Park Hyatt Bangkok

#รีวิวเต็มรูปแบบครั้งแรก ที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้

กานต์เขียนรีวิวโรงแรม Park Hyatt Bangkok แยกเพลินจิต

บนที่ดินสถานฑูตอังกฤษเดิม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า

เป็นการซื้อขายที่ดินที่แพงที่สุดประเทศไทย‼️

ตัวอาคารของ CENTRAL EMBASSY ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม

ออกแบบเป็นสัญลักษณ์ “อนันต์” หรือ Infinity ∞

สะท้อนถึงการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุดหยุดนิ่ง

เหมือนการดึงเอาเชนดังระดับโลกอย่าง Park Hyatt มาบริหาร

เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวเท่านั้นในประเทศไทย

ในสโลแกน “Luxury is Personal” – ความหรูหราที่เป็นส่วนตัว

อย่าแปลกใจถ้าดีไซน์จะคล้ายกับ Park Hyatt ที่ New York

เพราะใช้บริษัท Yabu Pushelberg เดียวกันมาออกแบบครับ

เน้นความเรียบ หรู โก้ของไลฟ์สไตล​์และการใช้ชีวิต

ผมเคยอ่านสัมภาษณ์ของ Rina Mallick

เป็น Creative Director ของแบรนด์ Hyatt โฉมใหม่ ว่า

อยากจะใช้ภาพไลฟ์สไตล์ที่เป็นขาวดำ คอนทราสต์จัดๆ

เพื่อสร้างความรู้สึกเหมือนนิตยสารแฟชั่นที่ดูมีมนต์เสน่ห์

เน้นการใช้แสงที่ให้อารมณ์ของภาพในการสื่อสาร

เพื่อประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก

ซึ่งเมื่อมาถึงก็ได้รับความเป็นส่วนตัวจริงๆ ครับ

พนักงานของที่นี่จะมีความเชิดอยู่นิดๆ ตามคาแรกเตอร์

เธอพาผมไปที่ห้องเบอร์ 2712 เป็น Executive Suite

วิวดีเชียวแหละครับ มองเห็นกรุงเทพมหานครในมุมที่แปลกตาไป

ออกแบบให้มีความเป็นโมเดิร์นไทย ดูเก๋ดีครับ

หน้าห้องจะมี Powder Room ห้องน้ำขนาดเล็กสำหรับแขก

ถัดไปด้านในจะเป็นห้องรับแขก มี Pastry ชิ้นเล็กๆ วางต้อนรับ

อีกด้านจะเป็นโต๊ะทำงาน และมุมเอนเตอร์เทน

เดินผ่านเข้าไปจะเป็นห้องแต่งตัวแบบ Walk in Closet

ด้านในสุดจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำ ตามสไตล์ห้องพักผู้บริหาร

ที่มักจะออกแบบมาให้เป็นห้องแนวลึกเพื่อความเป็นส่วนตัว

ตามคอนเซปต์ “Livable Luxury” ครับ ไม่ธรรมดาจริงๆ

พร้อมกันนี้จะพาเดินสำรวจทุกซอกมุมแบบ Exclusive

โดยเฉพาะไฮไลท์อย่าง “Pagoda Mirage” สีทองแดงวิบวับ

งาน Art Decorate ระดับ Master ของศิลปินชาวญี่ปุ่น Hirotoshi Sawada

ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยมากครับ (ใครมางานแต่งที่นี่บ่อยๆ คงเคยเห็น)

สระว่ายน้ำที่นี่ก็วิวสวย เป็นสระแบบอินฟินิตี้ยาว 40 เมตร

ทอดขนานไปกับเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ เมืองอมร

เป็นทัศนียภาพที่งดงาม แปลกตา หาชมได้ยาก

หากไม่ได้เข้าพักในโรงแรมใจกลางกรุงเช่นนี้

กานต์เก็บภาพมาฝากกันเช่นเคยครับ

อยากให้ค่อยๆ เปิดไปอ่านแคปชั่นของรูปทุกรูป

ที่ผมได้เขียนเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของโรงแรมนี้

โรงแรมหรูระดับ Top Tier ของ World of Hyatt

ยอมรับเลยว่าเป็นโรงแรมที่งามจับจิต ถูกจริตคุณกานต์จริงๆ ครับ

อยากให้เข้าไปอ่าน กดไลค์และแชร์กัน

เพราะเรื่องราวของ Park Hyatt Bangkok นั้น

น่าจะเรียกว่าเป็น “อีกหนึ่งตำนานของวงการโรงแรมไทย”

#PARKHYATT#HYATT#PARKHYATTBANGKOK#WORLDOFHYATT#IHG

Director & Photographer – Kant Jominta

Assistant Photographer – Supawadee Phuripanyasiri

FACEBOOK – KantJournal

INSTAGRAM – KantJournal

YOUTUBE CHANNEL – KantJournal

WEBSITE – www.KantJournal.com

Park Hyatt เป็นโรงแรมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของงานศิลปะครับ เพราะถือเป็นสิ่งที่อยู่ภายในประสบการณ์ ดังนั้น ทุกแห่งของ Park Hyatt จะมีงานอาร์ตระดับมาสเตอร์ ประดับอยู่

อย่างของโรงแรมพาร์คไฮแอท กรุงเทพฯ สร้างสรรค์โดย ฮิโรโตชิ ซาวาดะ (Hirotoshi Sawada) ศิลปินชาวญี่ปุ่น “Pagoda Mirage” ประกอบไปด้วยทองแดงขนาดเล็กรูปกรวยหมุนวนนับหมื่นๆ ชิ้น แขวนลอยเพื่อให้เกิดเงาสะท้อนของเจดีย์บนน้ำ งดงามมากครับ

เป็นอีกจุดถ่ายรูปที่สวยและนิยมกันมาก

โรงแรมอยู่ในอาคาร Centrel Embassy ชั้น 9 ถึงชั้น 36 มีห้องพักและห้องสวีททั้งหมด 222 ห้อง 3 ชั้นบนสุดจะเป็นร้านอาหารและบาร์ชื่อว่า Penthouse Bar & Grill

สระว่ายน้ำคืออีกมุมถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ครับ สวยงามมาก กับการได้สัมผัสกรุงเทพมหานคร ด้วยตาเปล่าในมุมมองใหม่ อยากชวนมาถ่ายรูปกันเยอะๆ เพราะสวยจริงๆ อารมณ์เหมือนกับอยู่นิวยอร์กก็มิปาน

เค้าท์เตอร์ต้อนรับบริเวณชั้น 10 ตกแต่งแบบเรียบหรู เน้นวัสดุสีทอง ทองแดงและไม้ ประดับด้วยดอกไม้สดและภาพเขียนดอกไม้ที่มีความแอปสแตรกนิดๆ อยู่ทั่วโรงแรม

ด้านในล้อบบี้มีมุมให้นั่งพักชมวิว บริเวณนี้จะประดับด้วยงานศิลปะดีไซน์เก๋ ราวกับมาเยี่ยมชมแกลอรี่ที่มีชีวิต

เป็นคีย์การ์ดที่เรียบหรูมากครับ สีดำขลิบทอง สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ชัดเจนดี

ห้องที่พักคือ 2712 ชั้น 27 ค่อนข้างสูงดี ชอบครับ เป็นห้องระดับ Executive Suite

โถงลิฟต์สวยมาก การจัดไลท์ติ้งทำได้ดีเลยครับ เวลามาจับคู่กับสัตจะวัสดุอย่างไม้ ขลิบด้วยขอบอลูมิเนียมสีทอง และกระจกดำ ทำให้รู้สึกถึงความหรูหรา ทว่าเรียบง่าย มีระดับ

เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเจอส่วนหน้าที่เป็น Powder Room ห้องน้ำขนาดเล็กสำหรับแขก ถัดมาจะเป็น เค้าท์เตอร์บาร์เล็กๆ สำหรับจัดวางมินิบาร์ ชา กาแฟ ที่นี่จะมีผลไม้อบแห้งเป็น Complimentary สำหรับแขกด้วยครับ เครื่องชงกาแฟเป็นแบบแคปซูล น้ำเปล่า น้ำแข็งขอได้ตลอดเวลา

ห้องพักระดับ Park Executive Suite จะมีขนาด 93-109 ตารางเมตร แตกต่างกันไปในแต่ละทำเลห้องครับ แต่แพทเทิร์นการจัดวางเลย์เอ้าท์จะคล้ายๆ กัน คือห้องโถง จะเป็น Living Corner ที่มีโซฟาขนาดใหญ่ พร้อมโต๊ะกลาง สวยเก๋

มี Welcome Snack เป็นช็อคโกแล็ตถั่ว อร่อยดีครับ ค่อนไปทางหวาน อาจจะต้องเดินไปชงกาแฟมาทานคู่เพื่อเพิ่มความอร่อย

ถัดจาก Living จะเป็นโต๊ะทำงานอเนกประสงค์ครับ สามารถปรับเป็นโต๊ะรับประทานอาหารได้ด้วย

ผมชอบดีไซน์ความโค้งมนของผนัง ที่ทำให้ห้องไม่รู้สึกทึบตัน สร้างความสบายใจในเวลาเข้าพักครับ

ห้องพักของกานต์จะหันหน้าออกไปทางถนนเพชรบุรี ครับ มองเห็นความเคลื่อนไหวในแถบเพลินจิต ชิดลมได้เกือบทั้งหมด

ทำเลนี้ ถือว่ามีความร้อนแรงมาก เพราะในอนาคตจะมีโรงแรมระดับ Ultra Luxury มาเปิดด้วย

ถัดไปเป็นมุมแต่งตัวแบบ Walk in Closet ที่จัดวางเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ

พนักงานบรรจงแขวนสูทของกานต์เอาไว้บนราวอย่างเรียบร้อย เพื่อความสมบูรณ์แบบในการเดินทางเพื่อการเจรจาธุรกิจ

ห้องนอนสวยมากครับ โทนสีไปในทางอบอุ่น ด้วยวัสดุที่เน้นไม้ ให้ความรู้สึกสบายมากๆ อยากนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ไม่อยากทำแล้วงานการต่างๆ

ตื่นมาตอนเช้าได้วิวของกรุงเทพที่สวยงาม

ช่วงเย็น แม่บ้านจะมาเทิร์นดาวน์ให้ตามมาตรฐานของโรงแรม 5 ดาวทั่วไป พร้อมกับจัดวางน้ำดื่ม เตรียมไว้บริเวณหัวเตียง

ห้องน้ำสวยดีมีความคุมโทนสีเบจอ่อนๆ มีกระจกบานคู่พร้อมอ่างล้างหน้าแยกกันแบบ His & Her ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นอ่างอาบน้ำ ที่เชื่อมต่อทีวีจอเล็กเอาไว้ได้ สามารถใช้เวลาผ่อนคลายไปกับตัวเองได้อย่างสบายใจ

ถัดไปด้านในเป็น Shower ที่มี Amenities ในห้องน้ำ เป็น Le Labo “Bergamote 22” ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับโรงแรมพาร์คไฮแอท กรุงเทพฯ

ลงไปสำรวจบริเวณโดยรอบโรงแรมบ้าง จะมีการจัดวางานศิลปะไว้ทั่วทั้งโรงแรม

อย่างชิ้นนี้จะอยู่ที่บริเวณโถงตอนรับชั้นหนึ่งเลยครับ เป็นลักษณะของเกลียวบันไดสีทองแดงที่สื่อสารเชื่อมต่อไปยังบันไดวนชั้นบนบริเวณทางขึ้นห้องบอลรูม

งานศิลปะถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกันอย่างไม่ตั้งใจ แต่เป็นการสื่อสารอัตลักษณ์ของโรงแรมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ดี

บันไดวนเป็นเกลียว ที่ประดับด้วยผลงานศิลปะที่โดดเด่น “Pagoda Mirage” โดยศิลปินชาวญี่ปุ่น Hirotoshi Sawada ซึ่งมีผลงานปรากฏอยู่ในหลายพร๊อพเพอร์ตี้ที่โดดเด่น เช่น Four Seasons New York, Mandarin Oriental Tokyo และ St Regis Miami

สำหรับที่ Park Hyatt Bangkok จะเป็นการนำเอาแผ่นทองแดงรูปกรวยหลายพันหลายหมื่นแผ่น ไปแขวนอยู่เหนือบันไดวนขนาดใหญ่ที่ทอดลงมาจากโถงทางเข้าชั้นหนึ่งไปยังห้องบอลรูม เป็นการบอกเล่าความหมายของภาพสะท้อนของเจดีย์บนผืนน้ำ ที่สื่อสารถึงความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย อันเป็นที่ตั้งของโรงแรม

ด้านนอก ถูกออกแบบให้มีความเป็นศิลปะแบบไม่สมมาตรเช่นกัน เป็นความเคลื่อนไหวแบบอิสระหรือว่าฟรีฟอร์ม

ส่วนมุมนี้ กานต์ชอบมากครับ เป็นโถงบันไดลงจากชั้น 10 ซึ่งเป็น Lobby เพื่อมายังชั้น 9 ที่เป็นห้องอาหารและสระว่ายน้ำ เป็นภาพที่ชอบมากให้ความรู้สึกอลังแต่ยังอะโลน … เหมือนชีวิตจริง 555 เศร้า

ลงไปทาน Afternoon Tea กันครับ ที่ Living Room เลานจ์สุดหรูบริเวณชั้น 9 ถือเป็นอาฟเตอร์นูนที ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

ขนมจะถูกจัดวางมาอย่างสวยงาม ชิ้นไม่ใหญ่มาก พอดีคำ พร้อมสโคนที่มีเนยครีมและแยมแบบโฮมเมด เสิร์ฟพร้อม Mariage Frères ชา จากฝรั่งเศส

ส่วนไฮไลท์คือ โถแก้วขนาดเล็กที่จัดวางขนมหรืออาหารว่างมาแบบพอดี ด้านล่างจะมีน้ำแข็งแห้ง จากนั้นพนักงานจะรินน้ำใส่โถกลางถาดที่บรรจุน้ำแข็งแห้ง ทำให้มีควันพวยพุ่งออกมา กลายเป็นลูกเล่นเก๋ๆ ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเซ็ตน้ำชายามบ่ายนี้ได้เป็นอย่างดี 

ชอบสโคน ของ อร่อยมากครับมีความร่วนและกรอบแบบพอดี แต่เนื้อด้านในยังนุ่มชุ่มเนย ทานสโคนหมดทั้ง 4 ลูกเลยครับ แหะๆ

Living Room เลานจ์ประจำโรงแรม มีไฮไลท์ในการตกแต่งที่โดดเด่น เป็นงานศิลปะที่ชื่อว่า “นาคา” (Naga) โดยศิลปินชาวญี่ปุ่น ฮิโรโตชิ ซาสาดะ คนเดิม จะมีลักษณะเป็นชุดกระบองที่ห้อยลงมาจากเพดานขดไปมา ราวกับพญานาคในตำนาน ที่กำลังเดินทางข้ามระหว่างสระน้ำและน้ำตกภายใน Living Room

ซิกเนเจอร์ อาฟเตอร์นูนที ให้บริการทุกวัน เวลา 14.00-17.00 น.

ราคา 850++บาท ต่อทาน และ 1,600++บาท สำหรับ 2 ท่าน

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 66 2 012 1234

อีกจุดหนึ่งที่สวยคือ The Bar ครับ เป็นบาร์ที่สวยมากอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เหมาะแก่การมานั่งชิลล์ๆ

เมื่อก่อนจะเปิดช่วงบ่ายไปจนถึงดึก เดี๋ยวนี้เปิดตั้งแต่กลางวัน สามารถมาทานกาแฟ เบอร์ร์เกอร์ ได้ที่นี่เช่นกันครับ บรรยากาศดีมาก

ห้องนี้คือ The Apartment ครับ อยู่ใกล้กับบอลรูม เป็นความพิเศษ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้สำหรับการจัดงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัว กันเองแต่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เพราะด้วยการตกแต่งที่ Cozy โดยมีทีมงานมืออาชีพคอยอำนวยความสะดวกในทุกเรื่องครับ

ส่วนตัวผมชอบห้องนี้ครับ เป็นเหมือน Library ขนาดย่อม สามารถมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ หรือคุยธุรกิจกันได้ในบรรยากาศสบายๆ มีหนังสือน่าอ่านหลายเล่มเลยครับ

ขึ้นไปชั้น 11 กันบ้างครับ เป็นที่ตั้งของสปา PAÑPURI เคยรีวิวเอาไว้แล้วแบบเต็มๆ อ่านได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/286042824270/posts/10159327619904271/

ตอนช่วงเย็น เป็นเวลาที่เหมาะแก่การไปถ่ายรูปที่สระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นแลนด์สเปคที่สวยมาก สระว่ายน้ำอยู่ที่ชั้น 9

เราจะเห็นหมู่ตึกน้อยใหญ่ในย่านเพลินจิต สุขุมวิท ชิดลม เป็นทัศนียภาพที่น่าชมมากครับ

ตอนค่ำ จองโต๊ะไว้ที่ Penthouse Bar + Grill ซึ่งเหมา 3 ชั้นบนสุดของโรงแรมเอาไว้ ตกแต่งในสไตล์บาร์สไตล์อเมริกันในช่วงทศวรรษที่ 1920 ออกแนววินเทจนิดๆ บริหารงานโดยเชฟ Franck Detrait

มีไลฟ์สเตชั่นคุกกิ้ง ปรุงอาหารสดๆ ให้เราได้ทานกัน เน้นการใช้วัตถุดิบที่นำเข้าและผลิตในท้องถิ่นที่มีคุณภาพ

ห้องอาหารตกแต่งแบบเรียบหรู แวดล้อมด้วยกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวกรุงเทพในมุมสูง ที่มีดีไซน์สอดรับกันทั้ง 3 ชั้น

วิวจาก Penthouse Bar & Grill มองเห็นกรุงเทพยามราตรีที่สวยงามจริงๆ ครับ

สั่งอาหารมาทานหลายอย่างเลยครับ เมื่อได้ชิมก็เห็นเป็นไปตามที่เชฟบอกไว้คือ วัตถุดิบสดจากธรรมชาติ ที่ชอบเห็นจะเป็น Blue Swimmer Crab Cake อร่อยมาก

ดินเนอร์ในคืนวันศุกร์ที่รถติดไปจนถึงช่วงดึก กรุงเทพฯ ราตรีนี่ก็คึกคักดีเหมือนกันครับ

กำลังทอดอารมณ์ไปกับอาหารอร่อยๆ บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการชวนคนรู้ใจมาดินเนอร์ที่ Penthouse Bar & Grill ครับ

Good Morning Bangkok ตื่นมาพร้อมกับวิวนี้เลยครับ

เป็นเช้าวันเสาร์ที่เราไม่ได้รีบเร่งจะออกไปไหน เป็นโรงแรมที่เหมาะแก่การพักผ่อนเช่นกัน แม้จะดูว่าเป็น City Hotel ก็ตาม เราสามารถ take time ได้ในห้องพักของเรา ก่อนจะลงไปทานอาหารเช้ากันครับ

อาหารเช้า เราทานกันที่ Embassy Room เป็น All Day Dining ซึ่งเป็นห้องอาหารที่มีแนวคิดแบบครัวเปิดที่สามารถมองเห็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง มีทั้งที่นั่งด้านในและยังมีที่นั่งกลางแจ้งอีกด้วย

เมนูอาหารเช้ามีทั้งแบบที่สั่งจากพนักงานและไลน์แบบเรียบง่าย

ภายในห้อง The Pantry จะมีโยเกิร์ตและน้ำผลไม้ แช่เย็นไว้ในตู้ ให้เราหยิบเองได้ตามใจ มีบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ เพื่อให้เรารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

นอกจากนี้ ยังมีโทสต์และเบเกอรี่ ที่อบสดใหม่ ให้เราเลือกหยิบได้ตามใจ ครัวซองก์คืออร่อยและหอมมาก

รวมทั้งผลไม้ที่ปอกเปลือกกันสดๆ ตามที่เราสั่งเลยครับ สบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองกันเลยทีเดียว

Embassy Room เป็นห้องอาหารที่เรียบหรูโก้มากครับ การจัดวางโต๊ะที่นั่ง เป็นไปอย่างหลวมๆ ไม่อึดอัด โต๊ะสั่งทำพิเศษและเก้าอี้ของ “Grace” โดย Emmanuel Gallina

ขอตัวไปทานอาหารเช้าสักครู่นะครับ

สั่งเมนู Signature มาลองชิมหลายอย่างเลยครับ ชอบมากคือโทสต์ อโวคาโดท๊อปด้วย Posh egg และมีครัวซองก์ที่เราไม่ควรพลาดครับ

นั่งทานอาหารเช้ากันไปเรื่อยๆ สบายๆ จนใกล้จะได้เวลาปิดไลน์ จึงขึ้นไปเก็บของและเช็คเอ้าท์ จากนั้นก็มาเดินเล่นช้อปปิ้งต่อที่ CENTRAL EMBASSY ที่มีทางเชื่อมจากโรงแรมไปได้เลย สะดวกสบายมากๆ ครับ

นับเป็นอีกโรงแรมใจกลางกรุงที่น่าสนใจในความเรียบหรู ดูดีแบบ Humble Luxury ให้สมกับที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์ Park Hyatt ได้ดี

ตอนนี้โรงแรมมีแพคเกจ Brunch at The Park ให้เราได้ผ่อนคลายไปกับเสียงเพลง อาหารชั้นเลิศ และพักผ่อนในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายใจกลางเมือง ในราคาเริ่มต้นเพียง 9,999++ บาทต่อคืน

แพคเกจประกอบไปด้วย
• ห้องพัก 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน
• สิทธิพิเศษอัพเกรดห้องพักไปยังประเภทถัดไป (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในขณะเข้าพัก)
• บุฟเฟ่ต์มื้อสายสำหรับ 2 ท่านในวันอาทิตย์ (ไม่รวมเครื่องดื่ม)
• เครื่องดื่มไม่อั้นสำหรับ 2 ท่านจากเมนูที่ร่วมรายการ (จำกัดเวลา 1 ชั่วโมง)
• เช็คเอาท์ได้ถึงเวลา 20.00 น. (ขึ้นอยู่กับห้องว่างในขณะนั้น)

สามารถจองเพื่อเข้าพักในคืนวันเสาร์หรือคืนวันอาทิตย์
ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2563

สำรองห้องพักหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ +66 2 012 1234
หรืออีเมล bkkph-reservations@hyatt.com

*แพคเกจนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโครงการเราเที่ยวด้วยกันได้ครับ

KΔNT
KΔNT

อดีตผู้ประกาศข่าวสายเศรษฐกิจ เจ้าของเพจ KANT.CO.TH ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวพักผ่อน ในโรงแรมหรู สนใจเรื่องราวงานดีไซน์ อสังหา การตลาด การลงทุน