ตื่นกันแต่เช้าตรู่จากเมืองเดลี เพื่อมาขึ้นเครื่องสายการบินแอร์อินเดีย (AI) ไปยังเมืองศรีนาการ์ (Srinagar) เมืองหลวงของแคว้นจามมู (Jammu) และแคชเมียร์ (Kashmir) ขึ้นไปนั่งบนเครื่องเวลาประมาณสิบโมงกว่า แต่ว่าแดดสะท้อนจากหิมะแรงมาก
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงสนามบินศรีนาการ์
สนามบินที่ศรีนาการ์ตรวจเข้มข้นมาก โปรดระวังเจ้าหน้าที่ พอร์เตอร์ที่อาสาจะมาช่วยขนกระเป๋า เพราะต้องเสียตังค์จ้า
ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารนั้น มีรักษาความปลอดภัยอยู่ทั่วไป … และห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด
ออกจากสนามบินก็เจอบรรยากาศ … ของหิมะปกคลุมไปทั่วเมือง อุณหภูมิประมาณ 10 กว่าองศา มีลมพัดเย็นๆ สลับกับแดดร้อนๆ ตอนใกล้เที่ยง
จุดหมายแรกคือเข้าที่พักที่บ้านเรือ เพื่อจัดเก็บสัมภาระ ใช้เวลาช่วงนี้เมียงมองไปตามถนนหาทาง ดูบ้านดูเมือง ดูผู้คน ที่นี่จะคล้ายกับเดลลี คือเจอแต่ผู้ชายอยู่นอกบ้าน
หลังจากการเดินทางเลี้ยวลด คดเคี้ยว ผ่านการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดของทหารที่ประจำการณ์ตามจุดต่างๆ ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงก็ถึงบ้านเรือ
ที่นี่มี 2 ทะเลสาบหลักคือ ทะเลสาบดาล (Dale Lake) และทะเลสาบนากีน (Nagin Lake)
ผมเลือกพักที่หลังครับ … ถามว่าเพราะอะไร
จากการเดินทางมาแคชเมียร์หลายครั้ง พบว่า ที่นากีน สะดวก สบายและสวยงามกว่าครับ ที่นี่ติดทั้งบกและทะเลสาบ ไม่ต้องพายเรือชิคารา (Shikara) เข้าออกให้วุ่นวาย แถมยังเป็นสัดส่วนระหว่างนักท่องเที่ยวกับบ้านเรือ (น) ผู้คน ทำให้สงบกว่ามาก และเท่าที่สัมผัส … ที่นี่สะอาดกว่ามากครับ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาบ้านพักที่สูงกว่าพอสมควรครับ
“บ้านเรือ” คือสิ่งที่หลงเหลือมาจากยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษ ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจและเป็นจุดขายที่สร้างความประทับใจให้แคชเมียร์มาเนิ่นนาน
หากย้อนอดีตกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อน … ด้วยเหตุที่ศรีนาการ์เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และมีภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติที่สวยงาม คล้ายคลึงกับเมืองสวยๆ ในยุโรป เมื่ออังกฤษเข้าปกครองอินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่แห้งแล้งและอากาศร้อนมาก ถึงมากที่สุด … คนอังกฤษในพื้นที่อื่นของอินเดียมักจะหนีอากาศร้อนมาพักผ่อนกันที่เมืองนี้กันมาก
ทางการอินเดียในตอนนั้น ไม่อนุญาตให้คนต่างชาติซื้อที่ดินปลูกบ้านกันที่นี่ … ชาวอังกฤษจึงได้สร้างบ้านเป็นเรือลอยน้ำที่สุดแสนหรูหราที่มีทุกอย่างภายในเหมือนบ้านหลังหนึ่ง โดยไม่ต้องลงหลักปักเสาเข็มให้ผิดกติกา ใช้วิธีลอยเรือในลำน้ำ เพื่อการพักผ่อน นอนเอกเขนกจิบชายามบ่ายอยู่ในน้ำรอบๆทะเลสาบ
ฟินเฟร่อ!!
เมื่อหมดยุคล่าอาณานิคม … บ้านเรือก็ยังคงอยู่ และได้ถูกดัดแปลงมาเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของแคชเมียร์ และสวยมากจนสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้เข้าพักตั้งแต่วินาทีแรก
บ้านเรือเหล่านี้ทำมาจากไม้สนซีดาร์ ประดับประดาด้วยการแกะสลักวิจิตรบรรจงสไตล์แคชเมียร์สวยงามทั้งลำเรือ มูลค่าเรือแต่ละลำก็ไม่ธรรมดานะครับ หลายล้านเลยทีเดียว
เมื่อเปิดประตูตรงกลางเรือจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 โซน คือโซนห้องพักกับโซนพักผ่อน ปูด้วยพรมผืนใหญ่หนานุ่มทั้งลำ (ที่นี่มีชื่อเสียงในการทำพรมส่งออก)
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน การตกแต่งยังคงอลังการแบบเปอร์เซีย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในวังของสุลต่าน มีชุดรับแขกที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง พร้อมเตาผิงโบราณ ส่วนด้านหัวเรือจะเป็นเฉลียงที่หันหน้าออกไปทางทะเลสาบ ซึ่งเงียบ สงบ ไม่พลุกพล่าน มองไปสุดสายตาจะเป็นแนวเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี
ถัดจากห้องรับแขกเข้าไปด้านในเป็นห้องอาหาร จากนั้นก็จะเป็นทางเดินที่เชื่อมห้องนอนต่างๆ จำนวนของห้องนอนขึ้นอยู่กับเรือแต่ละลำ เรือหนึ่งลำจะมีอยู่ 2-4 ห้องนอน ซึ่งทีเด็ดคือ ห้องนอนใหญ่สุดจะอยู่ท้ายเรือ ดังนั้นใครที่มาถึงแล้วตื่นเต้นรีบจองห้องนอนแรกเลย ก็ปล่อยเค้าไป ของดีอยู่ด้านในสุดจ้า!!
ภายในห้องนอนมีเตียงนอนขนาดใหญ่ 1 เตียง และเตียงเดี่ยวขนาดเล็กอีก 1 เตียง … มีโต๊ะเครื่องแป้งและห้องน้ำในตัวทุกห้อง เป็นสัดส่วนดีมาก ซึ่งแน่นอนว่าห้องนอนใหญ่ด้านในสุดก็จะตกแต่งแบบอลังการสุด
ส่วนใครที่กังวลว่าจะมีอาการเมาเรือรึเปล่า นอนหลับหรือไม่ ขอบอกว่าไม่ต้องห่วงครับ บ้านเรือที่นี่ไม่มีอาการโคลงเคลง แต่กลับมั่นคงจนลืมไปเลยว่าเรากำลังอยู่ในเรือ เพราะพี่เล่นปักเสาเข็มยึดไว้ใต้ดินอย่างแน่นหนา
ทีเด็ดยังไม่หมด!! บ้านเรือแต่ละลำจะมีพ่อบ้านให้การดูแลแขกที่พัก … แล้วแต่บุญแต่กรรมว่าเรือลำไหนจะได้พ่อบ้านคนไหน (พ่อบ้านเรือบางลำก็แซ่บมาก!!) พ่อบ้านจะทำงานสารพัดเพื่อให้ผู้มาพักมีความสุข ตั้งแต่เตรียมอาหาร ซึ่งรับมาจากครัวกลาง เชิญทุกคนในบ้านมาทานข้าว (ต้องมาให้พร้อมหน้าครบทุกคน ถึงจะเสิร์ฟอาหาร ดังนั้น สมาชิกในบ้านต้องนัดหมายเวลากันให้ดี)
จากนั้น พ่อบ้านก็จะคอยเติมฟืนในเตาผิงให้ คอยต้มน้ำให้อาบ พ่อบ้านจะถามว่าเราอยากอาบน้ำกี่โมง (สมัยก่อนบ้านเรือยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่สมัยนี้ไม่ต้องแล้ว อยากอาบเมื่อไรก็ตามสบาย) อยากได้อะไรเรียกใช้บริการได้เลย … กระทั่งเตือนให้เราปิดม่านในห้องนอน ปลุกให้ตื่นตอนเช้า เรียกว่าดูแลกันในทุกรายละเอียดเลยทีเดียว
พ่อบ้านเหล่านี้ใจดี อัธยาศัยดีมากๆและเป็นมิตร จนเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยทีเดียว พ่อบ้านจะดีใจมาก หากเรามีปฏิสัมพันธ์กับเขา และหากใครพูดภาษาอังกฤษได้ละก็ … คุณได้เพื่อนใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคนครับ
อาหารที่ทำจากครัวกลางของบ้านเรือจะเป็นอาหารท้องถิ่นง่ายๆ ครับ เช่น ไข่เจียว ไก่ย่างเครื่องเทศทั้งใบกระวาน กานพลู อบเชย แต่ไม่เข้มฉุนจัดเท่าอาหารอินเดีย อาหารแคชเมียร์ค่อนข้างจะมีรสชาติที่เข้มข้นด้วยส่วนผสมของเครื่องเทศ นอกจากนี้ยังมีอาหารจานผักที่มีให้ทานทุกมื้อ โดยเฉพาะมันฝรั่ง ถั่วแขก แตงกวา
ส่วนเครื่องดื่มจะเป็นชาร้อนๆ กลิ่นหอมๆ รสชาติดี อันเลื่องชื่อ พ่อบ้านพยายามจะให้เราลองดื่ม “ชาแคชเมียร์” เป็นชาใส่นมตามแบบฉบับของคนที่นี่ กลิ่นจะฉุนนิดๆ เพราะติดเครื่องเทศมาด้วย
เช้าวันต่อมา เราจะนั่งเรือชิคารา (Shikara) ล่องไปกลางทะเลสาบกัน อากาศกำลังเย็นสบาย คนพายเรือก็ฮัมเพลงไป เราก็นั่งหนาววว ไปสิ นั่งๆ ไปก็จะมีเรือพ่อค้ามาประกบขายของ ทั้งผ้า เปเปอร์มาเช่ เครื่องประดับเงิน จำพวกต่างหู กำไล สายสร้อย เสื้อผ้ากันหนาวสีสดใส ถุงมือ งานหัตถกรรมจำพวกกระเป๋า หรือแม้แต่พรมผืนเขื่อง ก็ขนใส่เรือมาให้ดู ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง เรือสินค้าเข้ามาเทียบลำแล้วลำเล่า จน … หมดเวลา
อ้าว!! แล้ววิวสองข้างทางอยู่ไหน!?!!
เรื่องราวต่างที่เห็น ยังคงจดจำได้ทุกความประทับใจในแคชเมียร์ นอกเหนือไปจากการเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวทางธรรมชาติแล้ว แคชเมียร์ยังเป็นเมืองที่โดดเด่นในด้านวัฒนธรรม โบราณสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีสายวัฒนธรรมเชื่อมโยงใกล้ชิดกับกันธาระ เราจะพบซากโบราณคดีทางพุทธศาสนาในดินแดนแคชเมียร์ ตลอดจนเทวาลัยฮินดูที่สำคัญอีกหลายแห่งก็มีปรากฎที่ดินแดนแห่งนี้ แต่ศาสนาหลักของผู้คนที่นี่คืออิสลามครับ
จากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่แผ่นดินแคชเมียร์ ผ่านความร้อนผ่านหนาวและภัยสงครามที่ยาวนาน ทั้งปัญหาการสู้รบระหว่าง อินเดียกับปากีสถาน และปัญหาผู้ก่อการร้าย เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ชาวแคชเมียร์เป็นคนที่มีความสุภาพ อ่อนน้อม รักความสงบ มีความงดงามอยู่ในใจ ซึ่งผู้ไปเยือนสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกและจากแววตาที่เป็นมิตร ด้วยธรรมชาติที่งดงามนั่นเอง ทำให้ชาวแคชเมียร์มีความเป็นศิลปินในตัว และถ่ายทอดผลงานด้วยฝีมือที่เลื่องชื่อ
แคชเมียร์ จึงถือว่าเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่เหมาะกับการพักผ่อน ชมธรรมชาติที่สวยงาม มาดูหิมะ มาดูทุ่งดอกไม้ สัมผัสอัธยาศัยไมตรีของผู้คนที่นี่ และที่สำคัญคือ “ต้องมานอนบ้านเรือ” ครับ