#สระบัว ร้านอาหาร Fine Dining ระดับมิชลินสตาร์
ที่น่าชวนแฟนมาทานมากที่สุดในเวลานี้
พูดจริงๆ นะ ถ้าผมมีแฟนจะพามาขอแต่งงานที่นี่แหละ
ว่าแล้วก็เขิลวุ้ย
SRA BUA by Kiin Kiin โรงแรม Siam Kempinski Hotel Bangkok
เป็นห้องอาหารที่สวยมาก หรูหราสมชื่อชั้นรางวัลมิชลินสตาร์
ช่วยเสริมบรรยากาศของอาหารมื้อนี้ให้พิเศษมากขึ้น
เหมาะกับวันพิเศษเลยนะ ผมว่า …
ด้วยสีสัน บรรยากาศเอย รสชาติอาหาร เรื่องราวที่แทรกในแต่ละจาน
ล้วนตกผลึกมาจากประสบการณ์การเดินทางมาแล้วทั่วโลก
ของเชฟ Henrik เชฟชาวเดนมาร์ก
ผู้ที่ท้ายที่สุดก็ตกหลุมรักในเสน่ห์อาหารไทยอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เชฟนำอาหารไทยมาตีความ และเล่าเรื่องแบบใหม่ครับ
ใส่เทคนิคการปรุงอาหารแบบล้ำสมัยจากทั่วโลกเข้าไป
แต่เชื่อไหมว่า ออกมาแล้วรสชาติยังคงเป็นอาหารไทยตำรับแท้
แต่เรื่องหน้าตา … ต้องบอกเลยว่า … หืม ใช่เหรอ!!
“แกงแดง” จะไม่ได้มาในชาม มีน้ำแกงฉ่ำๆ อีกต่อไป
ในส่วนของอาหารนั้น “เซอร์ไพรส์กานต์ในทุกจาน” ครับ
ตั้งแต่สแนคเรียกน้ำย่อยทานกันเล่นๆ ที่เล้าจน์
จนไปถึงอาหาร 8 คอร์สที่จับเข้าคู่กับไวน์ได้เป็นอย่างดี
ก่อนจะไปจบที่ Petite Four ซึ่งสนุกมาก!!
เชฟให้เราค้นหาขนม 4 อย่างที่ซ่อนอยู่ในของเล่น
เป็นจุดเด่นที่ปิดท้ายมื้ออาหารที่น่าประทับใจ
ใครหยิบพริกผิดเม็ดนี่ … น้ำตาเล็ดเลยนะครับ 555
จานอาหารทั้งหมดนี้รวมกัน กลายเป็น The Journey Set
การเดินทางของอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเวลานี้
เข้าไปเริ่มทานตอน 6 โมงเย็น เงยหน้ามาอีกทีเที่ยงคืน ไม่รู้ตัว
#ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
กานต์จะค่อยๆ เขียนเล่าไปในแคปชั่นของแต่ละรูปนะครับ
อยากให้เปิดอ่านแล้วละเลียดบรรยากาศแต่ละจานไปด้วยกัน
ตอนนี้ ห้องอาหารสระบัว ฉลองการกลับมาเปิดอีกครั้งหลังโควิด
ด้วยเมนูระดับ iconic ตลอด 10 ปี มีมาให้ทานแบบรวบยอด
เปิดเฉพาะศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แถมคิดราคาโปรโมชั่นพิเศษ
จองผ่าน Line @siamkempinskihotel ได้เลยครับ
#SIAMKEMPINSKI#KEMPINSKI#SRABUA
Director & Photographer – Kant Jominta
Assistant Photographer – Tanyarat Saisud
FACEBOOK – KantJournal
INSTAGRAM – KantJournal
YOUTUBE CHANNEL – KantJournal
WEBSITE – www.KantJournal.com
—
บรรยากาศของห้องอาหารสระบัว บาย กิน กิน ดีมากๆ เลยครับ โดยเฉพาะใครที่เชิญแขก VIP ต่างชาติมาทาน น่าจะชอบโต๊ะแบบ Thai Pavilion เป็นศาลาไทยทรงสูงที่รายล้อมด้วยสระบัวสมชื่อห้องอาหาร
แค่บรรยากาศ การออกแบบตกแต่งภายใน ก็โดดเด่นมากแล้วครับ
ถ้าไม่บอกคงเดาไม่ออกว่านี่คือ “แกงแดง”
ในรูปแบบใหม่ซึ่งเป็น Signature Dish ของที่นี่
ชื่อว่า Frozen Red Curry with Lobster Salad
รสชาติจัดจ้าน หอมเครื่องพริกแกงมากครับ
ที่นี่จะมีการจับคู่เครื่องดื่ม ให้เข้ากับอาหารในแต่ละจาน ส่วนมากจะเป็นไวน์ที่มีรสสัมผัสโดดเด่นแตกต่างกันออกไป
เมื่อนำมาเข้าคู่รวมกับอาหาร จะเสริมอรรถรสให้จานนั้นอร่อยมากขึ้นไปอีก
8 คอร์ส 7 แก้ว … มึนเลยเรา
สระบัว บาย กิน กิน เป็นห้องอาหารไทยร่วมสมัยที่ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์น มีการนำวัสดุแบบไทยอย่างไม้มาเป็นหลัก นำผ้าไหมลวดลายแบบเรียบหรูมาบุเป็นเบาะนั่ง ช่วยสร้างสไตล์การตกแต่งร้านที่เติมเต็มความเป็นไทยร่วมสมัยไว้ในทุกจุด งดงามมากครับ
ด้านในเป็นศาลาไทย ซึ่งเป็นที่นั่งในมุมสุดพิเศษ อาจจะต้องจองไว้ก่อนล่วงหน้า แต่รับรองว่า บรรยากาศคือมีระดับมากขึ้น
ที่นั่งถูกจัดวางไว้โดยเป็นไปตามข้อบังคับเรื่องการรักษาระยะห่าง ยิ่งทำให้เราได้รับความเป็นส่วนมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ที่โดดเด่นคือ “สระบัว” ที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งอยู่กลางร้าน ช่วยให้เราผ่อนคลายไปพร้อมความสวยงามของการออกแบบ เสริมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวที่ลอยมาปะทะจมูกเมื่อเดินเข้ามา
ก่อนที่บริกรจะเชิญเราไปนั่งที่เล้าจน์ก่อนครับ
เมื่อมาถึงบริกรจะเชิญเราไปนั่งที่เล้าจน์ เพื่อปรับบรรยากาศก่อนการรับประทาน จะเริ่มจาก Welcome Refreshment เป็นน้ำตะไคร้ ใบเตยที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย
จากนั้น การเดินทางในมื้ออาหารจะเริ่มต้น จากการรับประทานสแน็คที่เล้าจน์ครับ เชฟนำเครื่องดื่มเป็น Orange Splash มาให้ลองชิม รสชาติหอมสดชื่นดี เปิดรสสัมผัสในปากได้ดีครับ
สแน็คจานแรกเป็น ขนมเมอแรงค์ซีอิ๊ว ออนท๊อปด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์รสหวาน ทานคู่กับซอสวาซาบิโยเกิร์ต อร่อยมาก ส่วนในถุง จะเป็นข้าวรสต้มข่าไก่ เป็นเหมือนอาหารนักบินอวกาศ ที่เรียกว่า Astronaut Bag สามารถทานได้ทั้งถุงเลยครับ
จานนี้เป็น “ไก่สะเต๊ะ” จากปกติจะมาเป็นไม้เสียบทานคู่กับอาจาด แต่เชฟทวิสปรับให้ตัวซอสอาจาดเป็นแบบไอศกรีมท๊อปด้านบน ด้านล่างเป็นเท๊กเจอร์เหมือนหนังไก่บางกรอบ
อีกคำเป็น พลอยปทุม คล้ายๆ ซาลาเปาด้านในเป็นไส้หมู ได้แรงบันดาลใจมาจากม้าฮ่อ คือมีหมู มีสัปปะรด ซึ่งเป็นวัตถุดิบแบบไทย ตัวไส้จะมีรากผักชี หมู พริกไทย ห่อไส้ในแป้งพัฟเพรสตรี้ ท๊อปด้วยสัปปะรดกวน
สแน็คจานต่อมาผมชอบวิธีการพรีเซนเทชั่น เล่นใหญ่ไฟกระพริบมาก จัดเสิร์ฟมาในครอบแก้วใส ที่สโมคกลิ่นหอมอ่อนๆ เอาไว้ แต่คุณปอร์เช่ ซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านอาหารเล่าว่า เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากตอนนั่งตุ๊กๆ แล้วได้กลิ่นควันท่อไอเสีย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทย 555
ร้ายไม่ใช่เล่นเลยครับ แต่มันก็คือความจริงอย่างที่เชฟเขาเข้าใจ
เอาละถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไร … ต้องเปิดดูรูปต่อไปครับ
เฉลยยยย มันคือไส้อั่วครับ นำไปย่างจนหอมมาก จากนั้นนำมาสโมคอีกรอบ จะได้กลิ่นกาบมะพร้าวหอมๆ ทานคู่กับน้ำพริกหนุ่มและแคปหมู
สงสัยจานนี้ เชฟจะได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางไปเชียงใหม่แน่ๆ
จานนี้สวยมาก เป็นทาร์ทาร์ทูน่า ปรุงมาในรสกะทิกับตะไคร้แบบไทยๆ เสิร์ฟมาในดอกบัว
“เมี่ยงคำ” ที่เชฟผู้ช่วย มาปรุงให้ทานกันสดๆ ครับ เครื่องเมี่ยงคำเยอะมาก แต่ที่เด็ดสุดคือต้องยกให้น้ำเมี่ยงคำครับ รสชาติเป็นเอกลักษณ์แต่กลมกล่อมมาก ชอบจานนี้ที่สุด
เมื่อทานสแน็คจบ (ซึ่งก็ใกล้จะอิ่มแล้ว) บริกรจะเชิญเราไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งจะเริ่มเข้าสู่การเดินทางของอาหารจานหลัก มีด้วยกัน 8 คอร์ส
จานแรกเป็นต้มยำกุ้ง … ซึ่งครั้งแรกที่เห็นจะงงว่า “ไหนอ่ะ ต้มยำ” เห็นแต่ข้าวเกรียบกุ้ง หน้าซาชิมิ และขนมปังหน้ากุ้งหอมน้ำมันงามาก
เครื่องต้มยำจะอยู่ในหลอดไซฟ่อน ใช้ความร้อน กลั่นน้ำซุปที่ผสมเครื่องเทศเอาไว้ ให้ค่อยๆ ร้อน รสชาติคือหอมและได้รสเครื่องต้มยำแบบสดๆ
จากนั้น บริกรจะนำต้มยำมาเทใส่ในชามของเรา ให้เรานำหลอดฉีดยา ซึ่งด้านในเป็นเต้าหู้ขาว มาฉีดใส่ลงไปในชาม จะหน้าตาคล้ายมาม่าต้มยำกุ้ง ไอเดีย เก๋ดีครับ
ที่นี่จะมีการจับคู่ไวน์กับจานอาหารด้วยนะครับ อย่างจานแรกที่เราทานคือต้มยำ จะจับคู่กับไวท์ ไวน์ REFLEXION Gruner Veltliner ปี 2017 จากออสเตรีย
อาหาร 8 คอร์ส จะ Pairing กับเครื่องดื่ม 7 ตัวด้วยกัน
จานต่อมา จะมีโชว์เคสคือปรุงน้ำยำกับกันสดๆ เลยครับ เครื่องปรุงน้ำยำประกอบด้วย กระเทียม พริกขี้หนู น้ำเสาวรส น้ำส้มยุซุ น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลาแท้ ตำให้เข้ากัน
สลัดแตงกวาญี่ปุ่น ม้วนทำเป็นสลัดคู่กับแอปเปิ้ลผักชีและใบมิ้นท์ ราดด้วยน้ำยำที่ปรุงกันสดๆ โปรตีนจะเป็นปลากะพง ทอดทั้งเกล็ดและหนังปลา เชฟตั้งใจทอดให้เกล็ดปลาตั้งขึ้นมาเหมือนหลังไดโนเสาร์ ซึ่งต้องค่อยๆ ทอด ราดน้ำมันลงไปเรื่อยๆ สามารถทานได้ทั้งชิ้น
จานนี้ ทานคู่กับ ไวท์ไวน์ที่ให้กลิ่นของกรีนฟรุ๊ต คล้ายแอปเปิ้ลเขียว จะได้เข้ากันดีกับจานที่มีผลไม้สีเขียว รสชาติไวน์จะติดหวานนิดหน่อย หอมอร่อยดีครับ
“แกงเหลืองปู” ทานกับใบชะพลูทอดกรอบ เป็นเมนูใหม่ของเชฟเบิ้ม ชยวีร์ ซีเนียร์ Head Chef ของที่นี่ ได้แรงบันดาลใจมาจานน้ำยาปู เพราะเชฟเป็นคนระนอง เลยอยากลองนำเสนออาหารใต้สไตล์ใหม่ ทานคู่กับซอสข้าวโพดพิวเร่ หวานหอม ครีมมี่ มีรสเผ็ดติดปลายลิ้นนิดๆ อร่อยมาก
แกงแดงกับล็อปสเตอร์ เป็น Signature ของที่นี่ ซึ่งวิธีการนำเสนอเก๋มาก เชฟจะใส่ไนโตรเจนเหลวลงไปที่ก้นภาชนะเพื่อรักษาความเย็นของไอศครีมแกงแดงให้คงที่
แกงแดงจะเสิร์ฟมาในรูปแบบของไอศครีม พร้อมโฟมลิ้นจี่ เพื่อตัดความเลี่ยน เราจะทานไอศครีมคู่ไปกับล็อบสเตอร์ น้ำแกงรสชาติดีเข้มข้น แต่ไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป รสชาติเข้ากันได้ดีทั้งหมดทั้งมวล
ตับห่านซอสพลัมไวน์ เสิร์ฟพร้อมเหล้าบ๊วย
เนื้อวากิว นำไปซูวีด้วยอุณหภูมิ 62 องศา เป็นเวลา 48 ชั่วโมง จากนั้นจะนำไปเซียร์ ทำให้เนื้อจะนุ่มและหอมมาก ทานคู่กับซอสพิวเรจากถั่วแระญี่ปุ่น และขิงดอง ส่วนซอสหอยนางรมสด ห้องอาหารต้องจ้างเชฟมา 1 คนพิเศษ เพื่อทำให้หน้าที่แกะหอยนางรมและเคี่ยวกับกับกระชาย กระเทียม พริกไทยอ่อน เป็นเวลา 1 วันเต็มๆ ซึ่งต้องคอนโทรลหม้อเคี่ยวตลอดเวลามิเช่นนั้น ซอสหอยนางรมจะไหม้ได้ และก็ไม่ผิดหวังเพราะแค่ทานซอสกับข้าวหอมมะลิก็อร่อยแล้ว
Banana Cake, Salted Ice Cream and Caramelised Milk เป็นเค้กกล้วยหอมสดทานคู่กับไอศกรีมนมสุดพิเศษที่มีความหอมของเนย นม และคาราเมลที่หวานกำลังดี เพิ่มรสสัมผัสในการรับประทานด้วยมะพร้าวและอัลมอนด์สไลซ์เคลือบน้ำตาลและซอสคาราเมล
Mango Sticky Rice เชฟจัดการแปลงโฉมข้าวเหนียวมะม่วงที่เราคุ้นเคย มาเสิร์ฟโดยการราดซอสกะทิลงบนขนมสายไหม ถึงจะไปเจอข้าวเหนียวมะม่วงด้านล่าง
จานนี้อร่อยมาก
จบจากคอร์สอาหาร จะเป็นรายการของ Petite Four ซึ่งมาในรูปแบบของเล่น 4 ชนิด คือโป๊ยกั๊ก อบเชย พริก และตัวต่อ ซึ่งจะมีช็อคโกแล็ต รูปทรงนั้นๆ ซ่อนปะปนไว้ให้เราค้นหา
อย่างพริกแดง ก็ต้องเดาว่า “เม็ดไหน” ซึ่งเหมือนกันไปหมด เรียกได้ว่า ถ้าทายไม่ถูก หยิบไปแล้วใส่เข้าปากเลย คงมีเผ็ดน้ำตาไหลกันบ้าง 555
ดีนะที่ผมหยิบได้ถูกหมดเลย เป็นกิมมิคปิดท้ายมืออาหารที่สนุกดีครับ จบการเดินทางด้วยความสุข
#โดยสรุป สระบัว บาย กิน กิน คุ้มไหม … ผมว่าคุ้มมาก กับไอเดียที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง เป็นการรับประทานอาหารไทยแนวใหม่ที่อร่อย สร้างสรรค์และสนุก เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ประทับใจมาก อยากให้มาลองกัน เดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ยังคงเป็นเมนู Iconic อยู่ ควรรีบมา
จากนั้น จะเปลี่ยนเมนูใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งผมก็คงต้องไปทานอีกครั้ง
เซตเมนูไอคอนนิค มีดังนี้
•เซตเมนูมื้อกลางวัน 4 คอร์ส ราคา 1,850++ บาท/ท่าน •เซตเมนูมื้อค่ำ 8 คอร์ส ราคา 3,200++บาท/ท่าน
และยังมีเซตพิเศษเมนู 6 คอร์ส ราคา 2,600++บาท/ท่าน ทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำไว้เป็นทางเลือก
และตัวเลือกแพ็คเกจไวน์ แพริ่ง (wine pairings) จับคู่กับอาหารเพิ่มเติมในทุกเซตเมนู
•เมนู 4 คอร์ส ราคา 1,200++บาท
•เมนู 6 คอร์ส ราคา 1,800++บาท
และเซตเมนู 8 คอร์ส ราคา 2,300++บาท