับ
แคมเปญในช่วงบ่ายของเราคือการอาบน้ำน้องควาย ซึ่งเป็นพระเอกของที่นี่ ตัวนี้ชื่อเท่ ครับ อีกตัวชื่อโทน เป็นควายเผือก
นอกจากนี้ยังมีดาวรุ่งน้องใหม่มาอีก 2 ตัว ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้
เป็นประสบการณ์อาบน้ำควายครั้งแรกในชีวิตที่สนุกและตื่นเต้นดีเหมือนกันครับ มีให้ลองทุกวันช่วงบ่าย สอบถามได้จากทางหน้าฟรอนท์นะครับ
มาเที่ยวบ้านเท่ กับ โทน กันครับ คอกควายจะอยู่ด้านในสุดของรีสอร์ตฝั่งตรงข้ามสระว่ายน้ำครับ เดินจากห้องพักมาจะไม่ไกล แต่ถ้าถือโอกาสเดินออกกำลังกายมาทางสระว่ายน้ำก็พอได้เหงื่อ หรือจะเดินลัดคันนามาก็ได้ครับ
ผมชอบโซนนี้เป็นพิเศษ เพราะค่อนข้างเงียบ ให้อารมณ์เหมือนปลูกบ้านอยู่ท้ายหมู่บ้าน ก็จะไม่ค่อยมีคนมากนัก
ราวห้าโมงเย็นมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งผมสังเกตเห็นจากหน้าต่างห้องพัก เป็นภาพของชาวนาที่เป็นคนงานของรีสอร์ต เดินเรียงแถวกันลัดเลาะตามคันนา เพื่อจะมายังใจกลางรีสอร์ต
มาพร้อมฉิ่ง ฉาบ กลองยาว เมื่อตั้งแถวได้ก็กลายเป็นคอนเสิร์ตย่อยๆ แบบ live show ร้องเพลงให้เราฟัง บรรยากาศคึกครื้นดี มีแขกแต่ละห้องพากันออกมายืนปรบมือตามกันที่ระเบียง
เอาจริงๆ ก็ฟังไม่ค่อยถนัดหูนัก แต่รู้สึกได้ด้วยใจว่ามันเพราะ สนุกสนานและเซอร์ไพรส์มากครับ
ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนที่ทำงานอยู่ที่นี่ ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ครับ เพื่อให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ อีกทั้งยังได้ทำให้รู้สึกว่ารีสอร์ตเป็นส่วนหนึ่งของที่อยู่อาศัยที่อยู่กันมาตังแต่สมัยปู่ย่าตายาย
คนงานในรีสอร์ตจึงปฏิบัติกับเรา ราวกับเจ้าบ้านที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกในทุกเรื่อง ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายตลอดเวลา เพื่อให้เราฐานะแขกของเจ้าบ้านรู้สึกว่า อบอุ่น มีความสุข
ตกเย็นไปนั่งเล่นที่บาร์กัน เป็นส่วนหนึ่งของห้องอาหาร “ข้าว” ครับ
บาร์เทนเดอร์กำลังปรุงเครื่องดื่ม Signature ให้ลอง มี 2 แก้ว คือ Mokcha กับ Gincy เป็นการผสานรสชาตของผลไม้สดเข้าไปในเครื่องดื่มสูตรพิเศษของทางบาร์ครับ
บรรยากาศที่ห้องอาหารข้าว และบาร์ ตกแต่งสวยมาก ชอบโคมไฟและแผงไฟประดับผนังที่ซ่อนไว้ในกระด้งบ้าง ถาดข้าวบ้าง กระติ๊บบ้าง เก๋ดีครับ
จากห้องอาหารข้าว แอบมองไปยังเรือนของตัวเอง พนักงานกำลังจัดเตรียม In Sala Dining ให้ครับ ทานอาหารเย็นในบรรยากาศสบายๆ ที่ศาลาบ้านของตัวเอง
แสงตอนเย็นๆ ที่โฟร์ซีซั่นเชียงใหม่ สวยจับใจจริงๆ ครับ
อ่ะ กลับเข้ามาจิบวอร์มรอในห้องก่อน พร้อมกับมองวิวไปด้วย บรรยากาศแบบนี้ ต้องซักหน่อย!!
ว่าซั่น!!
มุมนี้ถ่ายย้อนจากศาลาด้านนอก ทะลุหน้าต่างบานกระจกเข้ามาครับ สวยดี
มองจากบ้านผม ไปยังบ้านเท่ กับโทน เปิดไฟแล้ว ใกล้ได้เวลาเข้านอน
เป็นบรรยากาศแห่งท้องนา ธรรมชาติที่งดงามในความรู้สึกจริงๆ ครับ
พนักงานที่ห้องอาหารจัดเตรียมบรรยากาศได้สวยงาม ประทับใจมากครับ จัดโต๊ะได้หรูหรา ประดับประดาโดยรอบศาลาด้วยเชิงเทียนอันเล็กๆ ราวกับดาวประดับดิน
บรรยากาศที่ดีย่อมทำให้อาหารมื้อนี้อร่อย และประทับใจเป็นพิเศษครับ
อาหารจัดมาได้หลากหลาย วาไรตี้ และรสชาตดีมาก ตอนเลือกเมนู ผมเน้นอาหารไทยเป็นหลัก เชฟเลยจัดหนักทั้งปลาทอด ผัด ยำ ส้มตำ แกง
รสจะออกแนวฝรั่งทานได้ ไม่ได้จืดแต่ก็ไม่ได้จัดจ้านจนเกินไป เป็นอาหารไทยที่ปรุงได้รสกำลังพอเหมาะ บางจานอาจจะค่อนไปทางติดเค็มปลายลิ้นนิดๆ
แกงเขียวหวานไก่ใส่ยอดมะพร้าว คืออร่อยมากครับ กลมกล่อมหอมเครื่องแกงดีจริงๆ
ของหวานคืออร่อยที่สุด เป็นไอศครีมกะทิโฮมเมดที่เสิร์ฟฟมาในลูกฝรั่งที่คว้านเม็ดออกหมด รสชาตของมะพร้าวกับฝรั่งไปด้วยกันได้ดี
บรรยากาศตอนกลางคืน เมื่อมองออกมาจากนอกบ้าน แสงไฟระยิบระยับในยามค่ำคืน เหมือนบ้านตามชนบทจริงๆ ครับ
ความโฟร์ซีซั่น ความหมอนเยอะ มีความปักโลโก้ให้ดูหรูหราขึ้นอีก
นอนหลับสบายๆ ในบรรยากาศแห่งการพักผ่อนที่แท้ทรู ผมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ มีเวลาเช็คเมลล์ อ่านข่าวสารผ่านทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน เมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มตึงๆ ไปก็มองออกไปทางหน้าตา ช่วยให้ผ่อนคลายได้ดีขึ้น
หัวนอนตกแต่งสวยมากกกกก
เช้านี้ มีความชงกาแฟจากในบ้าน สวมชุดคลุมแล้วมายืนบริเวณชานศาลา เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ซึ่งเป็น Rare Item ที่หาได้ยากสำหรับชีวิตคนเมืองแบบเรา
กลิ่นหอมๆ ของกาแฟร้อน คละเคล้ากับกลิ่นดินจากฝนที่ตกลงมาเมื่อคืน เช้านี้ จึงสดชื่นเป็๋นพิเศษ เป็นของขวัญจากธรรมชาติ
ตอนเช้าเราทานอาหารที่ห้องอาหารข้าว เช่นเคยครับ ห้องอาหารตกแต่งสไตล์ล้านนาร่วมสมัย คล้ายกับบรรยากาศโดยรวมของห้องพักและรีสอร์ต
แบ่งออกเป็น 2 โซนคือในห้องปรับอากาศและด้านนอก ริมสระน้ำซึ่งมีรูปปั้นประดับอยู่
คุณสุดาได้แนะนำให้ผมสั่งเมนู Journey of Wellbeing ซึ่งเน้นธัญพืชเป็นหลัก ผมเลยลองสั่ง Superfood Bolw มาลองทาน มีทั้งมะม่วง อโวคาโด ผักโขมปั่นกับน้ำมะพร้าว โรยด้วยมะพร้าวคั่วกรอบและโกจิเบอรี่
อยากบอกว่าอร่อยมาก จนติดใจ ตอนนี้ต้องเอามาทำเองที่บ้าน ทานในตอนเช้า
สายๆ ไปว่ายน้ำเล่นที่สระใหญ่กันครับ บรรยากาศดีมาก มองไปทางไหนก็สีเขียว
ถ้าอยากรู้ว่าสระว่ายน้ำขนาดใหญ่แค่ไหน ลองเทียบสเกลกับผมซึ่งนั่งอยู่ขอบสระด้านนอกดูสิครับ
ผมกลายเป็นคนตัวเล็กนิดเดียวเอง
หลังจากว่ายน้ำพอให้ได้เหงื่อ ก็ได้เวลาทำสปา ตามที่นัดหมายเอาไว้
พอรถมารับ กลายเป็น GM ที่ขับมาส่งถึงที่สปา ซึ่งจะอยู่ฝั่งใกล้กับทางเรสซิเด้นท์
เป็นสปาที่หรูหรา อลังงานงานสร้าง ตกแต่งเหมือนอยู่วัดทางภาคเหนือ แค่ทางเข้าเราก็รู้สึกได้ถึงความสงบนิ่งในจิตใจ
ชอบโทนสีที่เลือกใช้สีแดงเป็นเบส จากนั้นก็แบ่งออกไปอีกหลายเฉดทั้งแดงเลือดหมู แดงเลือดนก แดงชาด แดงก่ำ แดงหมากสุก ไปจนถึงแดงโกเมน ที่เข้มเกือบไปทางดำ ดูมีความหมายลึกล้ำมาก
ภายในจะประดับภาพเขียนแบบที่เราพบเห็นตามจิตรกรรมฝาผนังในวัดทางภาคเหนือครับ
พี่เล็กเป็นเทอราพิส มือเอกในวันนี้ เห็นตัวบางๆ แบบนี้ แรงดีมากครับ จังหวะกดจี้ปล่อยคลาย ทำได้เป็นธรรมชาติมาก ด้วยความเก๋าประสบการณ์ ซึ่งหากได้ยาก
หลังนวดเสร็จ ก็ไปแช่ในอ่างน้ำที่ผสมอโรม่าเข้าไปเพื่อให้ผ่อนคลายมากขึ้น หอมสดชื่นมากขึ้น
มื้อกลางวัน ยังคงทานที่ห้องอาหารข้าวเช่นเคยครับ ลองสั่งมาทานหลายๆ อย่าง อะไรที่เขาแนะนำ ผมก็สั่งตาม 555 ที่ชอบสุดคือแดงเผ็ดทะเลใส่ลิ้นจี่ อันนี้หอมมาก ส่วนส้มตำไม่ต้องพูดถึง รสชาตจัดจ้านดี เป็น 2 จานที่โดดเด่นเป็นพิเศษครับ
ยังไม่ทันจะย่อยดี ช่วงบ่ายมี Afternoon Tea อีก เพราะที่นี่ขึ้นชื่อมาก ช่วงนี้เป็นเมนูลูกฟิกซ์ครับ สั่งตรงจากสวนออร์แกนิคแถวเชียงใหม่ นำมาทำเป็นขนมได้หลายตัว แต่ผมขอเปลี่ยนจากทานคู่กับชา มาเป็นกาแฟแทน ก็อร่อยเข้ากันได้ดีครับ
#โดยสรุป โฟร์ซีซั่น รีสอร์ต เชียงใหม่ เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่มาพร้อมกับอัครสถานแห่งการพักผ่อนที่แสนประทับใจ
ทั้งในส่วนของคอนเซปต์ดีไซน์ บรรยากาศที่เนรมิตหมู่บ้านล้านนาเอาไว้ที่นี่ ยิ่งเวลาผ่านไปนาน บรรยากาศของสีเขียว แมกไม้ยิ่งโตสูงใหญ่ ให้ร่มเงาและความสดชื่นดี
หากเปรียบโฟร์ซีซั่นเป็นปุถุชน ตลอดระยะเวลาที่เปิดให้บริการมา ที่นี่คงเป็นรีสอร์ตที่ไม่ได้มีแค่อารมณ์ในการให้บริการห้องพัก แต่ยังเต็มไปด้วยเหตุผลในทุกแอคชั่น ว่าทุกอย่างที่เกิด “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” ซึ่งพร้อมผสานเข้ากันและมอบคืนกลับไปยังแขกผู้เข้าพัก ให้ได้รับประสบการณ์อันโดดเด่นจากมนต์เสน่ห์ที่มีมานานกว่า 20 ปี ของโฟร์ซีซั่น รีสอร์ต เชียงใหม่