หนีไปเป็นชนเผ่าแป๊บ
รีสอร์ตดังเหมือนอยู่ในหนัง Avatar
_
ทีแรกกานต์ก็แปลกใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างชาติชอบพักที่นี่กันมาก ก่อนหน้านี้ยอดจองคือเต็มตลอดทั้งปี ตอนนี้คือรู้แล้วหลังจากได้ไปพักมา 3 วัน 2 คืน ที่ Keemala (กีมาลา) รีสอร์ตชื่อดังแห่งกมลา ภูเก็ต
มันเด็ดมากจริงๆ ครับคุ๊ณณณณณณณณณ
งานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก 4 ชนเผ่า เราจะเห็นว่ามีดีไซน์วิลล่าที่ต่างกันอยู่ 4 แบบคือ กระท่อมปฐพี, เต้นท์วิลล่าคนจร, บ้านต้นไม้เวลา, และที่ผมพักคือวิลล่าตัวท๊อป วิลล่ารังนก ที่หลายคนเคยเห็นจากใน IG นั่นแหละครับ
ที่นี่ห้ามบินโดรนนะครับ เป็นกฎเหล็กเลย เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับแขกครับ เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ก็เสียดายเหมือนกันเพราะมุมสูงรีสอร์ตคือสวยมาก ดังนั้น จะต้องใช้เทคนิคในการถ่ายรูปที่ advance ขึ้นมาอีกหน่อย
ธรรมชาติแบบเรียลๆ ที่คือสิ่งที่ผมชอบมาก เนื่องจากรีสอร์ตตั้งอยู่ในป่าตามซอกเขา เช้ามาเราจะได้ยินเสียงนกร้อง บินมาเกาะตามวิลล่า เหมือนนาฬิกาปลุก ชงกาแฟแล้วเดินออกมายืนรับลมข้างนอก เวลามองออกไปจะเห็นทะเลในมุมสูง เพราะรีสอร์ตตั้งอยู่บนเขา วิลล่าที่ผมพักคือวิวสูงและสวยสุด
นั่งเล่นสักพักจะเห็นกระรอกไต่ตามต้นไม้ไปมา จากวิลล่านู้นไปวิลล่านี้ ผมชอบเดินเข้าไปในป่าซึ่งจะต้องข้ามสะพานแขวน ผ่านลำธาร และน้ำตกเล็กๆ เข้าไปจะเจอถ้ำสำหรับนั่งวิปัสนาทำสมาธิเงียบๆ เป็นห้องกระจกติดแอร์ สบายมากครับ
มื้อค่ำเราสั่งเซ็ทอาหารอินเดียมาลองทาน ซึ่งเป็น Signature ของที่นี่ กลิ่นเครื่องเทศไม่แรง ทานง่าย ผมชอบแกงไก่ใส่ชีส ทานกับนานการ์ลิคคืออร่อยมาก อยากให้ลองครับ แนะนำให้สั่งอาหารเป็นเซ็ทเลยดูจะคุ้มกว่า a la carte นะผมว่า
ส่วนที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือครัวซองก์ครับ กัดเข้าไปคำแรกปั๊บ รู้เลยว่าต้องเชียร์อัพ พอไปสอบถามพนักงาน ได้ความเป็นสูตรลับของคุณเจสัน ซึ่งเป็น GM ของ Keemala
เอาล่ะ!! ไปชมภาพในคอลเลคชั่น Keemala กันดีกว่า พร้อมกับอ่านเรื่องราวแบบละเอียดในแคปชั่นที่กานต์เก็บมาฝากกันเช่นเคยครับ
ผมลงโปรพิเศษสำหรับคนไทยไว้ให้ที่ช่องคอมเมนต์ด้านล่างนะครับเผื่อใครสนใจอยากตามรอย
#keemala#beyondenchanting#phuket#keemalaphuket
เราเคยเห็นภาพมุมนี้กันบ่อยครั้งจากแมกกาซีนและ IG ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนตั้งใจว่าจะต้องมาพักที่นี่ให้ได้ เพราะเป็นภาพสตั้นท์มาก ความเป็นรังนกที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ ได้รับรางวัลดีไซน์ระดับโลกมาเยอะมาก
Walking Toward Peace
Keemala เน้นงานออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความสมบูรณ์ของพืชพรรณมาอันดับแรก เราจึงได้เห็นภาพวิลล่าดีไซน์ต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงสลับกับทิวไม้ตั้งสลับลดหลั่นกันตามระดับความสูงชันของหุบเขา กลายเป็นหมู่บ้านชนเผ่าทั้ง 4 ที่สวยมาก
อีกไฮไลท์นอกจากวิลล่าก็คือพื้นที่ส่วนกลางไม่ว่าจะเป็น Lobby ห้องอาหาร สปา ก็ดีไซน์ออกมาใหม่จนกลายเป็นที่ทำการชนเผ่า
จากสนามบินใช้เวลานั่งรถประมาณ 40 นาที ก็มาถึงที่ Keemala ครับ ภาพแรกที่ได้เห็นตื่นเต้นมาก มีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงแปลกตาผุดขึ้นมาทักทายเรา ก่อนที่รถจะพาเข้าไปสู่พาวิลเลี่ยนครับ
ผมใช้บริการรถรับส่งจากทางรีสอร์ต รถเท่ห์มาก ให้ฟีลผจญภัยสุดๆ
เมื่อถึงด้านหน้าพาวิลเลี่ยน จะมีรถบัคกี้มารับเราขึ้นไปเช็คอินที่ Lobby ด้านบน ภายในตกแต่งได้ตีมชนเผ่ามากๆ เน้นวัสดุและสีสันของผ้า หมอนอิง งานเฟอร์นิเจอร์ไม้ ผมว่าคุมโทนงานดีไซน์ได้ดี ช่วยให้แขกมีประสบการณ์ร่วมได้ตลอดเวลา
เดินผ่าน Lobby จะเป็นศาลาที่เรานั่งเช็คอินกันด้านนอกแบบเปิดโล่ง บรรยากาศสบายๆ ไม่รู้สึกร้อน อาจจะเป็นเพราะตอนนี้เราอยู่บนเขา ทำให้มีลมพัดตลอดเวลา มองออกไปจะเห็นวิวภูเก็ตแบบพาโนราม่า
จาก Lobby เราจะเห็นวิลล่า 4 ชนเผ่าที่ปลูกเรียงรายลดหลั่นกันออกไปครับ ผลงานการดีไซน์ของ Pisud Design Company ที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้คนพื้นเมือง ชนเผ่าต่างๆ จนเกิดเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเพณี
ด้านล่างเป็นหมู่บ้านที่หลังคามุงจากชื่อว่า Clay Pool Cottage หรือกลุ่มชนเผ่าปฐพี ตัวแทนของผู้คนที่ทำงานเกี่ยวกับดิน อย่างพวกเกษตรกร ชาวนา
งานดีไซน์จึงใช้สีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เป็นบ้านดินหลังคาทรงเหลี่ยมสูงมุงจาก อยู่ใกล้ชิดกับแหล่งน้ำลำธารไหลเย็นๆ เน้นการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และวัสดุจากธรรมชาติ
ส่วนด้านบนจะเป็น Tree Pool House หมู่บ้านของชาวเวหา บูชาจักรวาลผู้ที่หลงใหลในท้องฟ้า จำพวกนักประดิษฐ์ สถาปนิก และนักบำบัด
ดังนั้นบ้านต้นไม้จึงดีไซน์ให้เป็นบ้านยกสูงจากผืนดิน ใช้เฟอร์นิเจอร์เป็นแบบแขวนและลอยตัวได้ ให้อารมณ์นอนบ้านต้นไม้
ส่วนด้านบนซ้ายจะเป็นวิลล่าแบบบ้านคนจร ของเหล่าพ่อค้า นักสำรวจ นักผจญภัย ที่ไม่เคยหยุดนิ่งหรืออยู่กับที่เป็นหลักเป็นแหล่ง เรียกว่า Tent Pool Cottage เป็นบ้านที่พร้อมอพยพย้ายแหล่งที่พักอาศัยเรื่อยไป วัสดุที่ใช้จึงเน้นการใช้สิ่งทอและผืนผ้าใบเพื่อความสะดวกในการย้ายถิ่นฐาน แต่ข้างในคือหรูหราอยู่นะ
ส่วนวิลล่าหลังสุดท้ายที่ผมพักคือ Bird Nest Pool Villa เป็นบ้านรังนกของชนชั้นสูงที่ชอบความหรูหรา เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันดูมีระดับ เหมือนนกกลับมายังรังเมื่อยามเย็น เน้นระเบียงกว้างและสระว่ายน้ำใหญ่ เพื่อให้บูชาแสงจันทร์
วิลล่าที่ผมพักทริปนี้คือ Bird Nest Pool Villa หรือบ้านรังนกของชนชั้นสูงที่ชอบความหรูหรา หันหน้าสู่ทะเลและเมืองเบื้องล่าง ขนาดวิลล่าใหญ่มากถึง 185 ตารางเมตร และเป็นวิลล่าที่ชาวต่างชาติชอบมากจองกันเต็มตลอด เพราะสวยจริงๆ เหมาะแก่วันพักผ่อนสบายๆ
ภายในตกแต่งเน้นไม้ แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นโซนต่างๆ เช่นหน้าบ้านมีที่นั่งพัก พร้อมกับตู้สำหรับจัดเก็บสัมภาระ มีเคาน์เตอร์บาร์ พร้อมชา กาแฟ และเครื่องดื่มในตู้เย็น เติมเต็มทุกวัน
ส่วนด้านหน้าเป็นมุมนั่งเล่นที่หันหน้าออกไปยังสระว่ายน้ำและวิวภายนอก ฝั่งตรงข้ามจะเป็นมุมทำงาน
ตรงกลางเป็นเตียงนอนทรงไข่ ครอบด้วยมุ้ง ผมว่าดีไซน์คือเก๋มากให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นลูกนก เตียงคือใหญ่มาก พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกหัวเตียง ส่วนปลายติดกระจกด้านหน้าสามารถนอนดูวิวได้
ด้านในสุดเป็นห้องน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ส่วนดีไซน์ก็เก๋ดีเช่นกัน คือมีการแยกส่วนเปียกแห้งและแบ่งฟังก์ชันเรียบร้อย งานตกแต่งคุมโทนได้ดี ผมชอบดีไซน์ของโคมไฟรังนกยุ่งๆ ดูเก๋สุดๆ
Rain Shower จะอยู่ตรงกลางห้องพร้อมกับม่านกันน้ำกระเด็น แต่ผมว่าเปิดออกแล้วเทควิวดีกว่า ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นอ่างล้างหน้ารูปไข่ทำจากหิน งานดีเทลคือยอมรับว่าดี ใส่ใจในรายละเอียดการตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ
ส่วน Toilet Amenities เป็นของรีสอร์ตเองครับ
มุมอ่างอาบน้ำริมกระจกคือวิวดีงามสุดๆ เป็นอ่างดีไซน์เลียนแบบหินสีดำ ทำให้ความรู้สึกลึกลับดี เป็นมุมที่ผมชอบมานั่งอ่านหนังสือเพราะรู้สึกว่าโปร่งโล่งสบาย และด้วยความที่ห้องน้ำใหญ่ทำให้ไม่อึดอัดเลยครับ
บ่ายๆ วิลล่าโฮสนำอาฟเตอร์นูนทีมาเสิร์ฟ ที่นี่จะเน้นคอนเซปต์แบบอินเดียเป็นหลัก ดังนั้น ขนมและของคาวก็จะคุมโทนนี้ ชาที่เสิร์ฟจะเป็นมาซาลา ที มีกลิ่นของเครื่องเทศ นึกถึงตอนที่ไปอินเดีย ดื่มชาเสร็จก็ขว้างถ้วยดินเผาทิ้งให้แตกเลยครับ
บ่ายแก่ๆ เราแช่น้ำชมวิวกันดีกว่าครับ เอาให้สมกับคำว่าพักผ่อน
จริงๆ อากาศข้างบนคือไม่ร้อนเลยนะครับ ออกจะเย็นๆ ด้วยซ้ำ ทำให้แช่น้ำได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนมานั่งพักกันริมสระ อ่านหนังสือ จิบเครื่องดื่มไป ชมวิวไป เพลินๆ สบายใจ
ก่อนค่ำเล็กน้อยเราไปเดินสำรวจกัน ปกติจะเน้นการเดินทางด้วยรถบัคกี้ แต่ก็จะมีทางเป็นบันไดขึ้นลงเองได้ ซึ่งผมชอบกว่า เพราะจะได้เดินผ่านป่าที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ มีเสียงนกร้องตลอดเวลา ให้บรรยากาศดีกว่ามาก
ระหว่างทางเดินจะมีโทรศัพท์ฉุกเฉินติดตั้งไว้ตลอดนะครับ หากมีเหตุต้องการความช่วยเหลือหรือเปลี่ยนใจไม่เดินแล้วก็แค่กด ศูนย์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ได้เลย
Keemala เป็นรีสอร์ตที่ผมว่าต้องเดินเพื่อ explore สำรวจไปเรื่อยๆ เราก็จะได้มุมใหม่ๆ ในการถ่ายรูปเสมอ เช่นบันไดลับที่ออกมาจากไวน์รูมด้านบน ไต่ลงมาชั้นล่างก็จะเป็นมุมนี้
ส่วนนี่เป็น Signature Spot ที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปครับ
ช่วงใกล้ค่ำจะมีพิธีจุดเทียนให้แสงสว่าง โดยมีการร้องรำทำเพลงตีฆ้องตีกลอง แห่ไปรอบๆ รีสอร์ตพร้อมกับจุดคบเพลิงไปทั่วบริเวณเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าได้เวลาใกล้จะมืดแล้วนะ
มื้อค่ำเราทานกันที่ห้องอาหาร Mala ซึ่งจะว่าไปก็ทานที่นี่ทุกมื้อครับ มีห้องอาหารเดียวแต่มีหลายมุมให้เลือกนั่งทั้งด้านในห้องปรับอากาศและด้านนอก
ส่วนการออกแบบตกแต่งต้องยอมใจจริงๆ ครับ เพราะครีเอทออกมาได้สุดมาก เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกจริงๆ
ห้องอาหารของ Keemala จะเน้นแนวคิดเรื่อง Healthy Living ด้วยอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดใหม่ที่คัดสรรทุกวันจากสวนออร์แกนิกของทางรีสอร์ตปลูกเองแบบไม่ใช้สารเคมี
ผมเลือกนั่งด้านนอก รับลมสบายๆ ยังไม่เจอยุงแต่อย่างใด
นั่งสักพักพนักงานจะเสิร์ฟ ปาปาดัม ก็คือข้าวเกรียบแบบอินเดีย อร่อยมากครับใส่เครื่องเทศเข้าไปให้รู้สึกเผ็ดร้อนเล็กน้อย ทานกับซอสมินต์หรือ ซอสมะขามก็ได้
จริงๆ อาหารที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลายนะครับทั้งไทย ตะวันตก ตะวันออก แต่มื้อค่ำนี้ผมเลือกทานเป็นอินเดียเซ็ท ซึ่งจะรวมมิตรทุกอย่างมาให้
สั่งเป็นเซ็ทแบบนี้จะถูกกว่าสั่งแยกเป็น a la carte นะผมว่า เหมาะสำหรับใครที่อยากทานอาหารอินเดียหลายๆ อย่าง อย่างอาหารเรียกน้ำย่อยจะเป็นไก่ทิกก้า แซลมอนทิกก้าและแกะ ย่างมาหอมมาก ถ้าเป็นสไตล์ไทยอาจจะบีบมะนาวลงไปอีกหน่อย หรือทานกับซอสมะม่วง ซอสสะระแหน่ที่จัดมาให้ก็ได้
นอกจากนี้ยังมีนาน คล้ายๆ กับโรตีแต่เหนียวกว่า มีให้เลือกหลายรสเช่นการ์ลิค เนย ทานกับแกงก็ได้ครับ
และยังมีถ้วยเล็กๆ คล้ายๆ น้ำพริกแต่มีรสเปรี้ยวกว่า เอาไว้ทานตัดเลี่ยน
ส่วนของหวานมีทั้งมะม่วงโยเกิร์ต หรือที่เรียกว่า Lassi ของดีจากรัฐปัญจาบ ไอศกรีมและกุหลาบจามุน ของหวานที่หว๊านหวานนนนน
ส่วนอาหารจานหลักจะเสิร์ฟมาในถาด ภาษาอินเดียเรียกว่า Thali หรือ ทาลี่ มีความรวมมิตรมาก เหมาะสำหรับคนที่อยากลองทานหลายๆ อย่าง
เริ่มจากข้าวบัสมาตี (Basmati) เป็นข้าวของชาวอินเดียจะมีลักษณะเรียวยาวกว่าปกติค่อนข้างแข็งแต่พอเอาไปทำข้าวหมกเครื่องเทศแล้วอร่อยนุ่มกว่าที่เคยกิน
ส่วนแกงก็มีหลากหลาย ส่วนใหญ่จะใส่ “การัม มาซาล่า” หรือว่าเครื่องเทศหลากชนิดที่บดผสมกันเช่น ลูกผักชี กานพลู อบเชย ยี่หร่า ดอกจันทน์เทศ พริกไทย เป็นต้น เพิ่มความหอมและเผ็ดร้อนของรสชาติ และบางเมนูก็จะใส่กะทิหรือเนยเพิ่มเข้าไป
มีทั้งแกงไก่ Tikka Masala หรือว่า Butter Chicken ก็มี แกงเผ็ด Vindaloo เผ็ดไปหน่อยแต่ก็อร่อยอยู่ ชิมไปอย่างละนิดละหน่อยก็อร่อยดีครับ
Mixologist ชงเครื่องดื่มแก้วโปรดมาให้ทานกับอาหารอินเดีย เข้ากันดีอยู่นะ
เป็นการทานอาหารอินเดียที่ให้ความรู้สึกล้ำไปอีกขึ้น ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
ตอนเช้าในห้องจะมีอุปกรณ์ดริปกาแฟจัดเตรียมไว้ให้ สามารถบรรเลงกาแฟแก้วโปรดได้ก่อนใครเลยครับ
สายๆ ค่อยลงมาทานอาหารที่ Mala เช่นเคย สามารถสั่งจากเมนูได้ และบางอย่างก็จัดวางไว้ที่สเตชั่น แต่ที่ไม่อยากให้พลาดกันเลยคือพวกขนมอบครับ ครัวซองก์ของที่นี่คือนิพพาน แป้งไล่ชั้นและเป็นโพรงดีมาก กรอบนุ่มและหอมเนยฉ่ำๆ แต่กลับไม่รู้สึกว่าแป้งมันหนักแต่อย่างใด จัดกลางผ่าแล้วทานเนยเพิ่มเข้าไปตามด้วยแยมผลไม้โฮมเมด คือดีย์
ครัวซองก์ของที่นี่เป็นสูตรลับจากคุณเจสัน GM ของรีสอร์ต ซึ่งก่อนหน้านี้คุณเจสันเคยเป็นเชฟมาก่อนครับ มิน่าล่ะ อาหารของ Keemala ถึงอร่อยมากกกกกกก
ขนมจีนแกงปูใบชะพูล ทานทุกเช้าเลยครับ รสชาติคือเด็ดและเผ็ดร้อนมาก สั่งมาทานวันละ 2 จานก็คุ้มละ เพราะปูแน่นขนาดนี้ ถ้าไปสั่งที่ร้านคงจะหลายร้อยอยู่นะ
น้อลลลลลลลมาทักทายแต่เช้า
สายๆ เดินไปชมกรงนกยูง ตอนแรกก็รำแพนอยู่ดีๆ พอยกกล้องปุ๊บหุบซะงั้น
กระท่อมของน้องเป็ดก็มี ที่นี่จะปล่อยให้เดินเสรีไปเรื่อยเปื่อย
สมาชิกใหม่เป็นควายเผือกครับ น้องเพิ่งคลอด อ้อนแม่สุดๆ
หลังจากชมสัตว์โลกน่ารักประจำรีสอร์ตแล้ว จากนั้น เราเดินเลาะริมธารไปยังน้ำตกด้านในกันต่อ
ด้านในจะมีสะพานแขวนผ่านลำธารด้านล่าง ซึ่งนี่เป็นมุม Signature Shot ของที่นี่ ดูลึกลับดีครับ
เดินข้ามไปจนถึงตีนน้ำตกจะเจอถ้ำทำเป็นห้องกระจกติดแอร์เอาไว้ เราสามารถมานั่งทำสมาธิได้ที่นี่ จริงๆ จะมีอาจารย์นำวิปัสสนาด้วยนะครับ อาจจะต้องลองถามกับทางรีสอร์ตว่าจะมาช่วงไหน
จากนั้น ก็มาเล่นน้ำตกกัน เป็นมุมที่เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำใหญ่ของทางรีสอร์ตครับ
ช่วงบ่ายเราไปทำสปากันที่ Mala Spa ดีไซน์เป็นบ้านดินทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ คุมโทนได้ดีมาก
ที่ Mala Spa มีทรีตเม้นท์ให้เลือกหลากหลายเลยครับ ศาสตร์การบำบัดหลากหลายโปรแกรมจากทั้งไทย ธิเบต ผมเลือกเป็น Harmonising Massage นวดน้ำมันแบบปานกลาง ซึ่งทางเทอราพิสจะมีกลิ่นให้เลือก 4 กลิ่นตั้งตามชื่อวิลล่าคือ
เวหา : จะเป็นน้ำมันกลิ่นโรสแมรี่ ลาเวนเดอร์และเบอร์กามอท
คนจร : เป็นน้ำมันกลิ่น เปเปอร์มินต์ ยูคาลิปตัสและ ทีทรี
พเนจร : เป็นกลิ่นตะไคร้ ขิงและไพล
รังนก : จะเป็นมะลิ กระดังงาและเบอร์กามอท
ห้องนวดสวยมาก ชอบความเพดานทรงโดมที่เจาะหลุมด้านบนเข้าไปประดับด้วยโคมไฟดีไซน์เก๋ ให้ความรู้สึกถึงงานออกแบบที่หลุดโลกจริงๆ
เทอราพิศ คุณอู๋ นวดดีมาก จนหลับไปเลย ผมชอบให้เน้นขาและเท้า เพราะเดินเยอะแหละ จัดการรีดเส้นคลายเมื่อยออกไปได้หมด
ตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงตีขันธิเบตดังก้องกังวาลนี่แหละ
ส่วน Relaxing จะเป็นชาร้อนที่ผสมสมุนไพรหญ้าหวานลงไปให้ความรู้สึกชุ่มคอมากหลังจากขาดน้ำไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ
ที่นี่มีกิจกรรมให้แขกทำด้วยนะครับ อย่างเช่น Cooking Class วันนี้จะมาทำขนมโค ขนมพื้นบ้านของชาวภูเก็ตกัน
เริ่มจากมะหมี่ขูดมะพร้าวก่อนนะ
ขนมโค เอาจริงๆ คือทำง่ายมาก ที่นี่จะเป็นแบบใส่น้ำตาลโตนดเข้าไป เชฟนาเดีย เลือกใช้น้ำตาลจากทางสงขลาเพราะว่าจะหอมละมุนกว่า วิธีทำก็ง่าย ผสมแป้งกับน้ำ จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อน แผ่แป้งแล้วใส่ไส้น้ำตาล ปั้นให้เป็นลูกกลมๆ แล้วต้มกับน้ำใบเตย เสร็จแล้วก็เอามาคลุกกับมะพร้าวขูดฝอย โรยเกลือผสมไปเล็กน้อย จบ!!
เชฟบอกว่า ชาวต่างชาติจะสนุกและชอบมาก นอกจากขนมโคและก็ยังมีอีกหลายเมนูให้ลองทำ ส่วนถ้าใครอยาจะเรียกกันจริงจัง แบบเสิร์ฟเป็นอาหาร 3 คอร์สให้เราได้ทานฝีมือตัวเอง ก็สามารถแจ้งพนักงานได้ครับ
Keemala ผมว่าเป็นประสบการณ์เข้าพักที่ประทับใจมาก ทั้งตัวดีไซน์ ที่ออกแบบและคุมตีมได้ดี ที่สำคัญคือสวยจริงๆ และเหมือนได้ใช้ชีวิตเป็นชนเผ่าอยู่กลางป่าจริงๆ แทบจะลืมไปแล้วว่านี่คือภูเก็ต
สนใจสอบถามได้ที่ Line @keemala หรือ จองห้องพักที่ www.keemala.com