กานต์พาไป Explore Ultra Luxury Hotel แห่งใหม่
Four Seasons Hotel Bangkok at Chaopraya River
สายน้ำและวิถีแห่งความผูกพันที่ไม่แปรผันตามฤดูกาล
_______________________________________
ตั้งชื่อมาเหมือนซีรีย์เกาหลีเลยครับ สำหรับรีวิวนี้ที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ ตรงเจริญกรุงนี่เอง ในโครงการเจ้าพระยาเอสเตท อยู่ติดกับโรงแรม Capella ที่กานต์เคยพาไปรีวิวมาแล้ว อ่านรีวิวได้ที่นี่ >> https://bit.ly/3nRdKfn
ถ้าเปรียบเป็นฤดูกาลทั้ง 4 Four Seasons Hotel ในเมืองไทยที่มี 4 แห่ง ผมขออนุญาตเปรียบให้เห็นเป็นความเข้าใจแบบง่ายๆ ชวนย้อนไปอ่านรีวิวกันได้
Four Seasons Resort Koh Samui, Thailand ฤดูร้อน Summer Season >> http://bit.ly/2P7JfWL
Four Seasons Resort Chiang Mai ฤดูฝน Rainy Season >> http://bit.ly/3o1gSGi
Four Seasons Tented Camp Golden Triangle, Thailand ฤดูหนาว Winter Season
Four Seasons Hotel Bangkok ฤดูแล้ง Dry Season เพราะผมมาพักช่วงนี้ พอดี
ความที่ Four Seasons Hotel Bangkok อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มองเห็นความพริ้วไหวของสายน้ำราวกับภาพยนตร์ที่มีชีวิต ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในนั่งมองจากห้อง Premier River View ที่ชั้น 7 ออกไปที่ live view ภายนอก กรุงเทพของเราสวยและมีเรื่องราวมากมายเลยครับ เป็นไปตามมาตรฐานของ Four Seasons ทั่วโลกที่โลเคชั่นจะต้องโดดเด่นของบ่งบอกความเป็นอัตลักษณ์ของสถานที่นั้นได้ เริ่มตั้งแต่สลักประตูสีทองที่ลงเดือยไว้บริเวณด้านหน้า โถงทางเดินประดับงานประติมากรรมจากผ้าซิ่นตีนจกลายช้างเผือก ล็อบบี้ที่มีแนวคิดจากแม่น้ำเจ้าพระยายามตะวันใกล้ลับขอบฟ้า
ยอมรับเลยว่า Jean-Michel Gathy และ Hamiltons International ร่วมกันดีไซน์ให้ Four Seasons มีสัญญะของความเป็นกรุงเทพและสายเลือดใหญ่อย่างแม่น้ำเจ้าพระยาในแทบทุก Element ของโรงแรมเลยครับ
นอกจากการออกแบบและตกแต่งแล้วจุดที่ชอบคือบรรยากาศของโรงแรมที่ได้โอบล้อมการพักผ่อนในกรุงเทพแบบ Staycation ได้ดี ตามคอนเซปต์ Riverside Urban Resort แม้จะมีหลุดๆ ไปบ้างนิดหน่อยเพราะช่วงที่ไปติดวันหยุดยาวแขกเยอะจริงๆ ครับ โดยเฉพาะ Afternoon Tea ช่วงบ่ายและ BKK Social Club ในตอนค่ำ ส่วนที่ห้องอาหารจีนกวางตุ้ง YU TING YUAN ไม่ต้องพูดถึง คิวเต็มล่วงหน้าเป็นเดือน ผมยังอดเลย เอาไว้ครั้งหน้าจะมาทานใหม่
นอกจากความหรูหราสะดวกสบายแล้ว ผมเซอร์ไพรส์ที่โรงแรมเลือกใช้ Amenities ในห้องน้ำ เป็นแบรนด์ MFK (Maison Francis Kurkdjian) จากฝรั่งเศส กลิ่นหอมคือหมัดเด็ด จนต้องเก็บส่วนที่เหลือกลับ เชื่อว่าหลายคนชอบสะสม Amenities โรงแรมเหมือนผมเอาไว้เป็นที่ระลึก จะได้นึกถึงเรื่องราวและความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าพัก
แค่เปิดปกมายังมีเรื่องน่าสนใจมากขนาดนี้ กานต์เขียนเล่าไว้ในแคปชั่นของแต่ละรูปเช่นเคยครับ อยากให้ตามเข้าไปอ่านกันด้านใน
#FSBANGKOK#FSBKK#FOURSEASONS#FOURSEASONSBANGKOK
#luxurytravel#leisuretravel#hotellifestyle
#ท่องเที่ยวพักผ่อนชอบนอนโรงแรมสวย
—
“JOBS FILL YOUR POCKETS, BUT ADVENTURES FILL YOUR SOUL.”
ขออนุญาตหยิบยกประโยคนี้มาเพราะว่ามันคลาสสิคเหลือเกินครับ แม้เราจะอยู่ในกรุงเทพเป็นหลัก เป็นมนุษย์ออฟฟิศ เป็นนักธุรกิจที่ต้องทำงาน แทบจะหาวันว่างไปพักผ่อนยาก แต่ก็อยากให้มาลอง Staycation ในโรงแรมกันดู เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย
อย่างโพสต์นี้จะพาไป Explore เรื่องราวของสายน้ำที่เป็น The River of Kings กันที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ
ตลอดระยะเวลาของการเข้าพักที่โฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทอดอารมณ์ชมเรื่องราวของสายน้ำ วิถีชีวิต ชุมชม ผู้คน ที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าราวกับภาพยนตร์จอใหญ่ที่มีชีวิต
กรุงเทพเป็นเมืองที่โตมากับสายน้ำ ในอดีตยังเคยได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองเวนิสแห่งตะวันออก” ด้วยสภาพบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ข้างคูคลองและริมสองฝั่งแม่น้ำ การค้าขายที่อาศัยเรือเล็ก เรือใหญ่ ทำให้เรามีความผูกพันกับสายน้ำมานาน
แต่ปัจจุบันความเจริญที่ได้เข้ามามีบทบาท ทำให้เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนและความเป็นเมืองในด้านต่างๆ ลง พลอยทำให้บทบาทของสายน้ำถูกลดทอนคุณค่าลงตามตามกาลเวลา
การหวนคืนกลับมาของ Four Seasons ในกรุงเทพมหานครอีกครั้งนั้น จึงยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นที่หมายในการพักผ่อนอย่างแท้จริงของนักเดินทางจากทั่วโลก ตามคอนเซปต์ของแบรนด์
น่าเห็นใจโรงแรมเหมือนกันครับที่มาเปิดตัวในช่วงโควิดแบบนี้
จากบ้านย่านวงเวียนใหญ่ ผมขับรถมาถึงโฟร์ซีซั่นส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเจ้าพระยาเอสเตท จอดไว้บริเวณด้านหน้า Drop off ก่อนจะมีพนักงานนำรถไป Valet ให้
สิ่งแรกที่มองเห็นคือสัญลักษณ์เด่นสีทองเป็นเดือยประตูขนาดใหญ่แบบโบราณในสมัยก่อนขนาบซ้ายขวาที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า ให้ความรู้สึกถึงการต้อนรับกลับบ้าน นัยว่าเป็นการพักผ่อนที่บ้านของเราเอง ซึ่งจะโอบล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวของต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น ตามคอนเซปต์ Urban Resort
เข้ามาด้านในเป็นงานประติมากรรมลายผ้าไทย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากผ้าซิ่นตีนจก ลายช้างเผือกที่เหมือนเป็นแขกบ้านแขกเมือง แขกคนสำคัญ ตั้งอยู่บนผืนน้ำที่เคลื่อนไหว ราวกับมีชีวิต
อีกด้านจะเป็น มุมที่นั่งซึ่งมองออกไปจะเห็น Steping Stone ส่วนบริเวณโดยรอบประดับด้วยดอกไม้สดทั้งหมด เพื่อให้ความสดชื่นเป็นธรรมชาติ
โถงต้อนรับบริเวณล้อบบี้และรีเซปชั่น จะมองเห็น Art piece ที่เป็นเกลียวคลื่นเหมือนสายน้ำยามมีพายุฝนประดับด้วยสีทอง ซึ่งเป็นสีของความมั่งคั่ง
เค้าท์เตอร์ถูกออกแบบให้เหมือนผ้านุ่งของสตรีโบราณมีความจับจีบและขลิบด้วยสีทอง เก๋มาก
ส่วนแชนเดอร์เลียร์ จะเป็นฟรีฟอร์มรูปทรงกลมที่เคลื่อนไหวได้ เพื่อให้แขกจินตนาการ ได้ตามอำเภอใจ ว่าจะเป็นฝูงนก ที่บินตอนมีพายุฝน หรือเป็นความระยิบระยับของดาวก็ได้
เป็นมุมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในโรงแรมครับ
ผมพักห้องแบบ Premier River View บนชั้น 7 ซึ่งจะเห็นวิวแม่น้ำชัดเจน ใจจริงอยากได้ชั้นสูงกว่านี้ แต่ตอนนี้โรงแรมเปิดให้บริการสูงสุดถึงแค่ชั้นนี้ครับ
เดินออกจากลิฟต์ผ่าน corridor ที่เจาะช่องผนังไว้ทำให้เกิดแสงส่องเป็นลวดลายงดงามแปลกตาดีครับ
บริเวณโถงกลางก่อนเข้าห้องพัก มีบริเวณค่อนข้างกว้างกว่าโรงแรมอื่นที่เคยเห็น ออกแบบให้เป็น Exibition ขนาดย่อม แขวนงานศิลปะเอาไว้ ให้เราได้นั่งชมหรือนั่งพักรอลิฟต์อีกจุดได้ที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ห้อง Premier River View ขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร ลงตัวกำลังดี ทำเลอยู่ใน Front row เป็นมุมที่มองเห็นแม่น้ำได้ชัดเจน เพดานห้องสูงโปร่ง 3.8 เมตร กอปรกับตกแต่งโทนสีขาวครีมค่อนข้างสว่าง ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ
การจัดวางภายในทำได้ลงตัว ทั้งเตียง เดย์เบดที่เอาไว้นั่งชมวิวแม่น้ำ และมุมพักผ่อนทำงานที่จัดไว้อีกด้าน
ห้องพักของที่นี่ ตกแต่งแบบเรียบง่ายที่มีกลิ่นอายความเป็นไทย โดยใช้งานศิลปะแบบโมเดิร์นเข้ามาประดับ สอดรับกับชุดเตียงสีขาว หมอนปักโลโก้โฟร์ซีซั่นส์ ทำให้น่านอนมากขึ้น 555
ระบบภายใน ใช้ Switch ควบคุมระบบไฟและม่านที่มี 2 ชั่น เปิดเป็นม่านโปร่งเพื่อกรองแสงในตอนกลางวันและเปิดสนิทเป็นม่านทึบได้ในเวลากลางคืน แสงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามารบกวนการนอนของเราเลยครับ แต่ผมชอบนอนเปิดม่านมากว่า อยากเห็นเจ้าพระยายามค่ำคืน
บนหัวเตียงมีเครื่องอำนวยความสะดวกในการติดต่อไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ และ iPad
มุมหนึ่งของห้องจัดเป็นมินิบาร์ที่ฟรีชา กาแฟและช็อคโกแลตวางไว้ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และอุปกรณ์ในการมิกซ์ดื่มไว้ของแขกจัดวางในบริเวณเดียวกันเป็นมาตรฐานของโรงแรมครับ ส่วนนี้ชำระเงินเพิ่มนะ
กาแฟเป็นแคปซูลเติมให้ทุกวัน ส่วนชาที่จัดเตรียมไว้ใช้ของแบรนด์ Voyage ซึ่งเป็นชาที่มีคุณภาพระดับโลกแบรนด์หนึ่ง
ผมชงเอสเพรสโซ่มาทานกับขนมซึ่งเป็น Complimentary วันนี้เป็นทาร์ตสัปปะรดจาก The Lounge อร่อยมากครับ ตัวสัปปะรดจากภูแลหอมมาก ทานแป๊บเดียวหมดเลย
มุมพักผ่อนและนั่งทำงานในอีกด้านของห้อง จะมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา วิวตอนบ่ายยามแสงและเงาตกกระทบแม่น้ำแล้วส่องขึ้นห้องพัก ผมว่าเป็นภาพที่สวยดี
ภายในมีหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของเมืองไทยและกรุงเทพมหานคร จัดเตรียมไว้ในซองพลาสติกที่ซีลอย่างดี พร้อมกับจัดเตรียมหน้ากาก สเปรย์แอลกอฮอลล์ไว้ให้ ถัดไปตรงข้ามกับเตียงนอนเป็นสมาร์ททีวีที่เชื่อมต่อจากมือถือเราได้เลย
คว้า Bathrobe แล้วเดินเข้าห้องน้ำกันดีกว่าครับ Bathrobe ของที่นี่จะหนา นุ่มและหนักนิดนึง 555
ห้องน้ำจะอยู่ด้านขวาของเตียงนอนซึ่งสามารถเข้าได้จาก 2 ฝั่งเป็นประตูตัว V ฟังก์ชั่นแรกจะเป็นอ่างล้างหน้าหินอ่อนสีดำขนาดใหญ่แยกส่วน His & Her มีขวดน้ำวางไว้พร้อม Amenities ในห้องน้ำที่โรงแรมเลือกใช้ของแบรนด์ MFK (Maison Francis Kurkdjian) จากฝรั่งเศส ซึ่งยังไม่เคยเห็นโรงแรมไหนเลือกใช้มาก่อนครับ กลิ่นอ่อนๆ นวลๆ ของโลชั่นทำให้ต้องนำส่วนที่เหลือกลับบ้านไปด้วยเพราะติดใจ
ส่วนมากผมชอบสะสม Amenities ของโรงแรมที่เหลือจากการใช้ ไม่ได้ขอใหม่เพิ่มครับ
MFK : Maison Francis Kurkdjian Paris กลิ่นที่โรงแรมเลือกใช้ออกแนวเป็นกลิ่นดอกไม้ละมุนๆ มีความเป็นผู้หญิงหวานๆ ครบทั้งแชมพู ครีมนวด ครีมอาบน้ำ สบู่ และโลชั่น
ส่วนด้านล่างในลิ้นชักตรงอ่างล้างหน้า มี Amenities ให้ครบเช่นกัน จัดเรียงเอาไว้ เป็น Travel Size
อ่างอาบน้ำจะอยู่มุมประตูตัว V พอดีครับ เป็นห้องน้ำที่จัดวางผังได้ลงตัวเป๊ะ เสียดายถ้าได้วิวแม่น้ำด้วยจะดีกว่านี้
ผมครอปมุมถ่ายรูปในอ่างให้ดูว่า Jean-Michel Gathy ดีไซน์ออกประกอบในงานศิลปะสอดรับกันมาก ทั้งอ่างอาบน้ำทรงไข่ บานเลื่อนประตูฉลุลาย และงานประติมากรรมประดับที่สะท้อนถึงความเป็นไทยโบราณที่ตัดทอนรายละเอียดออกไปให้ความโมเดิร์นเข้ามาแทน
อาบน้ำเสร็จแล้วไปเดินสำรวจโรงแรมกันดีกว่าครับ ผมเดินไปบริเวณโถงกลางฝั่งริมแม่น้ำจะมี Center Courtyard ไว้นั่งพักผ่อน พร้อมงาน Installation Art เป็นกระจกเงาสีแดงเรียงร้อยกันเป็นเหมือนเกลียวคลื่นประดับไว้ ตัดกับสีเขียวของใบไม้
โรงแรมมีหลายเลเยอร์มาก ขึ้นลงบันไดพอสนุก พอลงบันไดมาจะเป็นโซนสระว่ายน้ำและห้องอาหารของโรงแรมแล้วครับ
โรงแรมคุมโทนสีได้ดีครับ เป็นสีเชิงบวกหมดเลย ให้ความรู้สึกร่มรื่น อบอุ่น ทั้งฟ้าจะน้ำ เขียวจากต้นไม้ ครีมและน้ำตาลอ่อนจากตัวอาคาร ตัดด้วยสีดำเพื่อทำให้มีมิติมากยิ่งขึ้น
Stepping Stone จะเป็นสวนและน้ำอยู่ด้านนอก โอบล้อมด้วยอาคารทั้ง 4 ด้านของโรงแรมครับ เป็นสวนสไตล์ตะวันออกที่ประดับด้วยหินสีดำ ไม่เชิงเซนเสียทีเดียว เป็น Installation Art ขนาดใหญ่ที่จัดวางไว้ให้ชม จากทุกมุมของโรงแรม แต่ไม่สามารถออกไปถ่ายรูปด้านนอกได้ครับ
เดินออกมาอีกฝั่งจะเป็นโซนที่ยังไม่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ จะมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาว 30 เมตร เน้นว่ายออกกำลังกายจริงๆ ครับ ด้านในจะเป็น Fitness ที่นี่มีความกว้างใหญ่ มีอุปกรณ์ครบครัน และทันสมัยมากครับ เปิดรับแขกนอกด้วย ค่าสมาชิกสำหรับบุคคลภายนอกปีละ 98,000++ บาท
เดินตรงเข้าไปจนสุดจะเป็นห้องกิจกรรม ซึ่งมีทั้งพิลาทิส บอล มวย ส่วนโยคะบน Paddle Board จะทำกันในสระน้ำ
ส่วนอาคารด้านนอกจะเป็นอีก wing ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี เรียกว่าโซน Palm Court ถูกออกแบบให้เป็น wellness ซึ่งในอนาคตเมื่อเสร็จสมบูรณ์ โฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ จะเป็นโรงแรมที่ครบทุกความต้องการของแขกทั้งเพื่อมาพักผ่อนและดูแลสุขภาพไปในตัว
อีกฝั่งของอาคารจะเป็น Gallery ที่จะมีศิลปินมาจัดนิทรรศการต่อเนื่องกันไป ช่วงนี้ทางโรงแรมร่วมกับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย – MOCA Bangkok ครับ
มุมสระว่ายน้ำใหญ่ที่หันหน้าออกไปทางเจ้าพระยา จัดวางเดย์เบดริมสระไว้โดยรอบ ผมว่าตอนเย็นบรรยากาศดี แสงดี ถ่ายรูปสวย
เดินถ่ายรูปจนเหนื่อย เข้าห้องพักมาอาบน้ำอีกรอบก่อนลงไปดินเนอร์ครับ เปิดประตูเข้าห้อง ขอตรงดิ่งไปริมหน้าต่างก่อนเลยครับ ผมว่า แสงเย็นคือไฮไลท์เลยครับ มองจากมุมไหนย้อนไปก็สวย ทำให้ได้เห็นกรุงเทพในมุมที่แปลกตา เล่นเอาผมตะลึงไปเลย
มื้อค่ำวันนี้ที่ Riva del Fiume Ristorante เป็นร้านอาหาร Italian ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และวิวสระว่ายน้ำ ที่ออกแบบได้สวยมาก ชอบความโมเดิร์นคลาสสิคของงานดีไซน์ที่สอดแทรกไว้ในรายละเอียดของการออกแบบ
ห้องอาหาร Riva del Fiume ครีเอตโดย Andrea Accordi ชาวอิตาลีผู้หลงรักกรุงเทพสุดหัวใจ มาทำหน้าที่เป็น Executive Chef ดูแลห้องอาหารนี้ครับ
Riva del Fiume Ristorante แปลตรงตัวได้ว่า “ริมแม่น้ำ” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการพักผ่อนในวิลล่าริมทะเลสาบ COMO ทางตอนเหนือของอิตาลี
ที่นี่จะเป็น Open Kitchen เราสามารถเดินมาชมการปรุงอาหารได้เลยจึงให้ความรู้สึกเป็นกันเองและเพิ่มฟีลลิ่งในการรับประทาน
ห้องอาหารตกแต่งในสไตล์โมเดิน์น ท๊อปหินอ่อนถูกนำเข้าจากอิตาลี ผสานกับโซฟาและเก้าอี้ที่มีดีไซน์หลากหลาย จัดวางโต๊ะไว้ในหลากหลายมุมครับทั้งในส่วนของ Indoor และเปิดโล่งแบบ Al Fresco พร้อมห้องส่วนตัวที่สามารถจองได้
ที่ Riva del Fiume Ristorante จะเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนสไตล์ Authentic หลากหลายเมนูตั้งแต่โซนเหนือจรดใต้ตามความชำนาญของเชฟแอนเดรีย
“อาหารแต่ละจานบอกเล่าเรื่องราว ทั้งที่เกี่ยวกับวัตถุดิบ เรื่องราวของครอบครัวและเพื่อนฝูง เรื่องราวของความรัก ในแต่ละสูตรอาหารล้วนสื่อให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ และการพัฒนาที่เกิดขึ้นในห้องครัวทั่วประเทศอิตาลี ผมพยายามอย่างยิ่งในการรักษาแก่นแท้ของอาหารแต่ละจาน ที่คัดสรรมาเสิร์ฟที่กรุงเทพฯ” – เชฟเล่าให้ฟัง
เริ่มจากเมนู Appetizer เป็น #ขนมปังฝรั่งเศส ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ น้ำมันมะกอกคุณภาพ 3 สายพันธุ์ ที่นำเข้าจากอิตาลี จากนั้นจะเสิร์ฟ Amuse Bouche ตามมา
Crudi di Mare เป็นแซมเปิ้ลที่เลือกทานได้ 3 อย่างประกอบด้วย Gamberi rossi Mazzara del Vallo, Ricciola และ Tonno al Basilico
ผมชอบ Fonduta di Parmigiano เป็นเหมือนอาหารทานเล่น ชีสเสิร์ฟเป็นฟองดูว์ชีสพาร์เมซานในสไตล์ฟิงเกอร์ฟู้ด หยิบทานได้เลย ต้องทานทั้งคำจะสัมผัสถึงชีสที่ไหลเยิ้มด้านใน
Capesante alla Brace เป็นหอยเชลล์ฮอกไกโดที่เชฟเอาไปเซียร์ได้หวานฉ่ำมาก ทานคู่กับเจล artichokes คือเข้ากันดี
Spaghetti alla Chitarra จะเรียกว่าเป็นคาโบนาร่าแบบดั้งเดิมก็ได้ กลิ่นและรสชาติของชีสที่คลุกเคล้ามาคือดีมาก หอมมัน อร่อย
Risotto in Riva al Mare จานนี้อร่อยมาก เป็นรีซอตโต้จากซานมัสซิโม ที่ให้ความรู้สึกแบบทานอยู่ชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะเสิร์ฟข้าวรีซอตโต้คลุกในหม้อหินกันสดๆ ที่โต๊ะ ก่อนจะเสิร์ฟคู่กับ กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม ได้รสชาติหวานมันเค็มกลมกล่อม
และที่ห้ามพลาดคือ สเต๊ก ผมทาน Controfiletto ใช้เนื้อ สตริปลอยด์ Mayura วากิวเกรดพรีเมี่ยม MS9 จากออสเตรเลียที่หาทานยากมากในเมืองไทย เป็นเนื้อคุณภาพดีที่ใช้ช็อคโกแลคเลี้ยงวัว นำมากริลล์แบบมีเดียมแรร์ นุ่ม หอมหวานมากครับ ‘
Riva del Fiume Ristorante เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ผมประทับใจและเชื่อว่าน่าจะมาแรงที่สุดในปีนี้ครับ
ทานดินเนอร์เสร็จ เดินผ่านบริเวณ Center Courtyard มองเห็น Tea Lounge เปิดไฟสวยงามสะท้อนน้ำยามค่ำคืน เป็นอีกมุมที่ประทับใจครับ
มาต่อกันที่ BKK Social Club เป็น Cocktail Bar ยอดฮิตในเวลานี้ โดยที่ได้ Inspiration จากผู้คนที่บัวโนสไอเรส จึงให้ฟีลลิ่งเป็นแบบลาตินอเมริกาเก๋ๆ จากความร่วมมือกันของทาง FS และทางโรงแรมได้ร่วมงานกับบาร์เทนเดอร์ชื่อดังชาวเยอรมันอย่าง ฟิลิป บิชอป ที่เข้ามารับบทผู้จัดการด้านเครื่องดื่ม
บาร์เทนเดอร์กำลังปรุงเครื่องดื่ม Signature ให้ผมลองทาน 2 ตัวครับ คือ Submarino ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือดำน้ำ 555 จริงๆ คือ นมชอคโกแลตร้อนประเทศอาร์เจนตินา โดยที่จะนำ dark chocolate มาผสมกับนมร้อน
แต่ที่ BKK SOCIAL CLUB นำมาทำในเวอชั่นเย็น ส่วนประกอบมี นมเย็นและชอคโกแลตมูสเข้มข้นทางสูตรของร้าน
ได้เวลาเข้าห้องพัก คืนนี้นั่งฟัง ClubHouse มีคนชวนคุยเรื่องโรงแรมพอดี เลยถือโอกาสเล่าเรื่องการเข้าพักในโฟร์ซีซั่นส์กรุงเทพกันสดๆ จากบรรยากาศจริงกันเสียเลย
เช้านี้ ผมไม่ได้ลงไปทานในห้องอาหารครับ เลือกใช้บริการ In Room Breakfast จะมีเมนูให้เราเลือกทานเป็นเซ็ตครับ พนักงานเข้ามาจัดโต๊ะสายๆ ตามเวลานัดหมาย
อาหารสด อร่อย รสชาติดีตามมาตรฐานครับ แต่ที่มากกว่านั้น คือบรรยากาศที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยายามเช้า ทานข้าวไปด้วย ช่วยเสริมให้มื้อนี้อร่อยขึ้นได้จริงๆ
ผมลองทำรูปด้านซ้ายในขณะที่ยืนมองวิวไปเรื่อยๆ ให้ดูเป็นสไตล์วินเทจ ก็ดูเก๋ดีครับ ให้ความรู้สึกย้อนยุคนิดๆ ได้ฟีลลิ่งไปอีกแบบ
มื้อกลางวันทานที่ห้องอาหาร Brasserie Plamier ห้องอาหารฝรั่งเศสในรูปแบบ Brasserie มีทั้งในห้องปรับอากาศและด้านนอกรับลมเย็นๆ จากริมแม่น้ำในบรรยากาศสบายชวนนั่ง และเป็นกันเอง ที่ให้ฟีลลิ่งแบบบราสเซอรี่ ฝรั่งเศส
ปลาและอาหารทะเลเป็นวัตถุดิบหลักในเมนู และที่ห้องอาหารจะเน้นให้รสชาติเข้ากับบรรยากาศของเมืองเขตร้อนอย่างกรุงเทพฯ แต่ยังไม่ทิ้งความเป็นอาหารฝรั่งเศสแบบต้นตำหรับ จะเน้นฟีลลิ่งของการรับประทานที่เบาๆ ซอสต่างๆ จะไลท์ขึ้น เพื่อให้ทานง่าย ได้รสสัมผัสที่แท้จริงของวัตถุดิบที่มีทั้งนำเข้าและท้องถิ่น
ห้องอาหารเสิร์ฟขนมปังฝรั่งเศสที่มาพร้อมกับสโมคบัตเตอร์ จากนั้นผมลองสั่งมาหลากหลายโดยเน้นเมนูปลา หอย เป็นหลัก
หอยนางรมสดมีให้เลือกหลายแบบครับ ทั้ง Fine David Herve N3, Boudeuse David Herve N4, Tsarskaya N3 และ Speciales Gillardeau N3
อีกจานที่น่าสนใจก็จะเป็น Tartare Tuna ใช้ปลาครีบเหลืองนำมาทำเป็นทาร์ทาร์โดย คลุกเคล้ากับมะม่วงสุกและอะโวคาโด ตัดรสขิงดองและมีเดรสซิ่งมะนาว เสิร์ฟมาในชามน้ำแข็ง ทานเรียกน้ำย่อยได้ดีครับ
อีกจานเป็นโทสต์ปลาซาร์ดีนหมักด้วยมัสตาร์ดและน้ำส้มสายชูจัดเสิร์ฟมาเป็นชิ้นพอดีคำ ตัดคาวด้วย Tomato Marmalade ที่ให้รสเปรี้ยวอมหวานท็อปด้วยแตงกวาดองและหอมแดงดอง
ส่วนจานหลักเป็นปลา Sea Bass En Croute De Sel มาพร้อมกับครัชสมุนไพร อบมาสุกกำลังดี ตัวค่อนข้างใหญ่ครับ
ส่วนของหวานเลือกสั่งเป็น Passion Fruit & Banana Baked Alaska เชฟจะท๊อชด้วยรัมอีกทีให้มีกลิ่นหอม ส่วนตัวว่าออกหวานมากไปหน่อย แต่ขนมพายปีกผีเสื้อที่เสิร์ฟปิดท้ายให้มาอร่อยสมชื่อดีครับ
Brasserie Palmier ผมว่าให้ฟีลลิ่งของความเป็นปลาและอาหารทะเลที่สดใหม่ ด้วยที่ตั้งของร้านอยู่บริเวณใกล้เคียงกับตลาดสะพานปลา ก็จะได้อารมณ์ Modern Tropical Vibes ตามมาด้วย
ช่วงบ่ายไปทาน Afternoon Tea ที่มาแรงที่สุดในกรุงเทพเวลานี้ที่ The Lounge ครับ
เริ่มจากการเสิร์ฟ Refreshing เป็น Welcome Drink กันก่อน เนื่องจากปกติจะเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มแชมเปญแต่ว่าตอนที่ไปยังไม่อนุญาต ทางโรงแรมจึงเสิร์ฟเป็นชาแดงที่ได้ความเปรี้ยวหอมหวานจากไซรัป ให้ความสดชื่น
จานแรกเป็น Signature ที่มีลูกเล่นเป็นควันพวยพุ่ง ทำให้ได้ IG Shot ที่สวยงาม ประกอบด้วย เยลลี่ลิ้นจี่รสหวานหอม และไอศกรีมซอร์เบทฝรั่งให้ความสดชื่น ท๊อปด้วยโฟมมะนาว ดูแล้วเย็นตา ทานแล้วเย็นชื่นใจ
Afternoon Tea Stand จะแยกเสิร์ฟ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นของคาวและชั้นล่างเป็นของหวาน ผมเลือกทานกับชาจัสมิน ให้กลิ่นที่หอมสดชื่นดี
ผมชอบขนมที่ทำมาเป็นรูปส้มแมนดารินน่ารักดี ด้านในสอดไส้ด้วยมูสเนื้อส้มและน้ำผึ้งรสชาติหอมหวาน
Chiangmai Chocolate ทาร์ตช็อคโกแลตรสเข้มข้น จากเชียงใหม่โรย ช็อคโกแลตพาวเดอร์กันสดๆ
ส่วนเกี๊ยวล็อปสเตอร์ด้านล่างเป็นไส้ผลไม้ ตัวแป้งกรอบอร่อยดีต้องรีบทานครับ
ปิดท้ายด้วยไอศกรีมซอฟเสิร์ฟแบบทูโทนเป็นการล้างปากจบการทาน Afternoon Tea ในบ่ายวันนี้ครับ
#โดยสรุป ผมว่า Four Seasons Hotel Bangkok มีความดีงามตามมาตรฐาน Ultra Luxury Hotel และแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดประสบการณ์การเข้าพักที่เป็นไปตามโลเคชั่น ช่วงนี้เหมาะแก่การมา Staycation ที่ไม่ต้องออกไปไหนไกลๆ อยู่ในกรุงเทพก็พักผ่อนหย่อนใจทานอาหารอร่อยๆ ได้ครับ
สำรองห้องพักและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-032-0888 หรือ www.fourseasons.com/bangkok