ญี่ปุ่นอาจเป็นประเทศที่หลายคนมีความฝันและตั้งความหวังว่าสักวันจะต้องไปเหยียบแดนปลาดิบ สำหรับชาวต่างชาติอย่างเรา อุปสรรคหนึ่งนอกเหนือไปจากเรื่องมันนี่ คือการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
“กานต์เดินทาง” จึงมีเทคนิคในการเตรียมตัวและเตรียมตังค์ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาฝากกันครับ
- จองพาสตั๋วรถไฟญี่ปุ่นก่อนเดินทางมาถึง
ถ้าใครเที่ยวเยอะ วางแผนเที่ยวดีๆ โดยเฉพาะถ้าอยากเที่ยวข้ามภูมิภาค แนะนำว่าซื้อพาส (Pass) ไปเลยจะดีกว่า จะพาสใหญ่พาสเล็กก็แล้วแต่โปรแกรมของแต่ละคน ส่วนการจองตั๋วรถไฟ ขอยกตัวอย่างว่า เป็น Japan Rail Pass ละกัน สำหรับชาวต่างชาติแบบเรา จ่ายครบรอบเดียวเที่ยวได้สี่เกาะหลักทั่วญี่ปุ่น แถมยังสามารถประหยัดเงินเป็นจำนวนมากสำหรับการเดินทางโดยรถไฟ
ถ้าเป็นรถไฟ Japan Rail Pass จะแยกตั๋วออกเป็นอีก 2 ประเภท คือ
Green Pass ราคา 38,880 เยน สำหรับ 7 วัน เป็นรถสีเขียว “superior class” อันนี้มีที่นั่งเริ่ดๆ มีความเป็นส่วนตัว จ่ายเงินซื้อตัวประเภทนี้ไปจะให้ความรู้สึกแลดูโอตูร์กูร์นิดๆ ซื้อเสร็จจะอยากอุทานว่า “โอวว ตังค์กู”
ส่วนตั๋วแบบปกติทั่วไป ราคา 29,110 สำหรับ 7 วัน
ข้อสำคัญคือต้องจองจากบ้านเราไปตั้งแต่ก่อนการเดินทางผ่านตัวแทนขาย จากนั้นให้นำใบสั่งซื้อที่ได้จากสำนักงานขายของ JR และตัวแทนในต่างประเทศ ไปแลกเปลี่ยนเป็นตัวจริงที่สถานี JR Station ที่มีสำนักงานแลกเปลี่ยน Japan Rail Pass ถ้าใครจะใช้ตั้งแต่วันแรกเพื่อนั่งรถไฟ N’EX เข้าเมืองเลยก็ควรแลกที่สถานีรถไฟตรงสนามบินเลยครับ
2. เช่าพอคเก็ตไวไฟไปด้วย
บอกตรงๆ เลย การไปหาซื้อซิมการ์ดเอาที่ญี่ปุ่น อาจจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ และแพงมาก เคยซื้อซิมแบบ 2 GB ราคา 2,000 ใช้ได้ 2 วันก็หมดแระ ไหนจะอัพเฟซ เล่นอินสตาแกรม ดูยูทูบ เปิดแผนที่ดูอีก โอ๊ยยย สารพัดจะหาเหตุให้เปลืองดาต้า เผลอๆ ซิมบ้านเรา 4 GB 8 GB ยังไม่น่าจะพอ เพราะล่าสุดไปญี่ปุ่น 15 วัน ล่อไปเกือบ 30 GB ดังนั้นถ้าจะให้ดี แนะนำว่าควรเช่าเร้าท์เตอร์ไร้สายเล็กๆ หรือที่เราเรียกกันว่า “pocket Wi-Fi” ไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้ใช้งานกับ Gadget ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น SmartPhone LapTop TabLet เพราะข้อดีอีกอย่างคือสามารถเชื่อมต่อพร้อมกันด้วยข้อมูลที่ไม่จำกัด และไม่จำกัดจำนวนเครื่อง
ถ้าจะให้แนะนำ ทุกครั้งใน “กานต์เดินทาง” จะนิยมใช้ของ 4Wifi เลือกแบบ Unlimited กันไปเลย ใช้กันหลายคน แชร์กันถูกกว่าเยอะ
ส่วนถ้าจะโทรหากันก็ง่ายกว่า ถ้าใช้ LINE หรือ Facebook Massenger เดี๋ยวนี้สัญญาณใสกิ๊ง สปีดปู๊ดป๊าด คมชัด จัดหนัก แถมยังสะดวกคือสามารถเช่าและส่งคืนอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายที่เคาน์เตอร์บริษัทในสนามบินกันเลยทีเดียว หรือจะนัดรับก็ได้ ตามเส้นรถไฟฟ้า หรือจุดนัดหมายที่สะดวก
บางทีการจองออนไลน์ก่อนการเดินทางก็ยังจะได้โปรโมชั่นเซฟๆ อีก นั่นก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายประจำทริปลดลงอีกด้วย แถมถ้าเป็น Pocket Wifi ของ 4G ของวันนี้ ทำประกันการเดินทางให้ด้วยแน่ะ มันดีตรงนี้แหละ
3. เลือกบินลงสนามบินฮาเนดะก็ประหยัดดีนะ
ถ้ามีทางเลือกให้บินเข้าไปในฮาเนดะไม่ใช่นาริตะ เพราะสนามบินฮาเนดะเป็นทำเลที่สะดวกสบายสำหรับนักเดินทาง เนื่องจากระยะทางจากกรุงโตเกียวจากสนามบินฮาเนดะนั้นใช้เวลาน้อยกว่าสนามบินนาริตะครับ ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าด้วย แถมยังสะดวกกว่าหากเรามีการต่อไฟล์ทภายในประเทศ อย่างเช่นการจองตั๋วผ่านการบินไทย หรือ สายการบินญี่ปุ่นอย่าง ANA และ Japan Airlines ก็มักจะมีให้เลือกครับว่าเราจะลงที่สนามบินไหน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีทางเลือกเนื่องจากสายการบินไม่มีไฟล์ทไปลงฮาเนดะ ก็ต้องทำใจครับ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น
4. บินในประเทศก็ประหยัดเวลาดี
คนญี่ปุ่นมีความคิดว่าถ้าเดินทางน้อยกว่า 4 ชั่วโมงจะเลือกการเดินทางโดยใช้รถไฟ เนื่องจากเหตุผลคือไม่ต้องเสียเวลาไปที่สนามบินซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยาก และมีข้อจำกัดทางการบินพอสมควร อย่างน้อยๆ การนั่งรถไฟที่ใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 4 ชั่วโมง สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตไปเพลินๆ ได้ครับ มีวิว 2 ข้างทางให้ดูสวยๆ
แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางโดยใช้เครื่องบินภายในประเทศก็มีความน่าสนใจอยู่โดยเฉพาะในเรื่องของราคาครับ เพราะว่าปัจจุบันนี้ ผู้ให้บริการสายการบินหลายเจ้าของญี่ปุ่นก็ได้ออกโปรโมชั่นจูงใจให้คนหันมาใช้เที่ยวบินในประเทศมากยิ่งขึ้นครับ และบางเวปไซด์นั้นเน้นออกเป็นโปรโมชั่นสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยตรง คือต้องจองตั้งแต่ก่อนเข้าญี่ปุ่นครับ จะทำให้ได้รับราคาพิเศษ ตรงนี้ต้องหมั่นเช็คกับเว็บไซต์ของสายการบินเองครับ
5. จอง N’EX หรือ Keisei จากสนามบินนาริตะ แบบไปกลับ
ถ้าใครบินลงสนามบินนาริตะ ทางเลือกที่ดีที่สุดในการเข้าเมืองคือนั่งรถไฟ ซึ่งมีให้บริการอยู่ 2 เจ้า ได้แก่ N’EX (Narita Express) และ Keisei Skyliner แข่งกันอยู่ ซึ่งทั้งคู่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันออกไป
แน่นอนว่าเป็นรถด่วนพิเศษ ราคาตั๋วต้องสูงกว่าทั่วไปอยู่แล้ว ทั้งนี้อันดับแรกให้ดูก่อนว่า ปลายทางโรงแรมที่พักของเราอยู่ใกล้สถานีอะไร
ถ้าลงชินจูกุ ชิบูย่า โตเกียว อิเคะบุคุโระ ก็ต้องเลือก N’EX (Narita Express)
แต่ลงพักแถวสถานี Ueno อูเอโนะ และ Nippori เลือก Keisei Skyliner จะดีกว่าเพราะไม่ต้องต่อรถไฟอีกรอบ
เทคนิคในการซื้อตั๋วคือ ให้ซื้อไปกลับ ราคาจะถูกกว่า หรือหากใครมีแพลนที่ต้องใช้ตั๋ว one day pass ก็ซื้อคู่กับตั๋วรถไฟไปเลยจะทำให้ประหยัดมากยิ่งขึ้น
6. หัดใช้เวปไซต์ Hyperdia ให้เป็น
มือใหม่ หัดนั่งรถไฟจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เว็บไซต์ให้เปอดีอ่ะให้เป็นครับเพราะเป็นเว็บที่รวบรวมเส้นทางรถไฟและสามารถบอกเที่ยวรถไฟที่เหมาะสมกับความต้องการของเราได้มากที่สุดครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ใช้เจอาร์พาร์ทหรือจะเป็นคนที่นั่งรถไฟของเอกชนหรืออยากจะคำนวณราคาว่าปลายทางที่เราไปนั้นค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็สามารถดูได้จากเว็บนี้ได้เลยค่ะ ข้อมูลที่ได้จากเว็บมีความเชื่อถือได้ ตารางเวลามีความถูกต้องมากที่สุดแล้วครับ
คลิ๊ก www.Hyperdia.com
7. ซื้อบัตร Pasmo บัตร Suica หรือบัตร ICOCA
สำหรับการเดินทางในญี่ปุ่น แนะนำให้ซื้อพวกบัตรเติมเงินเอาไว้เลยครับ จะสะดวกมาก เดี๋ยวนี้จะมีขายพร้อมตั๋วรถไฟเข้าเมืองเลย ในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยก ถ้าเป็นรถไฟในโตเกียวมักจะเป็นบัตร Suica ส่วนรถไฟคันไซ คือแถวโอซาก้า เกียวโตเป็นจะบัตร ICOCA (แต่บัตร Suica ก็นำมาใช้ที่คันไซได้ไม่ต้องซื้อใหม่)
บัตรขนส่งเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลาในการซื้อตั๋วแต่ละใบสำหรับการเดินทางแต่ละครั้ง เพราะแค่นำบัตรที่เติมเงินแล้วไปถามตรงประตูทางเข้าสถานีได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ขึ้นรถเมล์ หรือจ่ายเงินซื้อสินค้าได้ที่ร้านค้าและเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติอีกด้วย จะได้ไม่ต้องพกตังค์เหรียญไปให้หนักกระเป๋า
8. ดาวน์โหลดแอป Google ช่วยแปลภาษา
ขอบเขตของอุปสรรคทางภาษาอาจเป็นเรื่องแปลกใจสำหรับคนที่เดินทางมาญี่ปุ่น ไม่ว่าจะครั้งแรกหรือกี่ครั้งก็ตาม เพราะเราไม่ได้เรียนภาษานี้มา อาจจะพูดได้แค่คำง่ายๆ ว่า อิรัชซัยมาเสะ อาริกาโตะ บลาๆๆ ดังนั้นการมีตัวช่วยอย่าง Google Translate เป็นวิธีที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับการแปลสิ่งที่เราต้องการสื่อสารครับ สามารถพิมพ์ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เพื่อแปลงเป็นภาษาญี่ปุ่นได้เลย แถมยังเปิดลำโพงให้เจ้าบ้านได้ยินด้วย
หนักเข้าก็สามารถถ่ายรูปเพื่อแปลภาษาได้ทันที (แต่ไม่ค่อยแม่นยำเท่าไร) ล่าสุดเห็นว่ามีหูฟังช่วยแปล ถ้าได้ยินภาษานั้น ใกล้ๆ ลำโพงของหูฟังก็จะแปลเป็นภาษาใหม่ที่เราต้องการได้ทันที
อีกหน่อยคงไม่ต้องเรียนภาษาอะไรแล้วสินะ ก็สามารถไปเที่ยวรอบโลกได้
9. ขอนามบัตรโรงแรมไว้ติดตัวเสมอ
เทคนิคหนึ่งที่ช่วยป้องกันการหลงทางในญี่ปุ่นได้ดีก็คือ เมื่อไปถึงโรงแรมที่พักแล้วให้ขอนามบัตรของโรงแรมที่เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษติดตัวไว้เสมอครับ เนื่องจากจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากเราหลงทางและต้องการความช่วยเหลือจากคนญี่ปุ่นเอง หรือต้องการขึ้นแท็กซี่กลับโรงแรมครับ วิธีนี้ยิ่งจะมีค่ามากในกรณีที่แบตโทรศัพท์หมด และเราไม่สามารถค้นหาที่อยู่โรงแรมได้ก็สามารถที่จะโชว์นำบัตรนี้ให้กับคนขับแท็กซี่ หรือคนที่เราไปขอความช่วยเหลือรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่นามบัตรก็จะมีวางเอาไว้ให้หยิบได้เลยที่บริเวณหน้าฟร้อนตอนเช็กอินครับ
10. ตู้ ATM ที่ญี่ปุ่น กดเงินได้นะ
ช่วงนี้ค่าเงินเยนตกครับ ดังนั้นก่อนมาญี่ปุ่นหลายคนก็นิยมไปแลกเงินเอาไว้เยอะๆ แต่ก็อีกนั่นแหละสำหรับขาช็อปแล้วเท่าไหร่ก็คงไม่พอครับ ว่ามั้ย
เมื่อฉุกเฉินเราต้องการใช้เงินเยนอย่างเร่งด่วน เราสามารถที่จะกดเงินจากตู้ ATM ได้ครับซึ่งมีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น ถ้าหากไม่เจอให้เข้าเซเว่นหรือแฟมิลี่มาร์ทไว้ก่อนเลยครับ เพราะส่วนมากจะมีตู้ ATM ให้บริการอยู่ด้วย เราสามารถกดเงินเยนออกจากบัตรกดเงินที่ผู้ให้บริการสากล อย่างเช่นวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ดได้ครับแต่ต้องยอมรับว่ามีค่าธรรมเนียมการกดครั้งละ 100 บาทและเงื่อนไขในการกดเงินที่แตกต่างกันออกไปตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร หรือหากใครไม่ถนัดพกเงินเยอะๆ สามารถรูดบัตรได้ครับ อาจจะแพงกว่าใช้เงินสดซื้อนิดหน่อย แต่ก็ปลอดภัยดีครับ