“เครมลิน” ในภาษารัสเซียนั้น มีความหมายแปลว่าป้อมปราการที่มีคูเมืองล้อมรอบ ซึ่งภายในป้อมปราการหรือเครมลินนั้นก็จะประกอบไปด้วยพระราชวัง วิหารสำคัญๆ และที่ทำการของรัฐบาลต่างๆ แต่เรามักเรียกกันแบบรวมๆ ไปว่า “พระราชวังเครมลิน” ครับ
.
พระราชวังเครมลิน (Большой Кремлёвский дворец) เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับการสร้างเมืองมอสโกในปี ค.ศ.1147 โดยผู้สร้างก็คือเจ้าชายยูริ โดลโกรูกี้ พระราชโอรสของกษัตริย์วลาดิเมียร์ โมโนมาด แห่งเมืองเคียฟ
.
เจ้าชายยูริได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำมอสควาที่ไหลผ่านกลางเมือง เชื่อมต่อกับแม่น้ำโวลก้า และได้สร้างค่าย สร้างประตู สร้างกำแพงเมืองหินปูนสีขาว รวมไปถึงยังสร้างพระราชวังภายในเครมลินแห่งนี้ ซึ่งในสมัยนั้นยังก่อสร้างด้วยไม้และดิน ไม่ได้มีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ครับ
.
ต่อมา ในสมัยของพระเจ้าอิวานที่ 3 มหาราช (Ivan the Great) พระองค์ได้ปลดปล่อยรัสเซียจากการปกครองของพวกมองโกล ได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญขึ้นในหลายๆ ด้านครับ พระองค์ได้มีการปรับเปลี่ยน แต่งเสริมและ ออกแบบเพิ่มโดยทีมสถาปนิกภายใต้การบริหารจัดการของคอนสแตนติน ธอน ซึ่งเป็นช่างที่ได้ศึกษาศิลปกรรมของอิตาลีมาเป็นช่างผู้ออกแบบ
.
พระราชวังเครมลินมีเจตนาที่จะตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของระบอบอัตตาธิปไตยรัสเซีย คอนสแตนติน ธอนยังเป็นสถาปนิกของเครมลินอาร์มัวรี และมหาวิหารพระคริสต์ผู้ไถ่ เปลี่ยนจากกำแพงหินปูนสีขาวมาเป็นกำแพงอิฐสีแดง และได้มีการบูรณะพระราชวัง วางผังเมือง สร้างโบสถ์ โดยพระองค์ได้ทรงนำเอาช่างชาวอิตาลีมาออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้งดงาม
.
พระราชวังเครมลิน มีความสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบบารอกและคลาสสิค ตั้งอยู่บนเนินเขาชื่อ “โบโรวิตสกาย่า” (Borovitskaya) เดิมเคยเป็นพระตำหนักของซาร์หรือจักรพรรดิในมอสโกว ต่อมาเป็นทำเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์บัญชาการของผู้ครองนครมอสโกและจักรวรรดิรัสเซีย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรนิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งได้รับมาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ หรือโรมที่ 2 ครับ
.
พระราชวังซึ่งเป็นอาคารสีครีมมียอดโดมทรงกลมยอดแหลมอยู่ตรงกลางแห่งนี้จึงมีกลิ่นอายของศิลปะอิตาเลียนผสมอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่า มีห้องหับต่างๆ ในพระราชวังนี้ถึง 700 ห้องเลยทีเดียว เรื่องความสวยงามนั้นก็มาเป็นที่หนึ่ง โดยมีทั้งเครื่องตกแต่ง ภาพประดับภาพฝาผนัง รวมไปถึงโคมไฟหรือแชนเดอร์เลียอลังการที่ประดับอยู่มากมาย ทั้งนี้เราไม่สามารถเดินผ่านได้ครับ
.
แต่ก่อนจะเข้าชมภายในเครมลิน ต้องไปซื้อตั๋วก่อนครับ
.
การขายตั๋วนั้นจะขายบริเวณสวนด้านข้างเครมลินครับ จะแบ่งออกเป็นตั๋วเข้าชมภายในทั่วไป ราคา 500 รูเบิ้ล หรือประมาณ 300 บาทและตั๋วเข้าชมห้องพิเศษ คือ “พิพิธภัณฑ์อาร์มัวรี่ แชมเบอร์” (The State Armoury Chamber) ราคา 700 รูเบิ้ล หรือประมาณ 420 บาท และ “พิพิธภัณฑ์เพชร” (The State Diamond Fund ) ใครสนใจจองตั๋วเข้าชมแบบออนไลน์ก็คลิกที่นี่ครับ http://tickets.kreml.ru/en/#id=1
.
ประตูทางเข้าเครมลินสามารถเข้าได้หลายประตูครับ แต่ละประตูก็จะเน้นการตรวจตราที่เข้มงวดเป็นพิเศษ มีล็อคเกอร์ให้ฝากของด้วยครับ เราเลือกเข้าที่ประตู “Vodovzvodnaya Tower” ต้องผ่านการตรวจตั๋วบริเวณบันไดด้านล่างและเข้าเครื่องแสกนอีกครั้งเมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน ก่อนจะข้ามสะพานที่เป็นแนวกำแพงพาดผ่านถนนเล็กๆ ด้านล่าง เพื่อเข้าสู่ภายในเครมลินต่อไป
.
เมื่อเข้ามาแล้วจะเจอกับนายทหารยืนเฝ้าบริเวณด้านหน้าครับ เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่มาจะเจอกับป้อมประตูที่มีลวดลายสวยงาม (อย่าลืมหันหลังกลับไปถ่าย) ซึ่งความน่าสนใจของเครมลินเริ่มขึ้นตั้งแต่หน้าประตูเลยครับ
.
บริเวณโดยรอบเครมลินมีหอคอย 19 แห่ง มีป้อมปราการ 23 แห่ง ป้อมแต่ละป้อมก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความสูงของป้อม การตกแต่ง เช่นบางป้อมมีดาวแดงประดับอยู่บนยอด บางป้อมทำเป็นหอนาฬิกา สำหรับป้อมที่เราเดินเข้ามานี้ก็เป็นอีกป้อมหนึ่งที่มีดวงดาวประดับอยู่ เครมลินมีกำแพงรายล้อมความยาว 2,235 เมตร มีความสูง 5-20 เมตร ขึ้นอยู่กับความชัน
.
ด้านขวามือเป็นพระราชวังเครมลิน ส่วนด้านซ้ายมือในระดับสายตาปะทะอันดับแรกจะเห็นตึกสีเหลืองคืออาคารคลังแสงโบราณ สังเกตได้จากปืนหลายกระบอกที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ใกล้กันเป็นหอคอยทรินิตี้ (Trinity Tower) สร้างขึ้นในปี 1495 ไม่ไกลกันนักเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีปัจจุบันอีกด้วย
.
เดินเข้ามาด้านในอีกนิด ทางขวามือก็จะมีปืนใหญ่กระบอกโตตั้งอยู่ มีนักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปกันต่อเนื่องไม่ขายสาย ปืนใหญ่ที่มาตั้งอยู่ที่นี่เรียกกันว่า ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ (Tsar Cannon) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1586 โดยนายอังเดร โชคอฟ (Andrey Chokhov) ว่ากันว่าเป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักถึงเกือบ 40 ตันด้วยกัน มีความยาว 5.34 เมตร ลำกล้องกว้าง 89 เซนติเมตร ถือเป็นปืนที่มีลำกล้องใหญ่ที่สุดในโลกแต่ยังไม่เคยได้ยิงเลยแม้แต่นัดเดียว แถมด้านหน้าปืนใหญ่ยังมีลูกกระสุนตั้งซ้อนกันอยู่ด้านหน้า 4 ลูก โดยแต่ละลูกก็หนักถึง 1 ตันทีเดียว
.
ส่วน “ระฆังของพระเจ้าซาร์” (Tsar Bell) ที่อยู่ใกล้กัน หล่อขึ้นในปี 1733 เป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 200 ตัน และมีลวดลายสวยงามบนตัวระฆัง น้ำหนักมากขนาดนี้หากแกว่งทีหนึ่งก็คงจะเสียงดังกังวานไปไกล แต่น่าเสียดายที่ระฆังนี้ยังไม่เคยมีเสียงหรือไม่เคยถูกใช้สักครั้ง เพราะในขั้นตอนการหล่อยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ ตัวระฆังยังอยู่ในเตาหล่อใต้ดิน ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นภายในเครมลิน หลังจากเพลิงสงบน้ำที่ใช้ดับไฟได้ซึมลงไปในเตา อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ระฆังร้าวและแตกออกมาอย่างในภาพที่เห็น เป็นเหตุให้ระฆังใบนี้ต้องมาตั้งอยู่ที่ฐานหินแกรนิตพร้อมกับชิ้นส่วนที่แตกออก (เฉพาะส่วนที่แตกก็มีน้ำหนักถึง 11 ตันแล้ว) มาตั้งแต่ปี 1836 แทนที่จะได้แขวนอยู่บนหอระฆังอย่างสง่างาม ซึ่งหากระฆังใบนี้หล่อเสร็จสมบูรณ์ ก็จะได้นำไปแขวนไว้ที่ “หอระฆังอีวาน” ซึ่งเป็นหอระฆังขนาดใหญ่และสูงที่สุดในเครมลิน มีความสูงถึง 81 เมตร สร้างโดยเจ้าชายอิวานถุงเงิน แต่เดิมนั้นหอระฆังนี้สูงเพียง 60 เมตรเท่านั้น แต่ภายหลังได้มีการต่อเติมให้สูงขึ้นไปอีกอย่างในปัจจุบัน และมีระฆังแขวนอยู่ถึง 21 ใบด้วยกัน
.
มองจากหอระฆังไปทางขวาจะเจอกับหอนาฬิกาซาวิเออร์ (Savior Tower) เป็นศิลปะแบบโกธิก ตั้งอยู่บนป้อมสปาสสกายา (Spasskaya Tower) สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ภายนอกบริเวณจัตุรัสแดง และจะตีบอกเวลาทุก 15 นาที
.
เมื่อเดินผ่านหอระฆังอิวานเข้ามาแล้ว เราก็จะพบกับส่วนที่สวยงามแห่งหนึ่งของเครมลิน นั่นก็คือ “จัตุรัสวิหาร” (Cathedral Square) ครับ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหาร 3 หลังที่สำคัญ นั่นก็คือวิหารอัสสัมชัญ (Cattthedral of the Assumption) หรือวิหารดอร์มิชั่น (Dormition Cathedral) เป็นวิหารหลวงที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในเครมลิน โดยก่อสร้างลงบนโบสถ์ไม้เก่าที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว อาคารก่อด้วยอิฐและหินเป็นศิลปะแบบเรเนสซองส์ สร้างโดยยึดเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรัสเซียเป็นสำคัญ มีหลังคารูปโค้งครึ่งวงกลม 4 วงและมียอดโดมรูปทรงคล้ายหัวหอมสีทอง 5 ยอด มีไม้กางเขนประดับอยู่ทุกยอด เป็นวิหารที่ใช้ประกอบรัฐพิธีและพระราชพิธีที่สำคัญของราชวงศ์ รวมถึงเคยเป็นพิพิธภัณฑ์ในสมัยสหภาพโซเวียตและต่อมาได้กลับมาเป็นวิหารในคริสต์ศาสนานิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใช้ทำพิธีสำคัญทางศาสนา
.
ด้านใต้จะเป็นวิหารอันนันซิเอชั่น (Cathedral of the Annuciation) สร้างทับลงโบสถ์เก่าในสมัยอีวานที่3 มหาราช มีการต่อเติมจาก 3 โดมเป็น 9 โดม ทาสีเหลืองทองอร่าม เป็นวิหารส่วนพระองค์ของซาร์และพระราชวงศ์ เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา แต่งงานและสวดมนต์ในแต่ละวัน
.
ส่วนตรงกันข้ามจะเป็นวิหารอาร์คแอนเจิล ไมเคิล (Cathedral of the Archangel Michael) เดิมเป็นโบสถ์ไม้เก่าแก่ เป็นวิหารที่ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของแม่พระมารีย์ผู้กำเนิดพระเยซู ใต้พื้นของวิหารมีโลงบรรจุศพของพระเจ้าอีวานที่ 1 ดมิทริ คอนสกอย อีวานที่ 3 มหาราชและ อีวานที่ 4 จอมโหด ภายในยังมีภาพเขียนแบบเฟรสโก้ (ปูนเปียก) วาดเป็นรูปนักบุญและพระสังฆราชต่างๆ ด้วยครับ
.
ออกจากจัตุรัสวิหารมาแล้ว เราก็กำลังจะเดินผ่านส่วนสำคัญที่สุดของเครมลิน นั่นก็คือ “พระราชวังหลวงเครมลิน” (Great Kremlin Palace) สร้างในปี 1838 เป็นอาคารใหญ่สีขาวหลังคาเขียว หลังคามีโดมยอดแหลม อาคารเป็นศิลปะแบบบารอกคลาสสิค อดีตเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์และพระบรมวงศานุวงศ์
.
เราทำได้เพียงเดินผ่านชอบความสวยงามบริเวณภายนอกเท่านั้น ยิ่งเดินผ่านทางเลียบแม่น้ำมอสควา ต้องบอกว่าเป็นโมเม้นท์ที่น่าจะทับใจมากนัก
.
พระราชวังหลวงไม่อนุญาตให้เข้าไปชมด้านใน ปัจจุบันนี้ พระราชวังเครมลินได้ใช้เป็นที่จัดงานสำคัญๆ ของประเทศเท่านั้น จึงทำได้เพียงเดินอ้อมเพื่อที่จะเข้าไปชมบรรดาสิ่งสวยงามและมีคุณค่าทั้งทางด้านราคาและด้านประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซียที่ “พิพิธภัณฑ์อาร์มัวรี่ แชมเบอร์” (The State Armoury Chamber) ทว่า ด้านในไม่มีตั๋วขายนะครับ ต้องซื้อมาตั้งแต่ตอนแรก แบ่งให้ชมเป็นรอบๆ ครับ และควรเช็คเวลาเปิดเข้าชมให้ดี
.
“พิพิธภัณฑ์อาร์มัวรี่ แชมเบอร์” ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย สร้างมาตั้งแต่ปี 1844 โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บสะสมทรัพย์สมบัติล้ำค่าต่างๆ ของเจ้าชายมัสโควี่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 ภายในแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 9 ห้อง ชั้นบน 4 ห้อง ชั้นล่าง 5 ห้อง จัดหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการเข้าใจและรับชม มีโบราณวัตถุล้ำค่าจำนวนมากกว่า 4,000 ชิ้น เหล่านี้ถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฉลองพระองค์ของเหล่ากษัตริย์และพระราชินี มงกุฎ เครื่องประดับ เหรียญกล้าหาญ บัลลังก์งานช้าง บัลลังเพชร งานแกะสลัก งานโลหะติดทอง ข้าวของเครื่องใช้ในราชสำนักต่างๆ เครื่องบรรณาการ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมถึงราชรถหรือรถม้าก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การชม โดยส่วนใหญ่จะเป็นราชรถที่มาจากยุโรปมีศิลปะสวยงามมาก ที่เก่าแก่ที่สุดคือราชรถของพระเจ้าบอริส โกดูนอฟ (Boris Godunov) ทำจากไม้โอ๊กแกะสลัก ได้รับเป็นเครื่องบรรณาการมาจากราชวงศ์อังกฤษ
.
ถือเป็น 1 ใน 3 แห่งของพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของพระเจ้าแผ่นดินที่ยังคงสมบูรณ์ที่สุดเฉกเช่นเดียวกับที่ อังกฤษและอิหร่าน
.
หากใครสนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ แนะนำว่าควรเผื่อเวลาเอาไว้ให้มากครับ เพราะแต่ละจุดต้อง ใช้เวลาในการศึกษาทำความเข้าใจพอสมควร ทว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก กับการได้ชมอดีตที่ผ่านมาอีกครั้ง
.
… แม้จะเดินมากหน่อยก็ตาม