TOKYO FIRST TIME :
FRIENDSHIP FRIEND’S TRIP
/
ตอนนี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศท่องเที่ยวเบอร์หนึ่งในใจหลายคนครับ ที่อยากจะมีโอกาสไปเที่ยวสักครั้ง
เพื่อที่จะไปดูว่า “แดนปลาดิบ” ที่เขาว่ากันนั้นมันเป็นอย่างไร
คนญี่ปุ่นจะมีเสน่ห์จริงใจอย่างที่ใครเค้าเล่าลือกันหรือเปล่า
และไปแล้ว จะติดใจอยากจะไปซ้ำอีกหลายๆ ครั้งเหมือน Kant Journey หรือไม่
เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสพาเพื่อนไปญี่ปุ่น (เพื่อนยังไม่เคยไปเลยครับ) ขอบคุณ NokScoot ที่ออกตั๋วโปรมาสำหรับเส้นทางใหม่ กรุงเทพฯ-นาริตะ เราจึงได้ตั๋วไปโตเกียวชั้น ScootBiz มาในราคาหมื่นสองพันกว่าบาท ว๊าวววววว
ดังนั้น จากโจทย์ที่ทำได้ก็คือการพาไปยังแลนด์มาร์คของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ลืมที่จะไปเที่ยว ไปกิน ไปช้อปปิ้ง ในร้านที่เราเลือกแล้วว่าดี
(เพื่อเพื่อนแล้วคำว่าดีอาจจะไม่พอ … ต้องขอดีที่สุด 555)
ผมจึงลองวางเส้นทางเที่ยวเน้นเจาะลึกโตเกียว แบบที่เที่ยวเองได้สบายๆ ภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ไม่เหนื่อยหรือลำบากจนเกินไป ราคาไม่ต้องสูงมากเอาแบบพอรับได้ เวลาอาจจะมีจำกัดเพียงแค่ 6 วัน ดังนั้น บางรายการอาจจะต้องตัดทิ้งไป แพลนจึงออกมาได้ประมาณนี้
DAY1 • BANGKOK • NARITA • ASAKUSA • ODAIBA •
DAY2 • UENO • TOKYO • IKEBUKURO • ROPPONGI • AKIHABARA •
DAY3 • KAWAGUCHIKO • LAKE • FUJI MT. •
DAY4 • KAWAGOE • OUTLET • AMEYOKO • TAKEYA •
DAY5 • TSUKIJI • GINZA • HARAJUKU • SHINJUKU • SHIBUYA •
DAY6 • NARITA • BANGKOK •
ในทริปนี้เราจึงมีทั้งนั่งรถไฟ ขึ้นเรือและขับรถเที่ยวเองครับ เดินเยอะหน่อย ช่วยย่อยและลดน้ำหนักไปในตัว ไม่มีวันเดินต่ำกว่า 10 กิโลเลยคิดดู เบิร์นได้ดีมาก
ทริปอาจจะเที่ยวได้ไม่ครบ แต่ก็ถือว่าจบทริปลงไปอย่างสวยงาม
นับเป็นบรรยากาศดีๆ ที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนที่รู้ใจ และไม่ลืมที่จะแบ่งปันข้อมูลและความรู้สึกนี้ให้กับแฟนเพจท่านที่อ่านอยู่ตรงนี้ด้วยครับ #แทคชวนเพื่อนตัวเองไปเที่ยวสิครับ
หวังว่าข้อมูลแผนการเดินทางท่องเที่ยวโตเกียว (ครั้งแรก) – TOKYO FIRST TIME น่าจะถูกใจใครหลายคนนะครับ
ลองนำแพลนไปปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์การเดินทางของตัวเอง
ผลเป็นอย่างไร อย่าลืมมาเล่าให้กันฟังด้วยครับ
live life to the fullest
#KantJourney #กานต์เดินทาง
#livelife #SeetheWorldThroughKantJourney
#Gentlemen #SoloTravel #Hotel #LifeStyle
#Japan #Tokyo #ญี่ปุ่น #โตเกียว
เที่ยวทั่วญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ wifi สัญญาณไวเต็มแม๊กซ์ เต็มสปีด ไม่มีหลุด เหนือสุดถึงใต้สุด ตั้งแต่ฮอกไกโด ยัน โอกินาว่า กับ 4wifi by 4gpocketwifi << สนใจทักเลย
—
TOKYO FIRST TIME :
FRIENDSHIP FRIEND’S TRIP
live life to the fullest
#KantJourney#กานต์เดินทาง
#livelife#SeetheWorldThroughKantJourney
#Gentlemen#SoloTravel#Hotel#LifeStyle
#Japan#Tokyo#ญี่ปุ่น#โตเกียว
เที่ยวทั่วญี่ปุ่นได้อย่างสบายใจ wifi สัญญาณไวเต็มแม๊กซ์ เต็มสปีด ไม่มีหลุด เหนือสุดถึงใต้สุด ตั้งแต่ฮอกไกโด ยัน โอกินาว่า กับ 4wifi by 4gpocketwifi << สนใจทักเลย
ฉลองโปรโดนใจกับเส้นทางใหม่ของสายการบิน NokScoot ครับ
เพิ่งจะเปิดบินเส้นทาง กรุงเทพ-นาริตะ ไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ราคาตั๋วชั้นประหยัดอยู่ที่ 5 พันกว่าบาท (ไม่รวมน้ำหนักกระเป๋า) ส่วนผมนั่ง ScootBiz ราคาอยู่ที่ประมาณหมื่นสองครับ
ไฟล์ทออกประมาณ ตี 2 ขึ้นเทคปุ๊บ หลับปั๊บ สักแปบก็ตื่น กัปตันพาเรามาถึงที่สนามบินนาริตะ ในช่วงเช้าประมาณ 10 โมงเวลาญี่ปุ่นครับ
ลงเครื่องเสร็จแล้วเราเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน จากนั้นจะนั่งรถไฟ 京成電鐵 Keisei Skyliner เข้าเมืองครับ
แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋ว-ไปกลับ จะได้ตั๋วรถไฟใต้ดินเพิ่มอีกหนึ่งใบ (เอาไว้ใช้วันที่ 5 ของการเดินทาง) ปลายทางของเราจะอยู่ที่สถานี Nippori ครับ ใช้เวลานั่ง 37 นาที ถือว่าเร็วมาก
หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าโรงแรม ก็นั่งรถไฟมาที่วัดโคมแดงครับ แต่ก่อนจะไปวัดขอไปกินไอติมเจลาโต้ชาเขียวที่ดังที่สุดในตอนนี้ ในย่านอาซากุสะ ที่ร้าน “ซุซุกิเอ็น x นานายะ” Suzukien x Nanaya Gelato shop in Asakusa, Tokyo
จะไม่ให้ดังได้ยังไงกัน ในเมื่อร้านนี้เขาเปิดมาตั้งแต่ปี 1853 และขาย “เจลาโต้ชาเขียวที่เข้มที่สุดในโลก!!”
สั่งเลเวล 7 ชื่อว่า “Premium No.7” เข้มอะไรเบอร์นั้น
ชาเขียวนะ ไม่ใช่ผม #แต่งตัวได้แมทช์ร้านประหนึ่งตั้งใจ
พิกัด : ใช้รถไฟสาย Tokyo Metro Ginza เดินประมาณ 10 นาที จากสถานีรถไฟใต้ดิน Asakusa
http://www.tocha.co.jp/
เอ๊า เดินจากหลังวัดมาด้านหน้า เพื่อมาถ่ายรูปกับแลนด์มาร์ก ที่วัดอาซากุสะ หรือวัดเซ็นโซจิ หรือที่เราเรียกว่า “วัดโคมแดง” ครับ คนเยอะทั้งวันจริงๆ สำหรับที่นี่ ต่างก็จ้องจะมาถ่ายรูปคู่กับโคมยักษ์สีแดง และมักมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งอยู่เสมอ Sensoji Temple Asakusa Kannon-Do
เวลายังพอมี แวะมาเดินเล่นชมวิวมุมสูงที่ Tokyo Sky Tree Tower, Tokyo, Japan เป็นหอโทรทัศน์ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ และยังเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งของโตเกียวเลยก็ว่าได้ครับ
เป็นจุดชมวิวเมืองโตเกียวที่สวยที่สุดอีกจุดนึง สามารถชมวิวได้รอบทิศ 360 องศา ได้รับการยอมรับให้โตเกียวสกายทรีเป็นตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ท้าชนทุกตึกด้วยความสูงมากถึง 634 เมตร แบ่งเป็นสองขั้น โดยชั้นแรกสูง 350 เมตร และชั้นบนสูง 450 เมตร
ลงจากโตเกียวสกายทรี เรามาต่อคิวขึ้นเรือ Tokyo Cruise เพื่อจะล่องแม่น้ำสุมิดะ ไปยังเมืองใหม่ Odaiba
เช็คราคาและรอบเรือได้ที่ http://www.suijobus.co.jp/en/
Odaiba สมัยก่อนเป็นเกาะอยู่ที่อ่าวโตเกียว และได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ ป้องกันการรุกรานของข้าศึก ต่อมาก็ได้ถูกถมที่เพิ่มเพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย ตึก สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และ ท่าเรือ จนทำให้ Odaiba เป็นเมืองใหม่ของโตเกียว มีผังเมืองสวยงาม ตึกรูปทรงแปลกๆ รถไม่เยอะเหมือนโตเกียว และไม่วุ่นวาย และมีห้างให้เราช้อปปิ้งมากถึง 4 แห่ง คือ
•ห้าง Aqua City
•ห้าง DECKS Tokyo Beach
•ห้าง Diver City Tokyo Plaza
•ห้าง Venus Fort
ที่มีน้ำพุนี้อยู่นี่แหละครับ ส่วนชอบเพราะเป็นห้างที่สวยงามครับ
Odaiba สมัยก่อนเป็นเกาะอยู่ที่อ่าวโตเกียว และได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการ ป้องกันการรุกรานของข้าศึก ต่อมาก็ได้ถูกถมที่เพิ่มเพื่อใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย ตึก สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และ ท่าเรือ จนทำให้ Odaiba เป็นเมืองใหม่ของโตเกียว มีผังเมืองสวยงาม ตึกรูปทรงแปลกๆ รถไม่เยอะเหมือนโตเกียว และไม่วุ่นวาย และมีห้างให้เราช้อปปิ้งมากถึง 4 แห่ง คือ
•ห้าง Aqua City
•ห้าง DECKS Tokyo Beach
•ห้าง Diver City Tokyo Plaza
•ห้าง Venus Fort
ที่มีน้ำพุนี้อยู่นี่แหละครับ ส่วนชอบเพราะเป็นห้างที่สวยงามครับ
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty) ด้านหลังคือสะพานสายรุ้ง ช่วงเวลาที่สวยที่สุดจะเป็นช่วงเวลามืดจะเห็นไฟที่สะพาน และบ้านเรือนฝั่งโตเกียวเป็นไฟระยิบระยับสวยงาม
ขากลับนั่งรถไฟขึ้นสะพานสายรุ้งกลับ (นำภาพช่วงกลางวันมาจากทริปอื่น เพื่อจะได้เห็นชัดๆ) โอไดบะนั้นมีรถไฟฟ้าสายของตัวเอง คือ Yurikamome เป็นรถไฟไร้คนขับ จึงต้องแย่งชิงที่นั่งโบกี้แรกด้านหน้าสุดกันหน่อย เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปนี้
ช้อปกันจนตังค์หมดแล้วนะ (แรงก็หมด) สำหรับวันแรก ซื้อปลาดิบจากห้างกลับไปกินที่โรงแรมกันดีกว่า
โดยเทคนิคแล้ว ควรซื้อประมาณ 1 ทุ่มเพราะห้างใกล้จะปิดจะเริ่มนำของสดมาลดราคา ก็จะประหยัดลงไปได้อีกจ้า
เช้ามาวันที่ 2 ของการเดินทาง เรามากันที่ย่าน อูเอโนะ ย่านยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช้านี้จะมาชมสวนและเข้าพิพิธภัณฑ์ เรื่องช้อปปิ้งค่อยว่ากันตอนเย็น จะได้ไม่ต้องหิ้วของไปมา
ที่ Ueno มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งครับ จัดแสดงด้วยคอนเซปต์ที่แตกต่างกันออกไป อาทิ
• พิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว แสดงทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น
• พิพิธภัณฑ์ชิตะมาจิ แสดงความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน
• พิพิธภัณฑ์หลวง
• พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย
• พิพิธภัณฑ์ศิลปะมหานครโตเกียว แสดงผลงานของศิลปินญี่ปุ่นเป็นหลัก
• พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ แสดงผลงานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ธรณีวิทยา
ส่วนใหญ่ที่ว่ามา เสียเงินค่าเข้าหมดครับ แต่ก็ควรไปให้รู้ ดูให้เห็นสักครั้ง
จบจากพิพิธภัณฑ์ ไปตะลอนเที่ยวกันอีกหลายที่ครับ ไม่ว่าจะเป็น ย่านอิเคะบุคุโระ (IKEBUKURO) อย่าลืมไปกิน Ringo-applepie พายแอปเปิ้ลชื่อดัง
อะคิฮะบาระ (AKIHABARA) ไปดูแสงสี ความไฮเทคและเที่ยวเมดคาเฟ่
ส่วนย่าน รปปงงิ (ROPPONGI) ก็น่าไป มีงานอาร์ตสวยๆ รอเราอยู่เพียบ
ปิดท้ายคืนนี้ด้วยซูชิระดับพรีเมี่ยมที่ ห้างสรรพสินค้าคาเรทต้า (Caretta Shiodome) ขึ้นลิฟท์มา Sky Bar ชั้น 47 ได้เลยครับ ร้านนี้วัตถุดิบทุกอย่างสดและหวานฉ่ำมาก จะมีให้เราลองเทสต์ด้วยตาก่อนที่เชฟจะลงมือปรุง นอกจากนี้ ยังเป็นร้านอาหารที่วิวสวยมาก (แพงตรงวิวนี้แหละ)
วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้เราตั้งใจจะออกนอกเมืองไปกันที่ทะเลสาบ Kawakugiko Japan จองรถจาก Toyota Rent A Car ค่าเช่ารถวันละ 7 พันเยนโดยประมาณ ไม่รวมค่าน้ำมันและทางด่วนครับ นับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว หารๆ กันก็ถือว่าโอเคครับ ราคาพอรับได้
การขับรถที่ญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา แต่เรื่องที่ควรระวังคือการปฏิบัติการกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ขับความเร็วเกินกว่าที่กำหนด และเคารพคนเดินถนนเป็นสำคัญครับ ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุ หรือมีปัญหา เพราะว่าเราเป็นต่างชาติ เคลียร์ยากครับ
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงที่ ทะเลสาบครับ วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ฟ้าปิด เลยอดเห็นฟูจิ แต่อากาศดี วิวสวยครับ ถ่ายรูปกับป้ายเอาละกัน
แม้ฟ้าจะปิดแต่ก็เป็นอีกบรรยากาศ เอาจริงๆ ย่านทะเลสาบนี้ ส่วนตัวผมว่าเหมาะกับการขับรถเที่ยวมากกว่าครับ ไม่ต้องต่อรถไฟ ไม่ต้องรอรถเมล์ เพราะจะเก็บได้ไม่หมด นี่เราไปขึ้นวัดเจดีย์แดงมาแล้ว (ก็ไม่เห็นฟูจิ) แถมยังไปตะเวนอีกหลายที่ สนุกสนานดีครับ
“หมู่บ้านโอชิโนะ ฮักไก (Oshino Hakkai Village)” เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ บริเวณทะเลสาบยามานาคาโกะ ซึ่งที่นี่เองก็ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกในฐานะส่วนหนึ่งของภูเขาไฟฟูจิด้วย
ในบริเวณนี้มีบ่อน้ำใสๆ รวมกันกว่า 8 บ่อ ทำให้คนไทยเราเรียกที่นี่ว่า “หมู่บ้านน้ำใส” นั่นเองครับ
ที่เห็นคือ บ่อน้ำนิโกริ (Nigori Pond) มีปลาตัวใหญ่ๆ มีคนโยนเหรียญขอพร แต่ต้องระวังตกน้ำด้วยนะครับ
เสร็จจากหมู่บ้านน้ำใสก็ได้เวลาขับรถกลับเข้าโตเกียว เผื่อเวลาด้วยก็ดีครับเพราะว่าที่โตเกียวช่วงเย็นนั้นรถติด ต้องทำเวลา หากคืนรถช้ากว่าที่กำหนดจะต้องเสียค่าปรับนะครับ
ปิดท้ายคืนนี้ เราก็เดินมากินราเมงระดับแชมป์เปี้ยน ที่ไม่ค่อยดังในหมู่คนไทย แต่โดนใจคนญี่ปุ่น พิกัดอยู่แถวย่าน Ikebukuro ครับ
วันต่อมา พาไปเที่ยวเมืองเอโดะโบราณที่ Kawagoe (คาวาโกเอะ) เมืองเก่าสุดน่ารักฉายา “ลิตเติ้ลเอโดะ” เดินทางง่ายไม่ไกลจากโตเกียวครับ
ที่นี่ก็จะมีนักท่องเที่ยวใส่กิโมโน เดินกันน่ารักทั้งเมือง สามารถนั่งรถไฟจากสถานี Ikebukuro แนะนำให้ซื้อเป็นพาสตั๋วรถไฟพร้อม loop bus ไปเลยจะประหยัดและสะดวกกว่าครับ
ไฮไลท์ก็คือ ศาลเจ้าฮิกาวะ(Musashi Ichinomiya Hikawa Shrine) เป็นศาลเจ้าชื่อดังของจังหวัดไซตามะ โดยคนนิยมมาที่ศาลเจ้าฮิกาวะเพื่อขอพรเกี่ยวกับสุขภาพ ความรัก การแต่งงาน โดยจะมีเครื่องรางเป็นรูปปลาสีชมพูครับ
เสร็จจากไหว้พระขอพร กินมันหวาน เราก็นั่งรถไฟไปต่อกันที่ Musui Park Outlet Makuhari เดินทางง่าย นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมี ทำให้มีของเหลือเยอะครับ 555
อย่าง adidas คู่นี้ ได้มาในราคา 1,500 บาท
การเดินทางนั่งรถไฟ JR สาย Keiyo Line จากสถานีโตเกียว มาลงสถานี Kaihin-Maguhari ใช้เวลาประมาณ 40 นาที Outlet อยู่ติดสถานีเลยครับ
ภารกิจการช้อปของเรายังไม่จบสิ้น ที่ผ่านมาเรียกว่าน้ำจิ้ม เป็นของเรียกน้ำย่อย ของจริงคือที่นี่ ตลาดอาเมโยโกะ ย่านอุเอโนะ มีทุกอย่างให้เลือกสรร แต่คนไทยเรามักจะเดินตรงไปอีกหน่อยแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอ UENO สวรรค์นักช้อปที่ ตึกม่วง Takeya มาเหอะที่นี่ที่เดียว ศูนย์รวมของฝากของที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อ มีหมดครบ ไม่รู้ชื่อก็ถ่ายรูปมา เดี๋ยวพนักงานจะพาไปหยิบให้ ตอนนี้เริ่มมีเจ้าหน้าที่คนไทยมาประจำการแล้วครับ
ช้อปจนเหนื่อย ได้ของทุกอย่างตามที่ต้องการ เรามาจบกันที่ร้านราเมงข้อสอบ หรือ Ichiran Ueno, Tokyo มีหลายสาขาครับ ไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก ขอแบบน้ำซุปเข้มข้น เส้นราเมงแข็งๆ ใส่หมูชาชู แล้วก็พริกเลเวล 10 เท่านั้น!!
ราเมงยังไม่ทันจะย่อย เช้ามาเรามาเดินตลาดปลา Tsukiji Fish Market(築地魚河岸)
วันที่ 5 ของการเดินทาง วันนี้จะเป็นวันที่เราใช้ตั๋ว Tokyo Metro Pass ตั๋วรถไฟใต้ดิน เป็นตั๋วหลัก
ส่วนตัวไม่ได้มาตลาดปลานานหลายปีมาก เพราะคิดว่าไม่ค่อยมีอะไร ประมูลปลาก็ไม่ตื่นมาดู ซูชิก็ไม่อยากมายืนต่อคิวกิน แต่เพื่อเพื่อน เราทำได้
เดินเข้ามาแทบจะหลง ตกใจกับความเปลี๋ยนไป๋ ของตลาดปลาในวันนี้ ที่สำคัญคือคนเยอะมากกกก
อ๊ะ!! ห่อมาฝากจากตลาด
#พ่อค้าปลาหล่อบอกต่อด้วย
กินซูชิวนไป ร้านไหนก็ได้ในเวลานี้ เพราะไม่สามารถในการต่อคิวกินได้จริงๆ
จากนั้นมาต่อกันที่ย่านหรูหราไฮโซ เออ ค่อยเข้ากับเราหน่อย 555 คือย่านกินซ่า GINZA นั่นเองครับ
อยากให้เซตไว้เป็นวันอาทิตย์ เพราะที่นี่จะปิดถนน เอาโต๊ะ เอาเก้าอี้มาวาง เอาร่มมาตั้ง นั่งๆ เดินๆ กันอย่างสบายใจ ในวันที่อากาศดีๆ เป็นบรรยากาศที่ดี และเอื้อต่อการช้อปปิ้งมากครับ
เดินเล่นฆ่าเวลา รอเพื่อนช้อปปิ้งที่ Uniqlo Ginza เดินมาที่คาเฟ่ลูแปง (純喫茶ルパン) คาเฟ่ชื่อเดียวกับการ์ตูนนักสืบในดวงใจ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน
ร้านนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1928 และได้ปิดให้บริการชั่วคราวในช่วงหลังสงคราม จากนั้นก็ได้เปิดให้บริการในฐานะคาเฟ่ ที่ขายทั้งกาแฟ และเหล้า
ที่นี่ยังเป็นบ้านลับที่เหล่านักประพันธ์ในระดับแนวหน้าของญี่ปุ่นมานั่งอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอังโงะ ซากางุจิ, โอซามุ ดาไซ, ชินอิจิ โฮชิ ฯลฯ ร้านนี้นั่งแล้วจะให้ความรู้สึกลึกลับ แปลกประหลาดแต่ไม่แปลกหน้า เหมาะแก่การมาเช็คอินสักแปบแล้วไปช้อปต่อ
มากินซ่า ต้องไม่พลาดกิน “อันปัง” ขนมปังถั่วแดงและไส้ต่างๆ ของร้าน Kimuraya Bakery 銀座木村家 ที่นี่เป็นร้านเบเกอรี่เก่าแก่เปิดมาตั้งแต่ปี 1874 เป็นร้านที่คิดค้นขนม “อังปัง” ที่เป็นของกินที่ผสมผสานวัฒนธรรมขนมปังของต่างประเทศเข้าไปในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งรสชาติที่เรียบง่ายและอร่อยมากนี้ ก็กลายเป็นร้านที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นครับ
จาก Ginza นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Meiji-Jingumae “Harajuku” Station ที่ฮาราจูกุ ครับ เพื่อจะไปศาลเจ้าเมจิ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในศาลเจ้าที่โด่งดังมากๆของโตเกียว ตั้งอยู่ติดกับสวนโยโยกิ (Yoyogi Park)ในโตเกียว ซึ่งนั่นก็ทำให้รอบๆบริเวณของศาลเจ้านั้นแลดูจะร่มรื่น สงบเงียบไม่วุ่นวาย แตกต่างจากบรรยากาศภายนอกครับ
ศาลเจ้าเมจิเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมมากของคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะช่วงปีใหม่ จะมีคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาที่ศาลเจ้ากว่า 3 ล้านคนเลยทีเดียวเพื่อมาสวดมนต์ครั้งแรกของปี (hatsumode)
ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างเพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิเมจิและพระมเหสีในยุคสมัยก่อน ภายหลังเมื่อในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ศาลเจ้าเมจิได้ถูกทำลายลง แต่ก็ได้มีการบูรณะและสร้างขึ้นมาใหม่ และยังเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายมนต์ขลัง
มาถึงก็ต้องเขียนแผ่นไม้ขอพร แล้วนำไปแขวนไว้เพื่อความเป็นศิริมงคล
นอกจากนั้นแล้วก็ยังนิยมใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานแบบชินโตด้วย ผมมาทุกครั้งเจอคนแต่งงานทุกครั้งครับ
เดินออกจากศาลเจ้าเมจิ จะข้ามสะพานหิน Jingu Bashi เพื่อไปเดินเล่นที่ฮาราจูกุ
มีหนุ่มหน้าตาดีมาให้บริการกอดฟรีด้วยครับ
จากฮาราจูกุ มาต่อกันที่ชิบุย่า ก็ต้องมาถ่ายรูปกับหมาฮาชิโก และห้าแยกชิบุย่า ตามระเบียบ
คนเยอะมากครับ จุดชมบรรยากาศก็มีหลายที่นะครับ ฮิตๆ คนเยอะๆ ก็ที่ร้านกาแฟสตาร์บัค ตรง TSUTAYA
หรือถ้าอยากได้หรูหน่อยก็ไปนั่งที่ L’Occitane Cafe ส่วนเราเน้นง่ายๆ ถ่ายจาก Shibuya Mark City ก็ได้ครับ ไม่ต้องเสียตังค์
เย็นนี้ สังสรรค์กันหน่อยก่อนกลับไทย พาเพื่อนมากิน “อ่องปู” ที่ร้าน Isomaru Suisan สาขาชิบุย่า มาแล้วก็ต้องลองจิบไฮบอลล์หน่อยครับ คล้ายๆ กับม๊อกเทล ดื่มง่าย เพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหาร
ผมสังเกตว่าคนญี่ปุ่นมักจะสั่งทีละนิด หมดก็สั่งเพิ่ม ค่อยๆ เติมไปเรื่อยๆ ไม่รีบกินรีบกลับ แตกต่างจากเรา จะกระหน่ำสั่งทีเดียวจนไม่มีที่จะวาง จะรีบนั่งกินแล้วรีบกลับ
คืนนี้บอกเลย ไม่เมาไม่กลับ!!
จากชิบุย่า มาเดินเล่นกันต่อที่ ชินจูกุครับ ย่านช้อปปิ้งยอดฮิตของใครอีกหลายคน ตรงนี้ก็เป็นจุดไฮไลท์ที่ต้องมาถ่ายรูปกับก็อตซิล่า ของโรงแรม Hotel Gracery Shinjuku – ホテルグレイスリー新宿 อยู่ในโซน Kabukicho เป็นย่านที่เที่ยวกลางคืน ถ้ากลับดึก อาจจะดูอันตรายนิดหน่อยสำหรับสาวๆ โรงแรมใหม่ และฮิตมาก ราคาก็ขยับตามไปด้วยครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ดีงามและอยากแนะนำเมื่อมาเที่ยวย่านชินจูกุ ก็คือชานมรสชาติเข้มข้น อยู่บริเวณใต้สะพานใกล้ๆ Information Center Shinjuku ดีงามด้วยแก้วรูปทรงกลมมนที่ฐาน เพิ่มความ cute ให้กับการรับทานชานมไข่มุก แก้วนึงประมาณ 500 เยนครับ
วันที่ 6 ของการเดินทาง ได้เวลากลับแล้วครับ
ที่เห็นแบกเป้มาทำเท่ แต่ไฮไลท์อยู่ในกระเป๋าพับครับ ผมชอบพกแบบนี้นะ สะดวกดี ตอนขามา แต่ขากลับอาจจะลำบากเล็กน้อย ส่วนใครที่มีกระเป๋าลากน่าจะสะดวกกว่า เพราะแตกลูกออกมาได้เลย
ที่เห็นในกระเป๋าคือของฝากชาวบ้านทั้งน๊านนนน สาบานได้ เชื่อหน่อยนะ 5555
มาถึงที่สนามบิน ยังซื้อของได้อี๊กกกก ลองเหล้าบ๊วยตัวใหม่ดูบ้าง จากตารางท่าทางเมาไวดี คะแนนเรื่องเฮฟวี่นำโด่งเชียว
อย่างไรแล้ว สุรานำเข้าจากต่างประเทศได้ไม่เกินท่านละ 1 ลิตรนะครับ ตามกฎตม.ไทย
ขอบคุณ เพื่อนๆ ที่ทำให้ทริปนี้สนุกมาก เหมือนได้ย้อนวัยไปสมัยวัยรุ่นอีกครั้ง เที่ยวไปกัดกันไป แซวกันไป เอื้อเฟื้อกันไป การมาเที่ยวกับเพื่อนที่รู้ใจทำให้ทริปสนุกขึ้นครับ
ทริปการเดินทางครั้งนี้เช่า wifi ของ 4wifi by 4gpocketwifi ข้อดีคือมีหลายคนก็เช่าเครื่องเดียวพอ แล้วแชร์กัน ใช้งานได้ไม่อั้น ยังไม่เจอปัญหาสะดุด ลื่นไหลดีตลอดทั้งทริปครับ
ชอบกล่องใส่ไวไฟใบนี้มาก อยากขอซื้อ สีสันสดใสดี
รอเครื่องออกใช้บริการ lounge
#อ่านหนังสือรอต่อไป ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตาม หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากมาเที่ยวญี่ปุ่นบ้างนะครับ
และอย่าลืมแชร์เรื่องการเดินทางของคุณ ให้ #กานต์เดินทาง อ่านบ้างนะครับ