พาเที่ยวแบบวันเดียวจบ ไฮไลท์รอบภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่น ในช่วงเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีครับ คราวนี้ลองซื้อแพ็คเกจเที่ยว One Day Trip จาก KKday ทำให้ได้ไปหลายที่มากในหนึ่งวัน ทั้งทะเลสาบ ภูเขา ถ้ำ หมู่บ้านโบราณ เที่ยวกันเช้ายันมืด ถ่ายรูปมาเยอะมากกกกกก เป็นทริปที่สบายๆ ไม่ค่อยเหนื่อยเลยครับ อ่านรีวิวฉบับเต็ม คลิ๊กที่นี่ >> http://www.kantjourney.com/kkday-one-day-trip/ . #กานต์เดินทาง #สนับสนุนให้ทุกคนออกเดินทาง #KantJourney #kkday #4wifi
วิวระหว่างทาง ที่นั่งรถบัสจากใจกลางโตเกียวออกมายังทะเลสาบคาวากูจิโกะ
ลงจากรถมา รีบแวะมาทักทายฟูจิซังกันก่อน เช้านี้ สวยมากครับ
จากนั้นก็เดินไปสู่อุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ดูเผินๆ เหมือนจะดูเป็นท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 500 เมตร ปกคลุมด้วยใบโมมิจิหลากสีที่ร่วงโรยทับถมกันไป งดงามยิ่งนัก
โมมิจิ (Momiji, 紅葉) คือ ชื่อเรียกของใบเมเปิลในญี่ปุ่น ที่ใบจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ส้ม และ แดงในฤดูใบไม้ร่วง และในญี่ปุ่นพันธุ์ที่ปลูกมากคือ อิโระฮะโมมิจิ (iroha momiji,イロハモミジ) ซึ่งตรงอุโมงค์ทางเดินยาวเลียบทางแม่น้ำนี้จะมีต้นเมเปิ้ลปลูกเรียงรายตลอดสองข้างทาง
พอถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบเมเปิ้ลพวกนี้ก็จะเปลี่ยนสีและร่วงหล่นลงตามพื้น ปกคลุมทางน้ำสายเก่า กลายเป็นสีส้มแดงไปทั่วบริเวณทั้งด้านบนด้านล่าง เวลามองไปตามทางเดินยาวก็จะมีลักษณะเหมือนกับอุโมงค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีนี้ คาวากูจิโกะ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 1-23 พฤศจิกายน
ข้ามจากสะพานมาอีกฝั่งก็จะเป็นจุดวนกลับครับ
เราใช้เวลาชมวิวฟูจิและถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีราว 2 ชั่วโมง จากนั้น ก็นั่งรถไปทานอาหารกลางวันครับ รถนำเราไปจอดที่หน้าร้านอาหารขนาดใหญ่ ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นสมัยโบราณ มื้อกลางวันนี้ทานอุด้งกันครับ ค่าอาหารกลางวันจะรวมอยู่ในราคา One Day Trip แล้วนะครับ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ยกเว้นหากต้องการสั่งอย่างอื่นเป็นพิเศษ เช่น เครื่องดื่ม หรือขนม ก็ต้องซื้อเองครับ
อุด้งหม้อไฟร้อนๆ มาซดน้ำซุปท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากครับ
ทานเสร็จ ก็ขอตัวมาหามุมถ่ายภาพให้ตัวเองสักหน่อยครับ มีหลายท่านถามว่า ผมถ่ายยังไง … ใช้การสั่งลั่นชัตเตอร์โดยการกระพริบตา 1 ทีครับ
.
ไม่ใช่!! มุขนะ ใช้วางกล้องบนที่ราบ จากนั้นใช้แอพพิเคชั่นที่มาจากกล้อง เชื่อมต่อกับมือถือแล้วกดชัตเตอร์ผ่านทางมือถือครับ
ส่วนท่าทางที่โพสราวกับว่าถ่ายแบบเดอะเฟสเมนนั้น … อินเนอร์มาเองเต็มๆ ครับ แหะๆ
รถบัสก็พาเรามายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนึงครับ อารมณ์หมู่บ้านโบราณ แต่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ มาแวะเข้าห้องน้ำแล้วเดินทางต่อ
ขอเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีสักรูปครับ
ถ้ำลมฟูกากุ (Fugaku Wind Cave) ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติและป่าตลอดทางที่เรานั่งรถผ่านมานั่นแหละครับ
ที่นี่อากาศค่อนข้างเย็น สังเกตได้จากพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้นที่ปกคลุม
ใส่หมวกเซฟตี้ให้เรียบร้อยก่อนมุดเข้าถ้ำ แต่ก่อนเข้าก็ขอชักภาพสักใบไว้เป็นที่ระทึก
ในอดีตถ้ำลมแห่งนี้ถูกใช้เป็นโกดังธรรมชาติคล้ายตู้เย็น เนื่องจากมีอุณหภูมิคงที่ 0 องศาเซลเซียสตลอดปี ถ้ำมีความยาว 201 เมตร มีลักษณะเป็นหลุ่ม-บ่อบริเวณข้างผนังถ้ำ
เมื่อเดินลงบันไดมุ่งสู่ด้านในถ้ำก็รู้สึกถึงความเย็นจากอุณหภูมิโดยรอบที่ลดลงได้ทันที
ด้านในสุดของถ้ำมีการติดตั้งชั้นวางของเอาไว้ โดยเราจะเห็นได้ว่ามีกล่องไม้โอ๊ค และกระป๋องตั้งอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็คือภาพจำลองการใช้ถ้ำเป็นตู้เย็น เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีตู้เย็น คนญี่ปุ่นสมัยก่อนก็เลยใช้ถ้ำแห่งนี้เป็นแหล่งเก็บรังไหมสำหรับทอผ้าไหมและเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ให้อยู่ในสภาพแช่เย็นนั่นเอง นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านญี่ปุ่นที่ฉลาดสุดๆ จริงๆ
เมื่อมุดถ้ำลงเสร็จ ต่อไปเราจะเดินลุยป่ากันต่อ เพื่อไปที่ถ้ำน้ำแข็งนารุซาวะ (Narusawa Ice Cave) ครับ ระยะทางเดินประมาณ 1 กิโลเมตร
ระหว่างเส้นทางเดินเหล่านี้ ในอดีต คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเมื่อย่างกรายเข้าไปในป่าเขียวขจีที่มีความชื้นสูงนี้แล้วจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก
ริมทางเดินแถวนี้ก็มีหลุมกว้างบนพื้นดินอยู่เยอะด้วยซึ่งเป็นร่องรอยของโพรงก๊าซที่มีก๊าซจากภายในผุดขึ้นมาตอนลาวาที่ไหลออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟฟูจิแข็งตัว เป็นความอัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ครับ
เจอมุมสวยๆ แสงดีๆ ก็ชวนคู่นี้มาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน อิอิ
ไกด์จาก KKday กำลังซื้อตั๋วเข้าถ้ำครับ ซึ่งจะรวมอยู่ในแพ็คเกจที่เราจ่ายไปแล้วนั่นเอง
แผนภาพแสดงจุดต่างๆ ภายในถ้ำ จะเห็นว่าจุดที่เตี้ยที่สุดนั้นเพียงแค่ 91 เซ็นติเมตรเท่านั้นเองครับ
ทางเดินภายในถ้ำค่อนข้างแคบ มีระยะทางเดินยาวประมาณ 150 เมตรและมีลักษณะคดเคี้ยวเหมือนวงแหวน ทำให้เราสามารถเดินวนรอบถ้ำได้เลย เวลาเดินต้องคอยก้มต่ำเพราะภายในถ้ำบางจุดค่อนข้างเตี้ย ไม่ถึงเมตร
โดยรอบจึงมีการติดตั้งราวจับเอาไว้ให้ด้วยเพื่อความปลอดภัย เพราะทางเดินภายในเลื่อนเนื่องจากมีหยดลงมาจากเพดานถ้ำ
น้ำแข็งจับตัวกันเต็มถ้ำไปหมดเลยครับ
เมื่อผ่านช่วงที่แคบและเตี้ยที่สุดภายในถ้ำเข้ามาได้แล้ว ก็จะพบกับกำแพงน้ำแข็งรายรอบซ้าย-ขวา เมื่อก่อนที่นี่เคยใช้เป็นตู้เย็นธรรมชาติด้วยเหมือนกัน ถ้าเทียบกับถ้ำลมก็น่าจะประมาณช่องแช่ผัก แล้วมีถ้ำน้ำแข็งเป็นช่องฟรีซ มีการจัดไฟสวยงาม
โปรแกรมถัดไปคือ จะไปที่หมู่บ้านน้ำศักดิ์สิทธิ์โอชิโนะฮักไก (Oshino Hakkai) ใครที่เดินทางมาเอง ก็ดูจะลำบากไปสักนิดครับ เพราะต้องนั่งรถบัสจาก Fujisan Station มาลงที่ Oshino Hakkai Bus Stop บัสออกชั่วโมงละ 1-2 รอบ แต่ถ้ามาใกล้ค่ำแบบผม ก็ต้องเช็คเที่ยวรถเวลากลับให้ดี ส่วนผมมากับ One Day Trip จาก KKday จึงไม่มีปัญหาครับ
หมู่บ้านโอชิโนะฮักไก(Oshino Hakkai) เป็นจุดท่องเที่ยวที่สร้างเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประกอบด้วยบ่อน้ำ 8 บ่อ เป็นน้ำจากหิมะที่ละลายในช่วงฤดูร้อน
แสงยามเย็นกระทบผิวน้ำ ทำให้ถ่ายภาพได้สวยงามมากๆ ครับ
ที่นี่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน คนไทยไม่ค่อยเห็น
น้ำในบ่อไหลผ่านหินลาวาที่มีรูพรุน ทำหน้าที่เหมือนเป็นเครื่องกรองน้ำไปในตัวจึงทำให้น้ำที่ไหลมาใสสะอาดเป็นพิเศษ จนกระทั่งเห็นนักท่องเที่ยวบางคน รองน้ำใส่ขวดเก็บกลับประเทศไปเลยครับ
ภายในหมู่บ้านมีบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ น้ำใสและลึกมากครับ
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และซุ้มรอบๆบ่อ ที่ขายทั้งผัก มันเทศหวานย่าง ขนมหวาน ผักดอง งานฝีมือ และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอื่นๆ ตามสไตล์แหล่งท่องเที่ยวครับ
เที่ยวกันเพลิน เดินถ่ายรูปกันสบายๆ พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ได้เวลากลับเข้าโตเกียวครับ
พูดถึง KKday ทีแรกก็เข้าใจว่าเวปนี้มีขายแต่ตั๋วรถไฟ Jr กับตั๋วเข้าสถานที่ จำพวก USJ, ดิสนีย์แลนด์ หรืออะไรทำนองนี้
.
เอาเข้าจริงที่เวปไซต์ KKday มีให้เลือกเยอะมาก และสังเกตว่าที่เด่นๆ เห็นจะเป็นแพ็กเกจ One Day Trip นี่แหละ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น มีให้เลือกเยอะจัง ราคาก็แตกต่างกันไปตามแต่ที่เราเลือก ทีแรกว่าจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปถ่ายภาพมุมสูง แต่เห็นราคาแล้วสู้ไม่ไหว ราคาสูงสมกับนั่งฮอ. เลยขอจัดมาเป็นทริปเบาๆ เอาใจคนชอบใบไม้เปลี่ยนสีดีกว่า ใครสนใจก็คลิ๊กเข้าไปดูได้นะครับ
.
อ่านรีวิวฉบับเต็ม คลิ๊กที่นี่ >> http://www.kantjourney.com/kkday-one-day-trip/