เปิดคอนโดทองหล่อหรูหราที่สุด
นั่งโซฟาที่ล็อบบี้ตัวละ 3 ล้าน ส่วนกลางจัดหนัก
EXQUISITE LIFE EXPERIENCE -กานต์ชอบคำนี้มากครับ
_
เป็นวลีที่สะท้อนความเป็นจริงของปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ในยุคที่ทุกคนต่างมุ่งหา “ประสบการณ์ชีวิต” ที่แตกต่างกันไป ตามนิยามและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
ส่วนผม แน่นอนว่า ยังคงคอนเซ็ปต์ Luxury Design Lifestyle เป็นหลักครับ พอได้เข้ามาชมคอนโดมิเนียมสุดหรูแห่งทองหล่อที่ชื่อไพเราะมาก “ลาวีค” (LAVIQ) ผมจึงอยากเล่าถึงประสบการณ์อันยอดเยี่ยมในมุมมองของผม โดยไม่ลืมที่จะถ่ายภาพในคอลเลคชั่น LAVIQ มาฝากกันเช่นเคยครับ
•Location คือ ความยอดเยี่ยมที่ผมสัมผัสได้เมื่อมาถึงโครงการในซอยสุขุมวิท 57 ซึ่งขับรถเข้ามานิดเดียวเองครับ ถ้าเป็นรถไฟฟ้า BTS ยิ่งสะดวก เพราะอยู่ห่างแค่ 100 เมตรจาก Sky Walk เดินไม่ถึง 3 นาทีครับ สามารถเข้าไปหาอะไรอร่อยๆ ทานในซอยทองหล่อได้เลยนับว่าสะดวกมาก
•Design เน้นความหรูหราทั้งภายนอกและภายใน มองจากสถานีรถไฟฟ้าจะเห็นได้ทันทีว่างาน Exterior ดูหรูหรามาก พอเข้ามาด้านใน ได้เห็น Interior คือ Luxury สุดๆ กวาดสายตามาเจอกับเปียโนสีขาวตั้งอยู่กลาง Lobby รู้เลยว่านี่ต้องมาเป็นคอลเลคชั่น FENDI CASA แฟชั่นแบรนด์สุดหรูจากอิตาลีที่มีเอกลักษณ์ ผสมผสานกลิ่นอายความเป็นแฟชั่น สะท้อนรสนิยมด้านไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย จน LAVIQ ได้รับความไว้วางใจจาก FENDI CASA ให้ใช้คำว่า “Glamorously Inspired by FENDI CASA” เฟอร์นิเจอร์ Super Brand Name ที่มีคุณภาพและมีราคาสูง พูดได้เลยว่าไม่ใช่โครงการระดับ Super Luxury ทุกโครงการจะให้สิ่งเหล่านี้กับลูกค้าได้นะครับ แค่โซฟาที่วางอยู่ก็ชุดละ 3 ล้านบาทแล้วครับ จัดวาง 2 ชุด หมอนอิงอีกใบละประมาณ 3 หมื่นบาท รวมมูลค่าการตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางทั้งโครงการมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาทเองครับ
แหม … จัดหนักมาก
•Service สิ่งที่เหนือระดับไปกว่าคอนโดมิเนียมทั่วไป ผมว่าคือการยกระดับงานบริการและอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน พอมาเป็นโครงการระดับ Super Luxury การบริการจึงต้องเป็นระดับสูงสุด ที่นี่มีการนำ Concierge Service เข้ามาใช้ด้วย เพื่อยกระดับการบริการให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิตอย่างง่ายดายและสะดวกมากขึ้น
ไปชมภาพและติดตามเรื่องราวสุด Exquisite ในคอลเลคชั่น LAVIQ กับห้อง Real Duplex Corner คอนโด 2 ชั้นใจกลางทองหล่อที่กานต์สุดหล่อถ่ายรูปมาฝากกันต่อด้านในดีกว่าครับ
—
LAVIQ : Exquisite Life Experience
สนใจสอบถามข้อมูลและนัดหมายเข้าชมโครงการได้ที่โทรศัพท์ 0641842431
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3jDgrSr
Glamorously Inspired by FENDI CASA
โครงการ LAVIQ สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียม High Rise 33 ชั้น ระดับ Super Luxury Class ที่ออกแบบตัวอาคารภายนอกได้สวยมากครับ โดยเฉพาะยอดตึกมีลายเส้นและดีไซน์ที่พริ้วไหว ได้แรงบันดาลใจมาจากผ้าพันคอของ FENDI โดยที่ได้ทีม ออกแบบระดับโลกมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ไม่ว่าจะเป็น อาทิ Palmer & Turner บริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านงานออกแบบจากฮ่องกง, DWP บริษัทไทยที่มีผลงานการตกแต่งภายในที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ส่วนงานภูมิสถาปัตย์ใช้บริการของ Shama ที่มีจุดเด่นคือมุ่งเน้นการออกแบบเพื่อความยั่งยืนของธรรมชาติและมนุษย์ เมื่อรวมความเป็นที่สุดของทุกฝ่ายเข้าไว้ด้วยกัน ออกแบบให้มีจำนวนยูนิตไม่มาก แต่เน้นห้องใหญ่จำนวนยูนิตต่อชั้น ไม่เกิน 11 ยูนิต จึงให้ความเป็นส่วนตัวสูง โครงการ LAVIQ จึงได้รับความสนใจจากลูกค้าและนักลงทุนเป็นจำนวนมากครับ สามารถปิดการขายในแต่ละยูนิตได้อย่างรวดเร็ว จนตอนนี้มีห้องเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
ในรีวิวนี้เราจะได้ไปชมห้องตัวอย่างแบบ Duplex ยูนิตพิเศษแบบ 2 ชั้นใจกลางทองหล่อ ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นเทรนด์ของการอยู่อาศัยในคอนโด แต่ได้ฟีลลิ่งเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว 2 ชั้นครับ
อาล่ะ เข้ามาด้านในโครงการผมวนรถขึ้นไปจอดบนอาคาร ซึ่งที่ LAVIQ ที่จอดรถ 100% นะครับ หายากมากในบรรดาอาคารย่านทองหล่อ ที่ได้ชื่อว่าราคาที่ดินสูงมาก Developer หลายรายจึงเลือกที่จะสร้างเป็นห้องพักขายดีกว่าจัดเป็นที่จอดรถ เรียกได้ว่าขอมีแค่ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดก็พอครับ ประกอบกับจำนวนยูนิตที่มีน้อยเพียง 235 ห้องเท่านั้น ทำให้ได้รับความเป็นส่วนตัวสูงมากครับ
ด้านหน้าทางเข้าอาคารจะมี Door Man Service คอยเปิดประตู ด้านในจะเป็น Concierge Service มาตรฐานเดียวกับโรงแรมระดับ 5 ดาวเลยครับ นับว่าเป็นการยกระดับการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมได้ยอดเยี่ยมมากครับ พอมาเป็นโครงการระดับ ระดับ Super Luxury Class การบริการจึงต้องเป็นระดับสูงสุด ที่นี่มีการนำ Concierge Service เข้ามาใช้ด้วย เพื่อยกระดับการบริการให้ลูกบ้านได้ใช้ชีวิตอย่างง่ายดายและสะดวกมากขึ้น จัดให้มีที่จอดรถสำหรับ Super Car, Super Bike และ Bicycle Garage มีจุด EV ชาร์จพลังงานยานยนต์ไฟฟ้า เติมเต็มความต้องการในส่วนของเซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็นส่งจดหมายถึงหน้าห้องพัก การซ่อมบำรุงในห้องพัก การปล่อยเช่าและขายห้อง เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วจริงๆ ครับ
ผมประทับใจใน Lobby Foyer บริเวณนี้ที่มีความสูงถึง 5.80 เมตร บวกกับผนังด้านข้างที่เป็นกระจกทั้งหมด ช่วยทำให้พื้นที่นี้มีความโปร่ง โล่งสบาย ผ่อนคลาย ไม่รู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ใจกลางสุขุมวิทที่วุ่นวายเลยครับ
จากโถงต้อนรับส่วนหน้า มองมาทางซ้ายจะเป็น Library & Meeting room ที่กว้างมากและสวยงามด้วยการตกแต่งที่หรูหรา จัดมุมที่นั่งกระจายไปทั่วห้องซึ่งเพียงพอต่อการรองรับความต้องการของลูกบ้านได้อย่างหลากหลาย โต๊ะอ่านหนังสือท๊อปสวยมาก เป็นหินอ่อน Toronto Brown นำเข้า ใช้เป็น Co-Working Space นั่งอ่านหนังสือมุมนี้แล้วมองออกไปผ่านกระจกบานสูงใหญ่ Full High Glass Window เราจะเห็นสวนสีเขียวภายนอกด้านหน้าเรียกว่า Sanctuary Hills ดูสดชื่นดีจังครับ ด้วยความที่ตัวอาคารจากด้านหน้าถนนเข้ามาค่อนข้างมาก จึงปรับพื้นที่ด้านหน้าให้เป็นสวนสีเขียวขนาดใหญ่ยกสูงจากริมรั้วจากนั้นค่อยๆ ลดระดับลงมา จะได้ช่วยบังสายตาจากภายนอกได้ ให้ความเป็นส่วนตัวและยังช่วยซัพเฟอร์เรื่องเสียงได้ดีอีกด้วย
ด้านในสุดเป็น Meeting Room เพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัวครับ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเปิดประตูออกไปนั่งอ่านหนังสือได้ที่บริเวณด้านนอกซึ่งจัดที่นั่งเอาไว้อำนวยความสะดวกให้เช่นกันครับ
ห้องสมุดน่าจะเป็นมุมโปรดของผมถ้าได้อยู่อาศัยที่ LAVIQ แห่งนี้ ผมชอบตู้หนังสือของที่นี่มาก เป็นหนังสือจริงๆ นะ ไม่ใช่ม๊อคอัพ เนื้อหาที่คอลเลคมาส่วนมากจะเกี่ยวกับอาร์ต แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ มีนิยายแทรกเข้ามาบ้าง เรียกได้ว่าน่าอ่านทั้งนั้นเลยครับ
ออกจาก Library & Meeting room เราจะผ่านประตูเข้าไปยังด้านในกันครับ ยอมรับว่า ชอบการตกแต่งบริเวณด้านหน้าส่วนนี้มาก ดูเรียบหรู การเลือกสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่งที่ดูดีมีรสนิยม
เปิดประตูเข้ามาด้านในจะเป็นส่วนของ Lobby Lounge ซึ่งแกรนด์มาก ๆ ครับ เราจะเห็นงานศิลปะจาก FENDI ที่ประดับไว้โดยรอบ ตรงกลางโดดเด่นด้วยโคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่คอยส่องแสงให้เปียโนที่บุด้วยหนังจรเข้สี Ivory ที่ดูเฉิดฉาย ซึ่งกลายเป็น Signature ของ FENDI CASA ตั้งอยู่บนฐานกระเบื้องหินอ่อน Black Marquina ดูขาว-ดำ คลาสสิคดีมากครับ
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า Lobby Lounge ของ LAVIQ ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางมาจากแบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกอย่าง Fendi Casa จนได้รับความไว้วางใจจาก FENDI CASA ให้ใช้คำว่า “Glamorously Inspired by FENDI CASA”
ใครที่เป็นแฟน Fendi จะเข้าใจในฟีลลิ่งของแบรนด์ว่า สำหรับคนที่ชอบแฟชั่น รักการแต่งตัว ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับบ้านบ้าง วัสดุที่ใช้เป็นหลักก็จะเน้นความเป็นธรรมชาติในการตัดเย็บเช่น งานบุผ้า งานหนัง เป็นต้น
แน่นอนว่าด้วยความปราณีตของขั้นตอนการผลิต ทำให้เฟอร์นิเจอร์ FENDI CASA มีราคาสูงตามไปด้วย อย่างชุดโซฟาที่เราเห็น ราคาชุดละ 3 ล้านบาท จัดวางด้วยกัน 2 ชุด ส่วนหมอนอิงใบละประมาณ 3 หมื่นบาท ผมก็ไม่พลาดที่จะไปลองนั่งโซฟาตัวละ 3 ล้านกับเค้าดูบ้างครับ
เดินเข้าไปด้านในจะผ่านเข้าสู่ประตูอีกชั้นที่จะเปิดออกไปสู่โถงลิฟต์สำหรับโดยสารมีด้วยกัน 3 ตัวครับ โดยจะพาไปชมห้องตัวอย่างบนชั้น 7-8 เป็นห้องแบบ Real Duplex Corner 2 ชั้น ขนาด 97 ตร.ม. 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ สามารถเข้าออกได้ทั้ง 2 ชั้น รวมถึงแยกห้องนอนและห้องน้ำไว้คนละชั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งจะมี 2 ชั้นภายในหนึ่งห้องในตำแหน่งที่ตรงกัน เรียกได้ว่าเป็น Rare Item เพราะทั้งอาคารจะมีห้อง type นี้จำนวนไม่มากครับ
ด้านหน้าประตูติดตั้ง Digital Door Lock เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องขวามือจะเป็นห้องครัวซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ตามไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ไม่ค่อยนิยมทำอาหารทานเองแบบที่ต้องมีครัวไทย มีเพียงแค่เคาน์เตอร์ที่มีอุปกรณ์ครัวครบครัน เช่น ชุดครัวท๊อปด้วยหิน Quartz มีความแข็งแรงทนทานต่อรอยขีดข่วน มีอุปกรณ์ประกอบมาให้ครบถ้วน ติดตั้งเตาไฟฟ้า 4 หัว พร้อมครื่องดูดควันของ Kuppersbusch อ่างล้างจาน Teka พร้อมก๊อกน้ำทรงสูงที่มีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น ตู้เก็บของบนล่างหน้าบานตู้เป็น Hi-gloss สีแชมเปญ สั่งทำพิเศษเฉพาะโครงการนี้ ออกแบบให้มีพื้นที่จัดวางตู้เย็น Combi Oven เครื่องซักผ้า ผมว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะทาร์เก็ตในการตกแต่งของห้องนี้ที่มีอิมเมจของความเป็นผู้ชายค่อนข้างสูง ทำให้ครัวไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่มากก็ได้ ผมเองซึ่งเป็นคนชอบทำอาหารง่ายๆ ไว้ทานเอง ยังคิดว่าครัวขนาดเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตใจกลางเมือง
ห้องนี้จะเป็นห้องที่ขายพร้อมตกแต่งแบบนี้เลยครับ เรียกได้ว่าสะดวกมากหากใครชอบสไตล์การตกแต่งโทนนี้ วางเงินแล้วหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้ทันทีเลยครับ นอกจากนี้ทางโครงการยังได้ติดตั้ง ตัวควบคุมอุณหภูมิน้ำร้อนระบบ Thermostat พร้อมด้วยระบบ Video Door Phone และแอร์ฝังฝ้าเพดานเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ
ถัดจากห้องครัวจะเป็นห้องน้ำชั้นล่างซึ่งติดตั้งสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้าและ Shower Box แต่จะไม่มีอ่างอาบน้ำ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นบันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2 ซึ่งเรายังไม่รีบขึ้นไปนะครับ จะพาชมไฮไลท์ห้องต่างๆ บริเวณชั้นล่างนี้ก่อนครับ
ชั้นล่างจัดวางโต๊ะรับประทานอาหารเชื่อมต่อกับครัวที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้สะดวกมาก หากเรามีปาร์ตี้เล็กๆ กับเพื่อนฝูง เน้นสังสรรค์ทำอะไรอร่อยๆ ง่าย ๆ ทานกันเอง ห้องตัวอย่างจัดวางเก้าอี้ไว้สำหรับ 4 ที่นั่ง แต่จากสายตาที่มองดูขนาดพื้นที่ในบริเวณนี้แล้วสามารถจัดโต๊ะใหญ่ขนาด 8 ที่นั่งได้สบาย ๆ เลยครับ เพราะมีพื้นที่เหลือเยอะมาก รองรับได้ทุกไลฟ์สไตล์
หรือแม้แต่การออกแบบให้ Living Area อยู่ใกล้ๆ โต๊ะรับประทานอาหาร ก็นับว่าสะดวกดีในดูหนัง ฟังเพลง ทานข้าวสังสรรค์ ช่วยให้การเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงครอบครัว ทำได้ไหลลื่น ต่อเนื่องไม่มีสะดุดครับ
ยิ่งช่วงนี้ ต้องเน้นย้ำระมัดระวังเรื่องการรักษาระยะห่าง ดังนั้น ผมว่าถ้าเรามีห้องกว้างๆ มีพื้นที่มากพอ ก็ต้องขอจัดปาร์ตี้แบบส่วนตัวสุด Exclusive กันสักหน่อย ซึ่งห้อง Duplex ของ LAVIQ ถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชายทองหล่อแบบผมมากเลยครับ
ถัดไปด้านในสุดบริเวณ Living Area จัดวางชุดโซฟาขนาดใหญ่หลายที่นั่งเอาไว้ พร้อมกับโต๊ะกลางทรงกลม ด้านในริมชิดติดผนังจะเป็นตู้เก็บของขนาดเล็ก ส่วนทีวีแนะนำว่าแขวนเอาไว้แบบนี้ก็สวยงามดูโมเดิร์นไปอีกแบบครับ
ส่วนตัวผมชอบพื้นที่ด้านในสุดติดระเบียง เพราะว่าสามารถเปิดประตูกระจกออกไปรับลมได้ในบรรยากาศของกรุงเทพสีเขียวที่เราไม่ค่อยได้พบเจอกันมากนัก การออกแบบห้องแบบหน้ากว้างและการใช้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ทำให้รับแสงและวิวได้ดี ด้วยความที่ทางโครงการจัดให้มีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างมาก พอห้องที่มีระดับความสูงยังไม่มากนัก ก็จะได้รับร่มเงาราวกับเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติแวดล้อม จุดนี้ชอบมากครับ
แต่ถ้าวันไหนออกไปดื่มสังสรรค์ที่ร้านย่านทองหล่อเพราะว่าอยู่ใกล้มาก ถ้าเมานักผมว่าก็นอนมันตรงโซฟานี่แหละ โทษฐานที่โซฟาใหญ่เกิ้น นอนสบายมาก เดี๋ยวสายๆ ก็จะมีแดดเข้ามาปลุกเราเอง
ส่วนอีกห้องจริงๆ คือห้องนอนที่สองครับ ผมชอบการออกแบบให้ทางเข้าเป็นประตูทรงโค้ง ARCH ซึ่งขอบบนของประตูทำจากไม้ต่อเนื่องกันไปเป็นชิ้นเดียว ดูเก๋มาก
สำหรับห้องตัวอย่าง ออกแบบให้เป็นห้องเอนกประสงค์แบบส่วนตัว เอาไว้ทำกิจกรรมที่เราชอบเช่น งานเพนท์ติ้ง นั่งเล่นเกม นอนอ่านหนังสือหรือจัดเป็นห้องเธียเตอร์สำหรับดูหนังส่วนตัวก็เข้าท่าดีนะครับ
การตกแต่งภายในของห้องตัวอย่างจะเป็นโทนสีออกน้ำตาล ทอง เน้นความวิบวับหรูหราเงางามจากข้าวของที่เลือกมาประดับ
“An artist is an artist only because of his exquisite sense of beauty, a sense which shows him intoxicating pleasures, but which at the same time implies and contains an equally exquisite sense of all deformities and all disproportion.”
-Charles Baudelaire
มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์คือการเดินขึ้นบันไดไปชมชั้น 2 ของห้องตัวอย่างซึ่งเป็น Master Bedroom ครับ ผมชอบความรู้สึกในการขึ้นลงบันไดนี้มาก เพราะเหมือนเราได้อยู่บ้านเดี่ยว 2 ชั้น แต่ทำเลคือใจกลางเมืองในย่านที่ได้ชื่อว่าที่ดินราคาสูงมาก ไม่สามารถสร้างบ้านเองได้ในงบประมาณเท่านี้แน่นอน
สำหรับที่ LAVIQ เราจะได้โถง Living ที่ค่อนข้างสูงเท่ากับตึก 2 ชั้น ความสูงจากพื้นจรดเพดานชั้นบน 6.2 เมตร ด้านข้างเป็นกระจกใส Full High Glass Window ทำให้ห้องดูสูงโปร่ง โล่งสบาย เหมาะแก่การพักอาศัยที่สุด เราสามารถชมความเคลื่อนไหวในพื้นที่ชั้นล่าง จากราวทางเดินที่เพื่อไปยังห้องนอน ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการจัดวางโต๊ะทำงานเอาไว้ให้ด้วย เป็นไอเดียที่ดีมาก ทำให้เห็นภาพที่แปลกตาออกไป ช่วยให้จินตนาการบรรเจิดระหว่างนั่งทำงานเพลินๆ ครับ
หากสังเกตดีๆ จะพบว่า ทางโครงการตั้งใจออกแบบให้ห้องนี้เป็นห้องแบบ Duplex ตั้งแต่แรก ไม่ใช่การนำห้องเปล่า 2 ห้องมาเชื่อมต่อกันด้วยการเจาะโถงบันได
Master Bedroom มีขนาดใหญ่มาก ภายในตกแต่งโทนสีดำขลิบทอง เข้ากันดีกับมุมอื่นๆ ภายในห้อง เราสามารถจัดวางเตียงนอนขนาด King Size ได้สบายเลยครับ แถมยังมีพื้นที่เหลือสามารถเดินได้รอบ ส่วนหัวเตียงบุด้วยไม้สีเข้มพร้อมกับคิ้วที่เป็นลวดลายคลาสสิค สามารถจัดวางตู้หัวเตียงขนาดย่อมพร้อมโคมไฟได้ อีกด้านจะเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ เพราะจะเรียกว่าเป็นโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับผู้ชายก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นมุม Grooming ก็แล้วกัน เพราะนอกจากเอาไว้นั่งเสริมหล่อแล้วยังเติมอาหารสมองเพราะนั่งอ่านหนังสือหรือทำงานที่มุมนี้ได้ครับ
ห้องนอนหลัก สามารถเปิดออกไปด้านนอกได้จากด้านบนนี้เลย เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องลงไปออกทางประตูชั้นล่าง แต่สำหรับห้องตัวอย่าง เมื่อเปิดประตูใหญ่ออกไปจะเป็นชั้น 8 แล้วนะครับ อย่าจำสับสน
ภายในห้องนอนมาพร้อมกับ Walk – in Closet ในตัว ถูกใจผมมากเลยครับ ชอบการลงดีเทลภายในห้องแต่งตัว ซึ่งมีครบมาก คอสตูมทุกชิ้น บ่งบอกถึงคาแรกเตอร์ของลูกค้าที่จะมาเป็นเจ้าของห้องนี้ได้ดีเลยครับ
ห้องนอนจะมีห้องน้ำในตัวพร้อมอ่างอาบน้ำและฝักบัว เรียกได้ว่า Full Bath กันเลยทีเดียว ห้องน้ำใช้สุขภัณฑ์และอุปกรณ์จาก Gessi และ Villeroy and Boch ซึ่งจะได้เป็นแบบ 4 Fixtures โดยมีการแยก Function พื้นที่ส่วนเปียก-แห้งออกจากกันอย่างชัดเจน มีการติดตั้งฉากกั้นเป็นกระจกใสสำหรับอาบน้ำด้วย ผมลองทำภาพที่ถ่ายเล่นๆ ในอ่างอาบน้ำให้เป็นสไตล์ฟิล์ม ก็ดูเท่ไปอีกแบบนะ ว่าไหมครับ
พามาชมพื้นที่ส่วนกลางโซนด้านบนกันบ้างครับ ซึ่งจะกระจายกันไปไหนหลายๆ จุด เริ่มจากสวนบริเวณชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นเริ่มต้นของห้องพักอาศัยและมีพื้นที่ส่วนกลางให้ได้ใช้งาน ชั้นนี้มีมุมโปรดที่ผมชอบมาก เพราะเราจะสามารถเชื่อมต่อกับต้นไม้ได้จากในห้อง Duplex ที่ระเบียงบนชั้น 7 ได้เลยครับ อยากจะจัดโต๊ะกาแฟเล็กๆ สักชุดมาไว้นั่งจิบอะไรเบาๆ นั่งชมสวนกลางเมือง ให้ลมพัดเข้าหน้าเย็นๆ คงจะเป็นบรรยากาศที่ดีมาก
ชั้น 6 ออกแบบให้เป็น Sculptural Garden เป็นสวนดีไซน์เล่นระดับ ออกแบบให้มีน้ำไหลผ่านเพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ตอนนี้ต้นไม้เริ่มโตขึ้น เหมาะที่จะเป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจของลูกบ้าน ดูแล้วร่มรื่นมาก สวนหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทำให้เช้าๆ ไม่ค่อยเจอแดดมานั่งเล่นอ่านหนังสือได้สบาย มีที่นั่งจัดวางแบบหลวมๆ กระจายตัวกันออกไปทั่วบริเวณ ส่วนบรรยากาศของซันเซ็ตยามเย็นคือดีมากครับ
เราขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 29-30 กันต่อครับจะเป็นชั้นที่รวม Facility ส่วนใหญ่ของโครงการ โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก FENDI เช่นเคยครับ
ชั้น 29 จะมีไฮไลท์คือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่รูปตัวแอล (L) แบบ Infinity Edge Swiming Pool ที่มองเห็นวิวเมืองได้อย่างสวยงาม เป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือควบคู่กับระบบโอโซน ซึ่งเป็นระบบบำบัดน้ำในสระที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถฆ่าเชื้อโรคในระยะเวลาอันสั้น สระมีขนาด 5 x 36 เมตร ความยาวทางตรงด้านหน้าอาคารประมาณ 24 เมตร สระลึก 1.20 เมตร
มีพื้นที่บางส่วนของสระออกแบบให้อยู่ในร่ม บรรยากาศค่อนข้างปลอดโปร่งและหรูหราด้วยการออกแบบให้เพดานยกสูงขึ้นไปแบบ Double Volume ทำให้เราสามารถหลบแดดมาว่ายน้ำเล่นได้ในช่วงเวลากลางวัน โดยที่ไม่แสงแดดรบกวน อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ต้องการวิตามิน D ทางโครงการได้จัดวาง Sun Bed มาให้นอนพักผ่อนอาบแดดกันได้หลายจุด และมีและ Day bed แบบ Sunken ที่ฝังในสระว่ายน้ำอีก 4 จุด พร้อมกับปลูกต้นไม้แทรกเพื่อคอยให้ร่มเงา
ที่สระว่ายน้ำออกแบบให้มีพื้นที่ของสระสำหรับเด็กด้วยครับ มีน้ำพุเบาๆ เอาไว้ให้เล่นพอสนุกสนาน เมื่อขึ้นลงสระจะเป็นพื้น Absorp รองรับไว้เพื่อป้องกันเด็กๆ ลื่นล้มกระแทก โดยรอบจัดวางชุดเก้าอี้เอาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่มานั่งรอระหว่างที่เด็กๆ กำลังเพลิดเพลิน
นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ Kid Rock Climbing เอาไว้ให้เด็กได้มาปีนหน้าผาจำลองเล่นสนุกกัน และจัดให้มี Steam Room เรียกเหงื่อเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่ไว้คอยให้บริการอีกด้วยครับ
นอกจากนั้นยังมีห้อง Golf Simulator สนามกอล์ฟจำลองสำหรับดวลวงสวิงแบบไม่ต้องลงสนามจริง เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่นี่มาก
เรียกได้ว่าพื้นที่ส่วนกลางสามารถรองรับการทำกิจกรรมของลูกบ้านได้หลากหลาย แต่ยังไม่หมดเท่านี้นะครับ จากสระว่ายน้ำจะมีทางเดินไปส่วนของ Social Club, Party Terrace และ Sky Deck ที่จะพาไปชมกันต่อครับ
Party Terrace และ Sky Deck อยู่ด้านหน้าทางเข้า Social Club ออกแบบให้เป็นพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air จัดวางชุดโซฟาพร้อมโต๊ะกาแฟมาให้ลูกบ้านได้มานั่งพักผ่อนกันพร้อมกับจัดโต๊ะยาวแบบ 8 ที่นั่งมาให้สังสรรค์กันมีบริการเตาย่างบาร์บีคิวให้ด้วย สามารถจองใช้บริการกับทางนิติฯได้เลย ติดกันจะเป็น Sky Deck ออกแบบที่นั่งเป็น Sunken Seat เหมาะสำหรับนั่งชมวิวช่วงเย็นๆ ตอนพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศดีมาก
“If you are in a beautiful place where you can enjoy sunrise and sunset, then you are living like a lord.”
-Nathan Phillips
ไฮไลท์ของชั้น 29 อีกจุดคือ Social Club มุมสังสรรค์ปาร์ตี้ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง ภายใน จัดวางเฟอร์นิเจอร์จาก Fendi Casa เอาไว้ทั้งหมด หรูหรามาก บางมุมเป็นที่นั่งริมกระจกบานใหญา่ สามารถเทควิวสุขุมวิทได้สวยงาม ออกแบบให้มีที่นั่งเอาไว้ให้หลายจุด หลายมุมเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว
แต่ยังเชื่อมต่อกันได้ด้วยโต๊ะพูลสีแดงผ้าสักหลาดขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ สามารถเอาไวน์ขึ้นมาดื่มชมวิวเมืองได้สบายๆ เป็นอีกจุดที่ผมชอบ อยากมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่มุมนี้
ส่วนฉากหลังของสระว่ายน้ำจะเป็นบันไดขึ้นไปยัง Facility ชั้น 30
Spiral Staircase เป็นบันไดทรงเกลียวที่ผมเห็นแล้วชอบมาก อยากขึ้นไปถ่ายรูปทันที ได้รับแรงบันดาลใจมากจากรันเวย์แฟชั่นของ FENDI
ทางเดินเข้าอาคารที่ชั้นบนจัดวางโต๊ะขนาดใหญ่สำหรับนั่งสังสรรค์ ซึ่งผมสังเกตว่าทางโครงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางไว้หลากหลายและกระจายตัวไปทั่วอาคารเพื่อรองรับทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านได้ครบครัน
ส่วนด้านในถัดจากฟิตเนสก็จะมี Executive Lounge และ Meeting Room สำหรับจัดประชุม สังสรรค์เป็นการส่วนตัว พร้อมกับวิวเปิดโล่งทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกด้วยกระจกบานใหญ่ ให้ความรู้สึกหรูหรา ดูเป็นทางการเหมาะสำหรับเจรจาธุรกิจกับบุคคลสำคัญ โดยลูกบ้านสามารถลงทะเบียนขอใช้ล่วงหน้า และชำระค่าบริการให้กับนิติบุคคลฯ
อย่างชั้นนี้จะเป็น Fitness Studio ที่ภายในมีการจัดวางอุปกรณ์ออกกำลังกายทั้งแบบฟรีเวทและแมชชีนเป็นของแบรนด์ Technogym โดยมีสตูลไว้ให้นั่งพักผ่อนได้ตรงกลางห้อง พร้อมกับวิวกรุงเทพฝั่งตะวันออกที่สวยมาก แต่ที่ผมชอบคือเครื่องปั่นจักรยานแบบ Simulator สนุกดีครับ เราสามารถจำลองการปั่นจักรยานไปออกกำลังกายที่ไหนก็ได้ ภายในฟิตเนสยังมีห้องโยคะวิวเมืองที่สวยมากอีกด้วย จัดให้มีเสื่อโยคะพร้อมผนังกระจกจะได้ดูท่าทางได้ถูกต้อง พร้อมมีอุปกรณ์มาให้ครบครันและมีมาให้หลายชุด
#โดยสรุป โครงการ LAVIQ สุขุมวิท 57 เป็นคอนโดมิเนียมที่โลเคชั่นโดดเด่น เพราะนับวันยิ่งหาที่ดินขนาดใหญ่ใจกลางเมืองยากขึ้นไปทุกที งานดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในเหมาะสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์หรูหรา มีความหลงใหลในกลิ่นอายของแฟชั่นควบคู่ไปกับการมีแพชชั่นในการดำเนินชีวิตที่ดี ส่งผลต่อรสนิยมในการใช้ชีวิตที่ดีตามไปด้วย จำนวนยูนิตมีน้อยเพียง จำนวน 235 ยูนิตเท่านั้น ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวสูงมาก ยอมรับว่าโครงการออกแบบสวยจริงๆครับ มีเอกลักษณ์ด้วยรายละเอียดและความประณีต เน้นการเลือกใช้วัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัว โดยมีคอนเซ็ปท์การออกแบบในสไตล์เรียบหรูและสอดแทรกความทันสมัย ทำให้สถาปัตยกรรมของโครงการ Laviq สุขุมวิท 57 มีความโดดเด่นและสง่างาม สมกับที่เป็น “Glamorously Inspired by FENDI CASA” แค่การตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จาก FENDI CASA ก็มูลค่าเกือบ 70 ล้านบาทแล้ว จัดเป็น Flagship Project ที่ทาง Real Asset ต้องการปั้นผลงานระดับมาสเตอร์พีซ เพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนได้เพื่อให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ “Exquisite Life Experience” ประสบการณ์ชีวิตที่สวยงามเหนือระดับ กับความใส่ใจในทุกรายละเอียด เป็นโครงการที่ผู้ซื้อไม่ได้มองแต่เพียงความคุ้มค่าของโครงการในเชิงตัวเลข แต่ยังมีเรื่องของ Emotional Factors เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งความภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของครอบครองสินทรัพย์ที่เป็นผลงานระดับคุณภาพ สะท้อนความหลงใหลและไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคลครับ
ส่วนห้องแบบ Real Corner Duplex คอนโด 2 ชั้น 2 ห้องนอนที่ผมไปชมมาถือว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผมมาก เพราะอยากได้ที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองอารมณ์บ้านเดี่ยว ผมว่าพอเป็น Duplex แล้วฟีลลิ่งได้ ที่สำคัญมาพร้อมกับสไตล์การตกแต่งที่เรียบหรู พร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลยทันที พร้อมรับค่าส่วนกลางฟรี 3 ปี* ราคาเริ่มต้นที่ 19.9 ล้านบาท*
สนใจสอบถามข้อมูลและนัดหมายเข้าชมโครงการได้ที่โทรศัพท์ 0641842431
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3jDgrSr