เชื่อมั้ย #เมืองไทยก็มีเรียวกัง
แถมอยู่ใจกลางกรุงเทพ ตรงแถวสุขุมวิท
ช่วยแก้อาการ #คิดถึงญี่ปุ่น ตอนโควิดได้อยู่นะ 555
กานต์มานอนเล่นที่เรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นแบบออริจินอลเลย ชื่อว่า MAYU Mayubkk.hotel ครับ ที่นี่น่ารักมาก เตรียมชุดยูกาตะให้ใส่ มีพร๊อพให้พร้อมเลย #อยากชวนให้มานอนเล่นถ่ายรูปกัน รับรองว่ารูปที่ได้ออกมา อัพลง IG ต้อง かわいい คาวาอี้ – น่ารักมากแน่นอน
.
กานต์มาลองเปลี่ยนบรรยากาศนอนเล่นที่นี่สักคืน ก็ทำให้นึกไปถึงเรียวกังที่เคยไปนอนบ้าน “จุงโกะ” ซึ่งเป็นเพื่อนผมที่ญี่ปุ่น เธออยู่เมือง ไอสึวากามัตสึ วัฒนธรรมทุกอย่างของที่นี่จะเหมือนที่ญี่ปุ่นโบราณแท้ๆ ฟีลดี มีสีสรรลีลา และ “อาหารเช้าอร่อยมาก” – 大石
เจ้าของ MAYU เป็นคนชอบศิลปวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นเหมือนกันกับผมเลยอ่ะ!! ชอบเดินทางไปทั่วแดนปลาดิบ ไปศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม งานอาร์ต และดีไซน์ จึงกลายมาเป็นโรงแรมสไตล์เรียวกังญี่ปุ่นแท้ๆ อยู่กลางสุขุมวิท ลง BTS ทองหล่อ มาก็ได้ครับ เดินทางง่าย
กานต์จองไว้เป็นห้อง Omeshi Honeymoon Suite เป็นห้องสวีทที่เหมาะกับคู่รัก มีออนเซ็นในตัวสามารถแช่พร้อมกันเป็นคู่ได้เลย โรแมนติกดีนะ ส่วนห้องอื่นก็มีออนเซ็นเป็นถังไม้เล็กๆ เช่นกันครับ ^ ^
ติดกันยังมีสปาชื่อว่า Kashikiri Onsen and Spa-sukhumvit 49 เป็นนวดไทย นวดน้ำมันแต่สไตล์ญี่ปุ่นครับ มีออนเซ็นกลางแจ้งให้แช่เหมือนกัน
แถมย่านสุขุมวิทกลางๆ ยังมีห้างร้าน เป็นลิตเติ้ลแจแปน ชุมชนญี่ปุ่นเล็กๆ ในเมืองไทย ก่อนกลับผมเลยแวะไปช้อปปิ้งที่ห้าง UFM Fuji Super สุขุมวิท49 และซื้อขนมปังญี่ปุ่นเจ้าดังอย่าง Custard Nakamura ชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่นของที่นี่คือสุดยอดแดนอาทิตย์อุทัยแล้วครับ
เข้ามาดูรูปและพูดคุยกันได้ในคอมเม้นท์นะครับ じゃ、またね
Director & Photographer – Kant Jominta
Assistant Photographer – Supawadee Phuripanyasiri
FACEBOOK – KantJournal
INSTAGRAM – KantJournal
YOUTUBE CHANNEL – KantJournal
WEBSITE – www.KantJournal.com
—
นอนเรียวกังทั้งที ต้องมีแช่ออนเซ็นด้วยนะครับ ถึงจะครบสูตร
เหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน
มีสปาเมื่อไร คุณกานต์ต้องไม่พลาดครับ
เข้ามาในรั้วจะเจอบ้านสไตล์ญี่ปุ่น 2 หลัง ตรงนี้จะเป็นบ้านหลังเล็กที่ปิดไว้ คาดว่าจะเปิดเป็นคาเฟ่ในอนาคตเพราะดีไซน์เก๋มาก เดินมาอีก 3 ก้าวจะเจอเรียวกังอยู่ติดกันเลย
ทุกอย่างเหมือนบ้านคนญี่ปุ่นแท้ๆ เลยครับ ประตูเป็นแบบบานเลื่อนไม้ มีมุมภายในด้านหน้าบ้านไว้สวมรองเท้า และจะมีรองเท้าหันหัวไว้ให้พร้อมแบบนี้ คอยให้บริการเสมอ
ส่วนรองเท้าของเราจะเอาเก็บไว้ในตู้ครับ ทุกอย่างดูเนี๊ยบเป๊ะ สไตล์คนญี่ปุ่นเลย
ด้านในจะเรียกว่า ล็อบบี้ก็ได้ จริงๆ ก็คือมุมรับแขก ตกแต่งสไตล์เอโดะ มีข้าวของ ตุ๊กตา ร่ม พัด ประดับประดาเอาไว้
เฟอร์นิเจอร์นั้นวัสดุจากไม้เป็นหลัก และโซนนั่งเสื่อทาทามิ
สวนหน้าบ้านด้านนอก เอาไว้รับแสงอาทิตย์ตอนเช้า มีสวนหินพร้อมมอส (ของจริง) ขึ้นด้วย
ห้อง Omeshi Honeymoon Suite Couple Onsen in Room มีฟูก 2 ชิ้น นอนคู่กันบนเสื่อทาทามิ
ชอบการตกแต่งหัวนอนมาก เหมือนมีต้นไม้ทะลุเข้ามาในห้อง ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติแวดล้อม เก๋ดี
มีขนมพร้อมชามาเสิร์ฟช่วงหัวค่ำ
ห้อง Type นี้ บ่อออนเซ็นจะใหญ่ที่สุดครับ สามารถแช่พร้อมกันได้ 2 คน เพราะเป็นห้องคู่รัก
จากนั้น จะเป็นประตูส่วนตัวที่เปิดออกไปจะเป็นสวนหลังบ้าน สามารถเดินออกมาจากด้านหลังเพื่อเดินเล่นชมสวนได้เลย
ทางเรียวกังจะเตรียมชุดยูกาตะเอาไว้ให้ด้วยครับ มีหลายไซส์ หลายลายให้เราเลือก
มีส่วนหิน ต้นไม้ขนาดเล็กสไตล์ญี่ปุ่น และที่เก๋คือ มีมอสของจริงขึ้นด้วย
ความยากคือมอสจะขึ้นในพื้นที่ชื้น ป่าดงดิบ ดังนั้น พนักงานจะต้องคอยรดน้ำให้ชุ่ม เพื่อให้มอสเติบโตได้
สวนด้านหลังกับแสงช่วงเย็นจะสวยมากครับ
สามารถเปิดประตูด้านหลังมานั่งจิบน้ำชาและชมสวนได้ ในบรรยากาศแบบส่วนตัว
ผมชอบดีไซน์และการจัดสรรฟังก์ชั่นของเรียวกังที่นี่มาก ดูน้อยแต่มาก ตามสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดการใช้สอยสูงสุดในพื้นที่จำกัด
ส่วนงานตกแต่งไม่ต้องพูดถึง งานดีมาก บางชิ้นเป็นของอิมพอร์ต และซื้อสะสมมาจากญี่ปุ่น
มาที่นี่ เราจะมีรูปโปรไฟล์สไตล์ญี่ปุ่น ไว้อัพเยอะเลยครับ
ผมหยิบหนังสือชื่อ “วะบิ ซะบิ” (WABI-SABI) มาอ่านระหว่างเข้าพักด้วยครับ
เป็นหนังสือที่อ่านยาก (ดราม่าก็เยอะ) แต่หากค่อยๆ เปิดไปทีละหน้า ไล่ไปทีละบรรทัด ค่อยๆ ทำความรู้จักและเข้าใจ
ก็จะทำให้สัมผัสความเป็น วะบิ ซะบิ ได้ไม่ยากนักครับ
อาจจะยากที่จะอธิบายว่า วะบิ-ซะบิ คืออะไร เป็นความงามที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ตามกาลเวลา
พยายามเล่าออกมาเป็นประมาณนี้ละกัน
ดอกไม้ที่ประดับไว้บนโต๊ะอาหาร
ออนเซ็นภายในห้องพักครับ อยากลองทำภาพสไตล์ญี่ปุ่นโบราณดู จะได้เหมือนเซ็นโต หรือโรงอาบน้ำสมัยก่อน
ส่วนบางห้องที่เล็กหน่อยจะเป็นออนเซ็นในถังไม้แบบนี้ครับ
การแช่ออนเซ็นตามธรรมเนียมญี่ปุ่น จะต้องถอดเสื้อผ้า เหลือแต่ตัวเปล่า อนุญาตให้มีเพียงผ้าโพกศรีษะผืนเล็กๆ เท่านั้นครับ
บรรยากาศในห้องอาหาร ตกแต่งสวยมาก พยายามเชียร์ให้เปิดขายอาหารทั้งวัน
ตอนนี้ให้บริการเฉพาะอาหารเช้า บุคคลภายนอกก็มาทานได้นะครับ
ชอบมุมนี้มาก แต่ผนังที่ตกแต่งด้วยถ้วยน้ำชาดินเผาสไตล์ญี่ปุ่น
อาหารเช้าจะมาเป็นเซ็ตชุดใหญ่ไคเซกิ ซึ่งจะเป็นการรวมเอาสุดยอดวัตถุดิบในแต่ละฤดูกาลมาปรุงเป็นอาหารให้ทาน ซึ่งมีเยอะมากกกก
เหมือนจะไม่อิ่ม แต่อิ่มเวอร์
เหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ เลยอ่ะ
คนญี่ปุ่นใช้หูฟังเสียงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ และยังฟังเสียงจากความเงียบด้วย การนั่งนิ่งๆ เพื่อให้สดับเสียงต่างๆ ที่เข้ามาจึงเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งของชีวิต
ได้เวลาไปทำสปาที่ Kashikiri Onsen and Spa เหมาะกับเวลาพักผ่อนสั้นๆ ในกรุงเทพแบบนี้ มีธรรมชาติของสวนสวย มีออนเซนให้แช่ผ่อนคลายในบรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆ
แค่นี้ก็โอเคละ
ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นครับ น่ารักมาก
บรรยากาศจะเหมือนเวลาเราไปออนเซ็นจริงๆ ครับ มีห้องแต่งตัวแยกชายหญิงพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ก่อนนวดจะต้องทำการเปลี่ยนชุดยูกาตะก่อนนะครับ
มีอโรม่าให้เลือก 6 กลิ่นด้วยกัน กานต์เลือกกลิ่นส้มจะได้เพิ่มความสดชื่นครับ
ภายในห้องทรีตเม้นท์จะมีออนเซ็นให้แช่สบายๆ ด้านนอกด้วย
ได้เวลาผ่อนคลายครับ นวดจะคล้ายๆ นวดไทยผสมนวดน้ำมัน ผมเน้นคอบ่าไหล่ เป็นหลัก
อีกจุดหนึ่งที่ชอบนวดเป็นพิเศษ คือฝ่าเท้าครับ เป็นศูนย์รวมการกระตุ้นต่อมต่างๆ เพื่อรักษาโรคได้ดี
นวดเสร็จ ก่อนกลับบ้านแวะไปช้อปปิ้งที่ห้างสัญชาติญี่ปุ่นหน่อยครับ อยู่ใกล้กัน สามารถเดินหรือขับรถมาจอดได้
กาแฟหมดพอดี ผมชอบทานกาแฟญี่ปุ่นครับ รสชาติจะละมุนกว่า
แวะไปซอยสุขุมวิท 33/1 แจแปนนิส ทาวน์ มีร้านขนมชื่อดังอย่าง คัสตาร์ดนากามูระ สั่งชีสเค้กกลับบ้าน เพิ่มบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นแบบฟินๆ กันต่อที่บ้าน