วันแรกที่ลาซ่า โปรแกรมที่วางไว้คือการไปพระราชวังโปตาลาแต่เช้า
แต่!! เราได้คิวตอน 4 โมงเย็น (ทางสถานที่เป็นผู้กำหนดคิวให้กับแต่ละคณะทัวร์ต่างชาติตามเวลาและจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวัน)
ดังนั้นจึงต้องมีการปรับโปรแกรมเที่ยวกันเล็กน้อย โดยสลับเอา วัดโจคัง ซึ่งเป็นโปรแกรมบ่ายมาไว้ช่วงเช้าแทน
วัดโจคัง หรือ วัดต้าเจา (Jokhang Monastery) เป็นวัดเก่าแก่และเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทิเบตอย่างมาก วัดสร้างขึ้นในปีค.ศ.647 โดยกษัตริย์ซรอนซันกัมโป ด้านหน้าทางวัดคล้ายๆ ทางเข้าตลาด รถบัสเข้าไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปผ่านร้านรวงต่างๆ เราได้เห็นวิถีชีวิตของคนทิเบต ซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาก คนทิเบตขยันเหมือนคนจีน ชอบทำมาค้าขาย แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้ากับคนง่ายคล้ายกับคนภูฏาน เป็นคนใจบุญสุนทาน ขณะเดียวกันก็เป็นคนจริงจังกับชีวิตและออกแนวกร้าวบ้างในยามมีเรื่องไม่พอใจ
เดินเข้าไปด้านในทางเข้าวัดจะเป็นตลาด 8 เหลี่ยม ขายพวกของที่ระลึก สินค้าพื้นเมืองของทิเบต เช่น สร้อยคอที่ทำจากหินทิเบต หินปะการัง (สีแดง) หินเทอควอยส์ เครื่องรางของทิเบต ขันสวดมนต์ และมีตังถั่งเช่าด้วย (แต่แพงกว่าที่ภูฏานมาก)
ด้านหน้าทางเข้าวัดจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มีกราบสักการะ เพราะว่าด้านในวัดเป็นที่ประดิษฐานพระพระพุทธรูปโจโว ริมโปเช (Jovo Rimpoche) หรือ รูปเหมือนพระพุทธเจ้าเมื่อมีพระชนมายุได้ 12 ชันษา เป็นพระพุทธรูปสีทองอร่าม ทรงเครื่องกษัตริย์ ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณี ล้ำค่า สูง 1.5 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวทิเบต ที่ต่างมุ่งเดินทางมาเพื่อ กราบอัษฎางคประดิษฐ์รอบวัดแห่งนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต
ที่นี่เรายังพบว่าจะมีพ่อแม่อุ้มเด็กตัวเล็กๆ มาที่วัด เพื่อมาให้ทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย คล้ายกับว่าเด็กร้องไห้งอแงบ่อย จึงต้องนิมนต์พระมาปราบมารร้าย โดยเข้าไปในห้องสวดมนต์ขนาดเล็กๆ แล้วยกเด็กลอดผ่านช่องผ้าเข้าไปแปบเดียว เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งสัญลักษณ์คือ จะมีหมิ่นสีดำป้ายที่ปลายจมูกเด็กน้อย ดูน่าชังไปอีกแบบ
เสียดายที่ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ
แต่ออกมาด้านนอกตัววิหาร ขึ้นไปยังชั้น 2 คล้ายดาดฟ้า ตรงนี้สามารถถ่ายภาพเป็นที่ระลึกได้ โดยอาศัยพระราชวังโปตาลาเป็นแบ็กกราวนด์ พร้อมกับการเทควิวพ้อยท์เมืองลาซ่าที่กำลังเจริญก้าวหน้า พัฒนาก่อสร้างอยู่ตลอดเวลา โดยทางการจีนเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาทิเบตปีละหลายหมื่นล้านหยวน