#CAPELLABANGKOK โรงแรมแห่งที่ 6 ของโลก แห่งแรกของไทย
36 ชั่วโมงของการเข้าพัก กับความหมายที่มากกว่าคำว่า #นอนโรงแรม
ใครที่ติดตามกานต์มาโดยตลอดจะรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นในการมาถึงและมีอยู่ของเชนโรงแรมระดับ Ultra Luxury ที่มาแรงที่สุดในโลกในขณะนี้คือ Capella Hotels and Resorts
ใช่แล้วครับ กานต์กำลังพูดถึง Capella Bangkok บนถนนเจริญกรุง ที่สร้างปรากฏการณ์อันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น 101 วิลล่าและสวีท ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไปพักมาเมื่อช่วงปลายปี
ผมพักห้อง Riverfront Premier ชั้น 8 วิวสวยมาก (ยิ่งสูง ยิ่งสวย) มองเห็นเวิ้งน้ำเจ้าพระยายาวตั้งแต่สะพานกรุงเทพจรดตากสิน เป็นโมเมนต์ที่งดงามเฉพาะยามอาทิตย์อัสดง ยังคงเป็นภาพแห่งความประทับใจครับ
Culinary Experiences ห้องอาหารและบาร์ของ Capella คือดาวฤกษ์แต่ละดวงที่ส่องประกายในตัวเองออกมาได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น
“โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค” Côte by Mauro Colagreco ห้องอาหารชื่อดัง แต่เชฟชื่อดังกว่า “เมาโร โคลาเกรคโค” ชาวอาเจนตินา ผู้เป็นเจ้าของรางวัลมิชลินสตาร์ 3 ดาว ที่ทำให้เราต้องจองโต๊ะกันนานหลายสัปดาห์ในช่วงแรกของการเปิดตัว
กานต์เลือกทานคอร์สมื้อค่ำที่ชื่อว่า “Carte Blanche” ที่คอนเซปต์คล้ายกับโอมากาเสะ เพราะเชฟจะรังสรรค์เมนูขึ้นมาใหม่ตามใจเชฟโดยไม่บอกให้เราทราบมีทั้งหมด 9 คอร์ส กับคู่กับไวน์ชั้นเยี่ยมที่ Sommelier บรรจงจับคู่ให้เราอย่างลงตัว
Stella Bangkok Cocktail Bar ที่มาพร้อมกับนกยูงสีขาวชื่อว่า Aegis เป็น Signature ที่สร้างปรากฏการณ์บาร์ในโรงแรมที่โต๊ะเต็มทุกวัน ให้บริการเครื่องดื่มและขนมหวานสไตล์โอมากาเสะ บรรยากาศดี เพลงดี
ส่วน Sun of Goa เครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก พระนางลักษมี ไบ หรือ ราชินีแห่งจันษี วีรสตรีของอินเดีย ยังเป็น Cocltail ที่ผมเห็นว่างดงามเกินกว่าที่ใด
Phra Nakhon Bangkok ดาวเด่นอีกดวงของโรงแรม “พระนคร” เป็นห้องอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา Breathtaking riverfront settings ที่น่าสนใจ โดยเชฟเล็ก ได้นำเสนออาหารไทยรสเลิศ ด้วยวิธีการปรุงอาหารแบบร่วมสมัยและใส่สูตรลับก้นครัวที่ได้รับการถ่ายทอดมา เป็นเซ็ตอาหารไทยที่จัดสำรับมาได้ลงตัวครบรส ทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็ม
ปิดท้าย ด้วยของหวานจาก Tea Lounge เป็น Afternoon Tea ริมสระบัวที่บรรยากาศดีมาก ผมเลือกเป็นชาส้มสูตรลับ ทานคู่กับสโคนที่ร่วนและหอมมัน เข้ากันดีมาก
นอกจากความลงตัวทั้งเรื่องดีไซน์ ที่สอดแทรกวิถีชีวิตของเจริญกรุงและสายน้ำเจ้าพระยาเข้าไปแล้ว ผมยังประทับใจ จิตวิญญาณในการให้บริการของ Capella Culturist จะเรียกว่าเป็น Signature Service ของโรงแรมเลยก็ว่าได้ ขอบคุณคุณบอล คุณซูซี่ รวมถึง Ted ที่ดูแลผมเป็นอย่างดีตลอดการเข้าพักทั้ง 36 ชั่วโมง
ทุกองค์ประกอบที่หลอมรวมกัน กลายเป็นประสบการณ์ที่มากกว่าการนอนโรงแรมหรู แต่รู้สึกได้ถึงความเป็น World Class Hospitality Experience ที่ผมว่าคุณต้องมาลองสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง
ผมว่าผมเขียนถึง Capella Bangkok ยาวเหยียดมากแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ ขอเล่าต่อในแคปชั่นของแต่ละรูปที่กานต์บรรจงลั่นชัตเตอร์มาฝากกัน #เชิญทัศนาตามอัธยาศัย ครับ
—
“คาเพลลา” (Capella) เป็นแบรนด์โรงแรมอันดับต้นๆ ที่คนดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ มาดอนน่า เลดี้ กาก้าฯ เลือกมาใช้บริการครับ
สำหรับกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนถนน “เจริญกรุง” ริมแม่น้ำแห่งมหานคร บนพื้นที่กว่า 35 ไร่ ทอดยาวไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ห้องพักเป็นรูปแบบวิลล่าและห้องสวีท รวมทั้งสิ้น 101 ห้อง
คืนนี้กานต์พักที่ห้องแบบ Riverfront Premier ชั้น 8 ห้องกว้าง 61 ตร.ม. เทควิวแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่า River View ทุกห้องครับ
Capella Bangkok เป็นโรงแรมระดับ Ultra Luxury บนถนนเจริญกรุง ถนนสายประวัติศาสตร์ที่รายล้อมไปด้วยมนต์เสน่ห์ของสายน้ำแห่งวัฒนธรรม และสายน้ำเจ้าพระยา
เป็นทำเลที่ตั้งที่มีความน่าค้นหาและท้าทายนักเดินทางและนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบการผจญภัย แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและโอกาสที่จะได้เรียนรู้เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ หรือการได้เข้าใจถึงที่มาของร่องรอยและหลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลือไว้ในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นประสบการณ์ที่คงอยู่ในความทรงจำของเราในฐานะผู้มาเยือน
เชื่อว่าน่าจะเป็นประสบการณ์ในการเข้าพักโรงแรมระดับโลกในกรุงเทพฯ ที่น่าประทับใจ
Andy Miller และ Richard Scott Wilson สถาปนิกระดับโลก ร่วมกับทีมออกแบบตกแต่งภายในของบริษัทบาโม่ (BAMO) รับหน้าที่รังสรรค์ให้ Capella Bangkok เป็นดุจงานประติมากรรมชั้นยอดระดับเพชรของกรุงเทพฯ มหานครแห่งสายน้ำ เป็นเสมือนรังไหมของความเงียบสงบ
แนวคิดในการออกแบบหลักนอกจากจะมีแม่น้ำเป็นตัวเดินเรื่องแล้ว ยังถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิตของผู้คน ถนนเจริญกรุงและสายน้ำที่ทอดยาวราวกับเป็นหนังม้วนเดียวกัน
บันไดวนและแชนเดอร์เลียร์ที่ห้อยลงมาราว 10 เมตร คือมุมที่สวยงาม ผมชอบมาก เก็บรูปมาเยอะและหลากหลายมุม ถ่ายยังไงก็สวย เป็น Signature ที่ทุกคนเมื่อมาเยือน Capella Bangkok ต้องมีรูปจากมุมนี้
ยิ่งวันที่มีงาน Wedding เป็นภาพที่งดงามมาก หากเจ้าบ่าวและเจ้าสาว เดินมาบรรจบกันที่กลางโถงบันได ก่อนจะจูงมือกันเดินเข้าไปยัง Elegant Grand Ballroom
ตอนที่กานต์เข้าพักสามารถเข้าพักได้ 36 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าคุ้มมากครับ กานต์เข้าเช็คอิน 10 โมงเช้า และสามารถเช็คเอ้าท์ได้ 4 ทุ่มของคืนพรุ่งนี้ เป็นโปรที่ดีงามจริงๆ
ลองโทร 02 098 3888 เพื่อสอบถามโปรโมชั่นล่าสุดของโรงแรมได้
อ่ะ!! ได้เวลาเช็คอินแล้ว ผมมาถึงล็อบบี้ช่วงสายๆ ขอยืนทอดอารมณ์ไปกับสระบัวและสายน้ำเล็กน้อย ก่อนที่ Capella Culturist จะมาต้อนรับให้ไปเช็คอินที่ Living Room ซึ่งจะเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับแขกที่เข้าพักเท่านั้น
Lobby สวยมากครับ ดูอลังการสมศักดิ์ศรี Ultra Luxury Hotel จริงๆ ผมชอบการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่ดูหลากหลายดีไซน์แต่เข้ากันดี จัดวางไว้แบบหลวมๆ ให้แขกรู้สึกเป็นส่วนตัวและสบายใจไม่อึดอัดในการเข้าพัก
จาก Lobby มองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำที่ปกคลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีสระบัวเป็นฉากหน้า มองแล้วสบายตา ช่วยให้รู้สึกสดชื่น เหมือนเป็นวันพักผ่อนจริงๆ ครับ
Capella Culturist จะทราบเวลาที่เราเข้าพักอยู่แล้ว เธอจะมารอต้อนรับเราที่ Lobby ก่อนจะนำเราไปยัง Living Room เป็น Key Card Access ครับ บุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้ามาได้
คุณซูซี่ พาผมเดินมาถึงที่ Living Room ซึ่งก็เปรียบเสมือนห้องนั่งเล่นสมชื่อ จากนั้นจะเสิร์ฟ Signature Welcome Drink เป็น Champagne ครับ ชื่อว่า “Capella Bangkok Vranken” ที่สั่งทำพิเศษสำหรับ Capella Bangkok โดยเฉพาะ พร้อมกับมีขนมหวานให้ทานระหว่างรอทำการเช็คอิน ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่รีบครับ สามารถนั่งพักผ่อนใน Living Room ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่ต้องการ ส่วนกระเป๋าเดินทางนั้น ถูกนำไปจัดวางไว้บนห้องพักเรียบร้อยแล้วครับ
ผมใช้เวลาพักใหญ่กับการสำรวจความเป็นไปของกรุงเทพ ผ่านสายน้ำและวิถีชีวิต รวมทั้งเรื่องราวและจิตวิญญาณของมหานครแห่งสายน้ำ ผ่านหนังสือเล่มใหญ่ที่วางไว้หลายเล่มเลย อ่านสนุกมากครับ รู้สึกเหมือนนั่งเล่นอยู่ในบ้านของตัวเองมากกว่า
จากนั้น มื้อเที่ยง ผมไปทานที่ริมสระว่ายน้ำครับ สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งที่เดย์เบดริมสระ หรือว่าเป็นคาบาน่าที่จัดวางไว้รอบๆ
บรรยากาศดี ไม่ร้อนสักเท่าไรนักในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ผมสั่งเครื่องดื่มมาจิบเล่นๆ ก่อนจะสั่งอาหารกลางวันมาทาน
คอนเซปต์ของอาหารกลางวันที่ริมสระจะจัดเป็นเซ็ตง่ายๆ เรียกชื่อเล่นๆ ว่า “ปิ่นโต” ครับ ผมเลือกเป็นเซ็ตข้าวกะเพราและเซ็ตผัดไท มาลองทาน เน้นเมนูไทยที่ทานง่ายจากห้องอาหารพระนครครับ
จากนั้น ก็ได้เวลาไปสำรวจห้องพักของเราในวันนี้กันครับ ซูซี่ Capella Culturist พาผมขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 8 ซึ่งถือว่าเป็นชั้นสูงพอสมควร ในการทอดอารมณ์ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ระหว่างที่เดิน ซูซี่ก็จะบอกเล่าเรื่องราวของโรงแรม และทำเลย่านเจริญกรุง จริงๆ เราสามารถขอให้ Capella Culturist พาไปเดินเล่นย่านเจริญกรุงได้นะครับ ลองนึกถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ หากมาพักที่นี่ คงอยากจะออกไป Expore Local Area ดูสักหน่อย เพื่อให้ซึมซับเรื่องราวและได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจกลับไป ซึ่ง Capella Culturist ก็จัดให้ได้ทุกอย่าง จบทุกกระบวนการเข้าพักในคนเดียว ยอดเยี่ยมมากครับ
ห้องพักจัดไฟได้ดีมาก ไม่มืดจนอึดอัดแต่ก็ไม่สว่างจนรู้สึกไม่สบายตัว แสงสลัวยามใกล้ค่ำทำให้วิวแม่น้ำของผมงดงามยิ่งขึ้น
ผนังที่เป็นกระจกกว้างเพื่อชมวิวได้อย่างเต็มตาเต็มอารมณ์ ซึ่งเป็นเหมือนกันทุกห้อง ประกอบกับห้องที่ฝ้าสูงแบบ High Ceiling จึงทำให้ได้ความรู้สึก โปร่ง โล่ง สบาย ไม่อึดอัด จัดวางเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทรงโค้ง ดูผ่อนคลาย จัดวางฟังก์ชั่นของโต๊ะทำงานไว้ด้านหลังอย่างเป็นสัดส่วน ที่โต๊ะมีปลั๊กและ USB ทุกอย่างพร้อม
เมื่อเสร็จงาน เราสามารถมานั่งจิบกาแฟชมวิถีชีวิตในฝั่งตรงข้ามของโรงแรมและบนสายน้ำได้ราวกับชมละครแห่งชีวิต
ความโดดเด่นของ Capella คือการเชื่อมโยงจิตวิญญาณแห่งการเข้าพักของแขกกับสถานที่ก่อตั้งอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่การออกแบบและตกแต่งโรงแรม โดยนำจิตวิญญาณของชุมชน วิถีชีวิตดั้งเดิม และวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อมอบเป็นประสบการณ์ชีวิตจากการพักผ่อนที่นี่
ประกอบเข้ากับความหรูหราระดับ Ultra Luxury ที่บรรจงคัดสรรมาให้ Capella จึงเป็นโรงแรมที่ถ่ายทอดความเป็นกรุงเทพมหานครตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันออกมาได้ชัดเจน
มุมห้องจัดเป็นชั้นวางทีวีขนาดใหญ่พร้อมมินิบาร์และเครื่องดื่ม โดยมากฟรี ยกเว้นแอลกอฮอลล์
ความเริ่ดหรูของที่ Capella Bangkok คือการเสิร์ฟ Acqua Panna น้ำแร่ธรรมชาติ จากเทือกเขา แอเพนนาย ประเทศอิตาลี มีวางไว้ในทุกจุด
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เมื่อเติมน้ำแร่ใน Coffee Machine แล้วกาแฟอร่อยขึ้นเยอะเลย 5555
ผมเลือกเป็นห้อง Riverfront Premier King เตียงใหญ่นอนสบายมาก หันหน้าออกไปชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
เราสามารถแจ้งขอ Pillows Program ได้ มีหมอนให้เลือกถึง 12 แบบ แม่บ้านอธิบายชัดเจนดีมาก บนหัวเตียงมีแผงควบคุมระบบไฟติดตั้งไว้ พร้อมชาร์จ และมี iPad สำหรับสั่งอาหารและดูข้อมูล บริการของทางโรงแรม
ด้านหน้าห้องเป็นมุมแต่งตัวซึ่งสามารถลัดเข้าช่องทางนี้ได้เพื่อไปยังห้องน้ำได้เลย ไม่ต้องอ้อมเตียงนอนเข้าไปด้านใน
ในตู้เสื้อผ้าจัดวางอุปกรณ์ไว้ครบครัน ยกเว้นเตารีดซึ่งต้องแจ้งขอ แต่พอผมจะรีดเสื้อ โทรไปขอเตารีดกลับได้ Luandry ขึ้นมารับเสื้อไปรีดให้แทน ขอเวลา 30 นาที เป็นบริการที่เหนือความคาดหมายมาก
ส่วนกระเป๋าวางไว้ในห้องเช่นเดิม ยังเป็นกระเป๋าที่สวย หรู ดูแพง และอยากได้มาก แต่ไม่สามารถเอากลับบ้านได้ 5555
ด้านในเป็นห้องน้ำที่มีไฮไลท์คือช่องกระจกใสที่สามารถชมวิวสายน้ำภายนอกได้ระหว่างอยู่ในห้องน้ำ เป็นดีไซน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก แทบจะทุกจุดภายในห้องที่เราสามารถชมวิวได้
ยอมใจในความปราณีตของการออกแบบจริงๆ ครับ
ตรงกลางห้องจัดวางอ่างอาบน้ำเอาไว้บนกระเบื้องหินอ่อนสีเทาควันบุหรี่ classy and fabulous มาก ห้องน้ำจัดวางเครื่องเคราแบบครบครัน ผมชอบการออกแบบห้องนี้ ดูเรียบง่ายแต่หรูหราดีครับ ยอมรับเลยว่า บริษัท BAMO ซึ่งออกแบบตกแต่งภายในโครงการเรสซิเดนซ์ รีสอร์ท โรงแรม สปา และร้านอาหารชื่อดังมาแล้วทั่วโลก ทำให้ Capella Bangkok เป็นอีก Masterpiece ของพวกเขา
ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องจะเรียกว่าเป็น Less Plastic ก็ว่าได้ ทุกอย่างทำจากกระดาษ ผ้า โลหะ และไม้ น้ำดื่มเป็นบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว ส่วน Ameinty ของโรงแรมคือเก๋มาก Packaging จัดเรียงไว้ในกล่องกระดาษที่ต่อกันเป็น Jigsaw ภาพถ่ายแสนสวยงาม ส่วนในกระเป๋าผ้าจะเป็นไดร์เป่าผมครับ
บริเวณระเบียงด้านนอกถือว่ากว้างมาก จัดเป็นเตียงพักผ่อนขนาดใหญ่วางไว้เลยครับ สามารถสั่ง In Room มาทานที่นี่ได้ รับลมสบายๆ เลย
จริง Capella Bangkok ก็เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับคนกรุงมา Staycation มากเลยนะครับ เพราะเอาเข้าจริงๆ วันหยุดพักผ่อนเราก็ไม่ค่อยอยากไปไหนไกลๆ แต่อีกใจก็อยากพัก นึกออกไหมครับ แล้วจะไปไหนได้ ก็อยู่ในกรุงเทพนี่แหละ พักโรงแรมเพื่อรับประสบการณ์ที่เหนือกว่าการ #นอนโรงแรม ทั่วไป ผมว่า Capella คือจุดหมายปลายทางที่เหมาะมากกับการพักผ่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาครับ
ช่วงบ่ายลงไปจิบชาที่ Tea Lounge ครับ ช่วงที่ไปเป็นช่วงสิ้นปี จะเป็น Festive High Tea หรือจะเลือกรับคู่กับ Capella Champagne ก็ได้ แต่เข้าใจว่าช่วงนี้งดบริการแชมเปญเนื่องจากมาตรการโควิดนะครับ พร้อมกับปรับเวลาให้บริการของ Tea Lounge เล็กน้อย โดยเลื่อนเวลาเปิดเร็วขึ้น จะให้บริการตั้งแต่เวลา 12.00 – 18.00 น. ของทุกวัน
Afternoon Tea ที่นี่จะผสมผสานวัฒนธรรมการจิบชาแบบตะวันตกและการดื่มชาของชาวเอเชียเข้าไว้ด้วยกัน โดยเชฟซิลแวง คองสตองส์ (Sylvain Constans) Chef Patissier เล่าว่า ที่นี่จะมีชาหลากหลายชนิดให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ชาดำ ชาขาว ชาเขียว ชาส้ม ชาอู่หลงพรีเมี่ยม ชาสมุนไพรสด และชาดอกไม้ เนื่องจากมองว่าชาเป็นมากกว่าเครื่องดื่ม และเป็นวัฒนธรรมประเพณีทางสังคมที่สืบสานมาอย่างยาวนานไม่เพียงแต่ชาวยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวเอเชียที่นิยมดื่มชาด้วย
ดังนั้นวัฒนธรรมการดื่มชาของแต่ละพื้นที่จะมอบรสชาติและกลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์ รวมทั้งความเข้มข้น อ่อนละมุนของชา และมีความสลับซับซ้อนไม่ต่างจากวัฒนธรรมการดื่มไวน์
ที่ Tea Lounge ของ Capella จะมี Tea Connoisseur ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องชา มาบอกเล่าเรื่องราว ให้ความรู้และแนะนำชาแต่ละชนิดให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า โดยจะทำหน้าที่คัดสรรพันธุ์ชาหายากจากประเทศต่างๆ แล้วนำมาผสมผสานพัฒนาให้เป็นสูตรพิเศษเฉพาะตัว เพื่อสร้างอรรถรสและเสน่ห์ให้กับชาแต่ละชนิด
ผมเลือกเป็นชา Aged da Hong Pao 2006 Harvest Oolong ชาอู่หลงที่อบกับเปลือกส้มและบ่มจนได้ที่ ทำให้ได้กลิ่นส้มที่หอมและรสชาที่เข้มข้นมาก
และยังสั่งชา Lemongrass, Pandan, Butterfly Pea Blue Tea มาลองเพราะสีสวยดี ดื่มแล้วสดชื่นมากครับ
ส่วน Savoury & Sweet จะเป็น Festive High Tea คือสร้างสรรค์มาเฉพาะช่วงปีใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Lobster Custard ท๊อปด้วยโฟมแฮมและสาหร่ายอบกรอบ
ชิ้นตรงกลางเป็น Smoke Salmon ท๊อปด้วยดาชิเจล เป็นซุปปลาแห้งของญี่ปุ่นทำในรูปแบบของเจล ส่วนวงขดด้านบนเป็นมูสเกาลัดและเลมอน ขิง สุดท้ายเป็น Blue Swimmer Crab, Corn Cream โรยหน้าด้วยแคปหมู ทานคู่กับชาส้มอร่อยมาก
ส่วนสโคน มี 2 แบบคือ Plain และ Canberries ผมว่าหอมนุ่มชุ่มเนยและเนื้อร่วนดี ไม่ถึงกับฝืดคอ ทานคู่กับแยมแอปเปิ้ลผสมขิง และ Mulled Wine Jelly นอกจากนี้ยังมีเค้กอีก 6 ตัวเสิร์ฟเป็น Festive Pastry Trolley ประกอบด้วย
•Pear and Caramel Antlers
•Chocolate and Piedmont Hazelnut
•Coconut and Lime Snowflake
vPistachio Mont Blanc
•Vanilla, Almond, Cherry Raspberry Santa Claus
•Chocolate and Mandarin
เมื่อมาถึงห้องในช่วงเย็น แม่บ้านมาเทิร์นดาวน์เตียงเรียบร้อยพร้อมจัดวางขนมเอาไว้ให้
ช่วงค่ำ ผมจองห้องอาหาร Côte by Mauro Colagreco เอาไว้ อยู่ชั้น 2 ของโรงแรมครับ เป็นห้องอาหาร Fine Dining ที่รังสรรค์โดยเชฟชาวอาร์เจนติน่า Mauro Colagreco เชฟระดับมิชลิน 3 ดาวผู้เคยทำให้ร้านอาหาร Mirazur ที่ฝรั่งเศสคว้ารางวัลร้านอาหารอันดับ 1 ของโลกจาก The World’s 50 Best มาแล้ว
ถ้าจะบอกว่าการตกแต่งที่ Côte by Mauro Colagreco จะได้ฟีลของ Mirazur ก็ไม่ผิดนักเพราะเป็นร้านที่ดังที่สุด มีเอกลักษณ์แบบเมดิเตอเรเนียน เอิร์ธโทนปนความทะเลเบาๆ ตามแนวคิด Riviera to the River
ส่วนเทคนิคการปรุงนั้น ดูเหมือนว่าเชฟจะทำให้ใกล้เคียงกับที่ Mirazur วัตถุดิบบางส่วนนำเข้าจากฝรั่งเศส และใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยเข้ามาประกอบด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่นอายความเป็นไทยแฝงลงไปตามคอนเซ็ปต์
โดยส่งเชฟมือขวาอย่าง Davide Garavaglia มาดูแลที่นี่ เพื่อให้มั่นใจได้ในความเป็น Mauro Colagreco
ผมเลือกเป็น “Carte Blanche” เป็น Mistry ที่คล้ายกับโอมากาเสะ เพราะเชฟจะรังสรรค์เมนูขึ้นมาใหม่ ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ตามใจฉัน ตามใจเชฟว่างั้น เราจะไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะได้ทานอะไร อาจจะมีบริกรมาสอบถามก่อนเริ่มมื้ออาหารว่าเราทานเนื้อได้ไหม ทานนกพิราบหรือเปล่า
อ่านไม่ผิดหรอกครับ Main Course ของผมเป็นนกพิราบ
ผมจับคู่กับไวน์ที่จะเสิร์ฟมาคู่กับจานอาหารโดย Sommelier จะคัดสรรมาให้ แต่ช่วงนี้อาจจะไม่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์นะครับ เนื่องจากเป็นไปตามมาตรการป้องกันโควิดและห้องอาหาร Côte by Mauro Colagreco จะปิดให้บริการเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยมื้อเย็นจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 17.30 – 21.00 น.ทุกวันพุธ-อาทิตย์ครับ
“Carte Blanch” และ Wine Paring 9,000++ บาท
Amuse Bouche ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของร้าน ผ่านการออกแบบรสชาติที่ทานง่าย เปิดรสในปากได้อย่างสบายใจและแน่นอนว่าอร่อยมาก ไม่ว่าจะเป็น ทาร์ตผสมสาหร่ายสอดไส้ครีมไข่ปลาค็อต โรยหน้าด้วยด้วยผงสาหร่ายและข้าวพองทอด
แต่ที่ผมชอบคือชิตาเกะมาการอง ทานคู่กับแอปเปิ้ลกรอบและมูสดำ มีกลิ่นเห็ดอ่อนๆ แต่ได้รสเค็มปะแล่มๆ ปนหวาน จนกลายเป็นความอุมามิ เป็นจานที่ดีไซน์ออกมาได้ลงตัวมาก เปิดรสสัมผัสในปากได้ดี
ส่วนขนมปังที่เสิร์ฟจะเป็นสูตรคุณยายของเชฟ Mauro Colagreco เพื่อต้องการรำลึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก ให้คนที่ทานได้สัมผัสถึงบรรยากาศของความรัก ความอบอุ่นและการแบ่งปันกันบนโต๊ะอาหาร ทานคู่กับ Olive Oil สูตรพิเศษที่จะให้ความหอมสดชื่นของมะนาวเหลืองที่อินฟิวซ์กับขิงและน้ำมันมะกอก อร่อยมากครับ ซึ่งใครที่ทานคอร์ส Carte Blanche จะได้รับ Olive Oil ขวดเล็กกลับไปเป็นที่ระลึกด้วย
การทานอาหารที่ CÔTE จะให้ความรู้สึกราวกับเฟรนช์ริเวียร่า ตามคอนเซปต์นั่งตากอากาศอยู่ริมทะเลแถบเมดิเตเรเนี่ยนเย็นๆ กับวัตถุดิบจากท้องทะเลที่เป็นระดับพรีเมี่ยม ความรู้สึกที่ทานจะเป็นจานที่เบาๆ ไลท์ๆ เน้นความเรียบหรูในรสชาติของวัตถุดิบที่แท้ทรู ส่วนตัวมองไว่าทานไม่ยากเหมือนที่หลายคนพูดกัน แต่เรื่องรสชาติอาจจะไม่คุ้นชินเท่า Fine Dining อื่นๆ สักเท่าไรนัก
ผมไล่เรียง 9 คอร์สจาก “Carte Blanch” ดังนี้
•Langoustine / Caviar / Bitter Milk / Sea Lettuce
•Sea Urchin / Almond / Caviar / Horseradish
•Squid “Bagna Cauda” Sauce / Artichokes
•Lobster / Trout Roe / Yuzu / Tropica / White Truffle
•Scallop / Parmesan / Tomato
•Turbot / Hay Hollandaise / Black Truffle
•Pigeon / Eggplant / Coffee Powder
•Mascarpone / Red Shiso
•Chocolate Crémeux / Caramelized Nuts
Stella เป็น Cocktail Bar แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นดาวเจิดจรัสได้ในทันทีที่เปิดตัว
จริงๆ แล้ว Stella เป็นภาษาละตินและอิตาเลียน แปลว่า “หญิงสาวผู้สวยสง่า” จะสังเกตว่าทางฝั่งยุโรปมีคนชื่อ Stella เยอะมากเพราะความหมายดี
การตกแต่งภายในให้อารมณ์เหมือนบาร์ใน New York ยุค 70 มีความวินเทจนิดๆ มีที่นั่งให้เลือกหลายแบบทั้งหน้าเวที มุมส่วนตัว หรือหน้าบาร์ บรรยากาศดีมาก ที่ชอบคือไลฟ์แบนด์ เล่นเพลงดีมาก เอาจริงๆ คืออยากมาฟังเพลงมากกว่ามาดื่มเสียอีก
ความเก๋ของไอเดียในการออกแบบคือการใช้สัญญะของ White Peacock หรือนกยูงสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางบาร์ มาเป็น Signature โดยเรียกว่า Aegis เป็นเหมือนวีรสตรีผู้ทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครอง ได้ฟีลเพื่อนหญิง พลังหญิง มีความ Feminine นิดๆ
และที่สำคัญยังต่อยอดนำเอาเรื่องราวของวีรสตรีจากทั่วโลกมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเป็นเครื่องดื่มที่หลากหลายดี ไม่ว่าจะเป็น ย่าโม หรือท้าวสุรนารี จากประเทศไทย / โทโมเอะ โกเซ็น ซามูไรหญิงคนแรกของญี่ปุ่น / เจิ้งยี่ โจรสลัดหญิงชาวจีน
ส่วนแก้วที่ผมเลือกมานี้ชื่อว่า SUN OF GOA เป็นเรื่องราวของพระนางลักษมี ไบ หรือ ราชินีแห่งจันษี วีรสตรีของอินเดีย ผู้ต่อต้านอังกฤษในสมัยนั้นจนได้รับการขนานนามว่าเป็นโจนส์ออฟอาร์กของอินเดีย โดยจะมีความโดดเด่นเรื่องของเครื่องเทศที่นำมารังสรรค์ในเครื่องดื่ม
The night is young ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก เดินหมื่นลี้กว่าจะถึงที่ห้องพัก …
ไม่ใช่อะไรหรอก พี่เมา
บรรยากาศจากระเบียงห้องของกรุงเทพยามค่ำคืนสวยงามดีครับ มองเห็น Stella Bar ที่เราเพิ่งจากมาเมื่อสักครู่ด้วย
เผลอหลับไปแบบไม่ได้ปิดม่าน ปรากฎว่าเช้านี้ บรรยากาศดีมาก เป็นกรุงเทพในมุมใหม่ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก
Good Morning BANGKOK!!
เช้านี้สั่งอาหารมาทานที่ห้องครับ เป็น Breakfast in Bed ผมเลือกไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น สั่งจาก iPad ได้เลย หรือจะให้ Capella Culturist ช่วยสั่งให้ก็ได้ครับ
ผมเลือกเป็นเซ็ตญี่ปุ่น กับเซ็ตไทยมาลองทานอาหารรสชาติดี แต่ที่เหนือไปกว่านั้น คือประสบการณ์ใหม่ในการทานอาหารเช้าชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาไปด้วย ช่วยเติมเต็มให้มื้อเช้าวันนี้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
“One should not attend even the end of the world without a good breakfast.”
― Robert A. Heinlein, Friday
ก่อนมื้อกลางวัน ผมไปเดินเล่นชมสวนรอบๆ โรงแรม ด้านหน้าสปา เป็นที่นั่งกลางแจ้งบรรยากาศดี มีพื้นที่สีเขียวเยอะจนตกใจว่า แทบจะไม่ใช่กรุงเทพเมืองแห่งความวุ่นวาย แต่กลายเป็นเมืองที่สงบเงียบ
เงียบจนทำให้เราได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
มื้อกลางวันทานที่พระนคร (Phra Nakhon) ครับ ห้องอาหารไทยสูตรต้นตำรับของ “เชฟเล็ก” วิเชียร ไตรรัตนวาธิน พ่อครัวไทยประจำห้องอาหารริมน้ำ “พระนคร”
นำเสนออาหารไทยรสเลิศ ด้วยวิธีการปรุงอาหารแบบร่วมสมัยผสมผสานสูตรลับก้นครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จัดมาเป็นเซ็ตแบบลงตัวทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม มื้อกลางวันผมสั่งเซ็ต “ลองชิม” มาทาน ส่วนมื้อค่ำผมเลือกเป็นเซ็ต “สำรับ” หรือใครจะสั่งเป็นเมนูจานแยกก็ได้ครับ
ส่วนตัวชอบบรรยากาศด้านนอกที่รายล้อมไปด้วยสวนสวยและทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือใครอยากจะนั่งในห้องปรับอากาศก็เลือกได้ครับ
จากนั้น ช่วงไป Enjoy ใน Living Room ได้ จริงๆ มีกิจกรรมให้ร่วมทั้งวันครับ ผมลองทำลูกประคบสมุนไพร เอาไว้ใช้เองยามปวดเมื่อย ส่วนผสมเยอะแยะมากมาย แค่ได้กลิ่นก็สดชื่นขึ้นมาทันที
ส่วนช่วงเย็นของทุกวันจะเป็น Cin Cin Hours ครับ จะมีเครื่องดื่มที่เป็น Signature มาผสมให้ดื่มถึงที่โต๊
#โดยสรุป Capella Bangkok เป็นมากกว่าการนอนโรงแรมตามปกติทั่วไป แต่เป็นการใช้ชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคย ท่ามกลางประสบการณ์ใหม่ที่สอดแทรกเข้ามาเพื่อให้เกิดความตื่นตาตื่นใจ ผสานเข้ากับงานดีไซน์ที่เรียบหรู การบริการที่ขึ้นชื่อว่ามาจากจิตวิญญาณข้างในของผู้ให้บริการ มิพักแต่ Capella Culturist เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแม่บ้านยัน GM ส่วนตัวชอบและประทับใจในการเข้าพักครั้งนี้มากครับ
เป็น 36 ชั่วโมงที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สอบถามรายละเอียดการเข้าพักได้ที่ โทร 02 098 3888 หรือ https://www.capellahotels.com/en/capella-bangkok